LOGINนายท่านเฟิ่งในยามนี้โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด แววตาแข็งกร้าวจนแทบจะยกดาบไปฟาดฟันกับสกุลเซียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด
บรรยากาศภายในห้องโถงอึมครึมราวกับมีเค้าเมฆฝนหนาทึบลอยทับอยู่เหนือหัว เพราะหนึ่งวันของสกุลเฟิ่งกลับยาวนานราวหนึ่งปี เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นซัด แม้ยามนี้จะล่วงถึงมื้อค่ำแต่ความสงัดเงียบกลับไม่ก่อความสงบ หากแต่ทำให้ทุกผู้คนในจวนรู้สึกกดดัน หนักหน่วงจนแทบจะหายใจไม่ออก ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี เริ่มมืดสลัว ประหนึ่งสะท้อนอารมณ์ของนายท่านเฟิ่งที่ยังพลุ่งพล่านไม่คลาย ความเงียบงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วจวน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของบ่าวไพร่ บ้างก็ต่างก้มหน้าทำงานด้วยความหวาดกลัว เฟิ่งฮูหยินนั่งนิ่งอยู่ข้างสามี สายตาหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่ซุกซนไปตามวัย ยามนี้เฟิ่งจื้อหานกำลังวิ่งเล่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ซุกซนตามวัย ไม่เข้าใจว่าบรรยากาศหนักอึ้งเพียงใด ตั้งแต่บุตรชายเริ่มเดินได้ นางเองก็ค่อยได้พักผ่อนนัก แล้วไหนจะเรื่องของบุตรสาวคนโตอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงอยู่ในขมับ “เรื่องนี้…จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของนายท่านเฟิ่งดังขึ้นในที่สุด สั่นสะเทือนทั่วห้องโถง ทว่าเมื่อสายตากวาดไปยังภรรยาและบุตรชายก็พลันเงียบลงอีกครั้ง กดโทสะที่กำลังเกรี้ยวกราดกลับเข้าไปสุมไฟไว้ในอก เฟิ่งฮูหยินมองหน้าสามีด้วยความอ่อนล้าและมองบุตรชายที่ยังไม่รู้ความสะดุ้งเฮือกเบะปากคล้ายจะร้องไห้ออกมาเพราะตกใจกลับเสียงตะคอกของบิดาเมื่อครู่ นางเอ่ยกับสาวใช้และแม่นมที่ดูแลเฟิ่งจื้อหานกล่าวว่า “พาคุณชายนอนเข้าไปรอข้าที่เรือนนอนก่อนเถอะ” “เจ้าค่ะ” “ท่านพ่อ…ท่านแม่” เสียงหวานของเฟิ่งจิ่นหรงดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง พลันทำให้บรรยากาศที่อึมครึมก่อนหน้าคล้ายถูกแหวกออกชั่วขณะ ระหว่างทางเดินเข้ามา สายตาพลันเหลือบเห็นเหล่าสาวใช้สามสี่คนกำลังหยอกล้อพาเด็กน้อยผู้หนึ่งสวนผ่านไปพอดี หากจำไม่ผิด เด็กผู้นี้คือเฟิ่งจื้อหานน้องชายแท้ๆ ของนางกระมัง เฟิ่งจิ่นหรงหยุดนิ่ง สายตาทอดมองน้องชายที่ยังไร้เดียงสา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มถือลูกข่างไม้ไว้ในมือ เสียงหัวเราะใสกังวานของเขาเสมือนแสงไฟเล็กๆ ที่พยายามจุดประกายไฟขึ้น “เฟิ่งจื้อหาน…” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งยังคงจับจ้องมองน้องชายไม่วางตา ในนิยายเล่มโปรดไม่ได้กล่าวถึงเด็กผู้นี้ไว้มากนัก เพียงบอกแค่ว่าเป็นน้องชายที่อายุห่างจากเฟิ่งจิ่นหรงมากจนผู้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนต่างเข้าใจผิดว่าเป็นบุตรชายลับๆ ของนางเสียเอง ใบหน้าเล็กน้อยนั้นประดับรอยยิ้มสดใส เสียงหัวเราะเอ้ออ้าดังก้องสะท้อนกังวานไปทั่วทั้งจวน “เป็นเด็กดีเข้าใจหรือไม่” เฟิ่งจิ่นหรงก้มลงพูดกับน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นายท่านเฟิ่งชะงัก เงยหน้าขึ้นปรายตามองบุตรสาวคนโตที่ยืนอยู่หน้าห้องโถง ใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ แววตาสดใสกว่าเมื่อก่อนที่มักเต็มไปด้วยความหม่นหมอง “จิ่นหรง…เจ้ามาแต่เมื่อใด” เฟิ่งฮูหยินเอ่ยถามอย่างรีบร้อน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย วันนี้ทั้งวัน นางยังคงรู้สึกหวาดหวั่นสะท้านไม่หาย ภาพที่บุตรสาวถูกพากลับมาด้วยสภาพเปียกปอน หมดสติและไร้เรี่ยวแรงยังติดตรึงอยู่ในใจ คนเป็นมารดาเห็นแล้วหัวใจแทบหยุดเต้น พอสอบถามจากสาวใช้จึงได้รู้ว่าบุตรสาวกระโดดน้ำลงเพื่อประชดประชันเรียกร้องความสนใจจากคุณชายเซียว เฟิ่งฮูหยินแทบสิ้นเรี่ยวแรงเป็นลมไปทั้งยืน พอตามหมอมารักษาก็ทำได้เพียงบอกให้รอ นางทนไม่ได้ถึงกับต้องไปกราบไหว้ขอพรพระแม่กวนอิมครึ่งวันเต็ม หวังให้บุตรสาวฟื้นขึ้นมาเร็วๆ เพราะหัวอกของคนเป็นมารดาปวดหนึบราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ กระทั่ง เมื่อสาวใช้เข้ามาแจ้งว่าเฟิ่งจิ่นหรงรู้สึกตัวแล้วและออกจากจวนไป นางยิ่งเป็นกังวลใจนัก เกรงว่าบุตรสาวจะเกิดเรื่องร้ายแรงไปเสียก่อน ทว่าพอกลับถึงจวนกลับว่างเปล่า ไร้แม้แต่เงาของบุตรสาวให้พบเห็น เฟิ่งฮูหยินที่ยังไม่ทันได้คลายความเป็นกังวลลง พลันถูกความว่างเวิ้งกดทับจนใจคอไม่สู้ดีนัก ใบหน้าซีดเซียวอิดโรยราวคนเพิ่งฝันร้ายตื่นขึ้นมา จนรู้ว่าเฟิ่งจิงหรงไปจวนสกุลจ้าว นางจึงค่อยโล่งใจลง เกรงว่าคงไปกล่าวขอบคุณคุณชายจ้าวที่ช่วยเหลือ ทว่าก็กังวลไม่หาย เพราะเมื่อยามพลบค่ำ สามีกลับจวนหลังจากบุกไปเอาเรื่องสกุลเซียว แต่บุตรสาวยังไม่กลับมา กระทั่งสาวใช้ไปตามจึงได้พบหน้าในที่สุด เฟิ่งจิ่นหรงละสายตาและความสนในจากน้องชาย ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องโถง นางยอบกายคารวะเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เรื่องนี้…ข้ามีคำตอบแล้วเจ้าค่ะ” เฟิ่งฮูหยินรีบลุกพรวดจากที่นั่ง เดินตรงเข้าหาบุตรสาวด้วยความร้อนรน ขอบตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส พอเห็นใบหน้าซีดเซียวที่แม้ดีขึ้นกว่าตอนเช้า แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนล้า นางยิ่งปวดใจนัก “จิ่นหรง…” น้ำเสียงของเฟิ่งฮูหยินสั่นเครือ กวาดตามองบุตรสาวตั้งแต่บนลงล่าง ก่อนโผเข้ากอดทั้งน้ำตาที่รินไหลอาบแก้ม “ดีจริงๆ ที่เจ้ารอดพ้นและกลับมาหาแม่ได้” นายท่านเฟิ่งมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าหัวคิ้วขมวดแน่นเต็มไปด้วยความสงสัย “คำตอบอันใด” นับว่าประหลาดใจไม่น้อย เพราะแทนที่บุตรสาวจะมาหาตนเองถึงจวนสกุลเซียวหลังจากตื่นขึ้นมา กลับส่งสาวใช้มาตามแทน เฟิ่งจิ่นหรงอยู่ในอ้อมกอดมารดา นางปล่อยให้อีกฝ่ายกอดได้เต็มที่ ก่อนค่อยๆ ผละออก เงยหน้าสบตาบิดาด้วยแววตาแน่วแน่ “ข้า…ไม่ต้องการแต่งกับสกุลเซียวเจ้าค่ะ และชาตินี้ภพนี้ ข้าไม่ขอข้องเกี่ยวกับเซียวจิ้นอวิ้นอีกต่อไป” เสียงหวานหนักแน่นดังชัดราวกับสายฟ้าฟาดกลางห้องโถง ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงสายลม เฟิ่งฮูหยินเบิกตากว้าง ส่วนนายท่านเฟิ่งกำมือแน่นจนข้อขึ้นขาว “หมายความว่าอย่างไรกัน จิงหรง” เฟิ่งฮูหยินเอ่ยถามด้วยความสงสัย ก็ในก่อนหน้านี้บุตรสาวหลงใหลคุณชายเซียวถึงขั้นวิงวอนให้สามีของนางบุกข่มขู่ให้สกุลเซียวหมั้นหมายด้วย มิหนำซ้ำยังยอมสละชีวิตเพื่อตามตื๊อเรียกร้องความสนใจ แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงพูดเช่นนี้ออกมาเล่า นางไม่ใช่ไม่ดีใจที่เฟิ่งจิงหรงหลุดพ้น หากแต่ย่อมอดที่จะแปลกใจไม่ได้ นายท่านเฟิ่งก็เช่นกัน เขาขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแข็งกร้าว “มันผู้นั้นข่มขู่เจ้าหรือ! หากเป็นเช่นนั้น บิดาจะไปตัดหัวมันด้วยมือตนเองเสีย” ถ้อยคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความกดดันจนสาวใช้ในเรือนต่างกลั้นลมหายใจแทบไม่กล้าขยับเขยื้อน ใบหน้าคนงามของเฟิ่งจิ่นหรงยกยิ้มเย้ยหยันจางๆ นางส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ…เซียวจิ้นอวิ๋นนั้นเหมาะสมกับโลงผุเท่านั้น ดังนั้น ข้าจะขอแต่งกับคุณชายจ้าวอวี้หมิงสกุลจ้าวแทนเจ้าค่ะ” ทันใดนั้น ความเงียบกลืนกินสกุลเฟิ่งอีกครั้งกลายเป็นพายุอีกระลอก เฟิ่งฮูหยินถึงกับยกมือปิดปากด้วยความตกตะลึง ขณะที่นายท่านเฟิ่งลุกพรวดจากเก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างแทบถลนออกมา “เจ้าว่าอย่างไรกัน…จ้าวอวี้หมิงงั้นรึ!” เสียงตวาดของนายท่านเฟิ่งดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกตะลึงและโทสะปะปนกัน หัวใจราวกับถูกแรงกดทับจนลมหายใจติดขัด เฟิ่งฮูหยินยกมือขึ้นกุมอก นัยน์ตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น นางหันมามองบุตรสาวอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “จิ่นหรง…เจ้า พูดจริงหรือไม่” นางคิดว่าบุตรสาวกระโจนน้ำลงไปแล้วจะคิดได้ ทว่าไฉนเลยกลับยึดบุญคุณกลายเป็นสิ่งที่ต้องตอบแทนเสียอย่างนั้น ทว่าเฟิ่งจิ่นหรงกลับยืดอก เชิดปลายคางขึ้นอย่างแน่วแน่ นางก้าวออกจากอ้อมกอดมารดาแล้วเอ่ยซ้ำอย่างหนักแน่น “ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะขอแต่งกับคุณชายจ้าวอวี้หมิง” น้ำเสียงหวานกังวานชัดเจนยิ่งกว่าครั้งแรก ครานี้มิใช่เพียงนายท่านเฟิ่งหรือเฟิ่งฮูหยินที่ตกตะลึงงัน แม้แต่สาวใช้ที่ได้ยินก็แทบลืมหายใจ บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงหัวใจของผู้คนที่เต้นถี่ระรัว เฟิ่งฮูหยินส่ายหน้าไปมาอย่างปฏิเสธ ไม่ยินยอมให้บุตรสาวเสี่ยงชีวิตไปกระโดดลงผาอีกครั้ง “เฟิ่งจิ่นหรง…แม้จะคุณชายจ้าวช่วยชีวิตไว้ก็จริง ทว่าหาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องตอบแทนเขาด้วยชีวิตของตน” เฟิ่งจิ่นหรงชะงักงัน ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ความสับสนผสมกับความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกฉายชัดอยู่ในแววตา “เขา…เป็นเขาที่ช่วยข้าจริงหรือ”พอได้ยินถ้อยนั้น ไป๋หว่านชิงลอบยิ้มออกมาซ่อนความพึงพอใจและสะใจลึกๆ อยู่ภายในใจนางไม่ได้แม้แต่ลงแรงคิดแผนการใด เพียงโยนกระดูกชิ้นหนึ่งขวางทางไว้เท่านั้น อีกฝ่ายกลับคาบแน่นไม่ยอมปล่อยเสียเอง“แต่คุณหนูเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งรวมถึงทุกคนในสกุลเฟิ่งคงจะเกลียดข้ามากนัก เกรงว่าแม้แต่หน้ายังไม่อยากมองด้วยซ้ำกระมัง” เสียงหวานพึมพำคล้ายบ่นกับตนเอง หากแต่ดังชัดพอจะลอดเข้าไปในหูเซียวจิ้นอวิ๋นราวกับตั้งใจให้ได้ยินไป๋หว่านชิงเหลือบตาขึ้นมองเพียงเสี้ยวหนึ่ง ก่อนรีบก้มต่ำหลบสายตาดุดันอย่างหวาดระแวง ราวกับแบกรับความผิดอันใหญ่หลวงที่มิอาจลบเลือน มือเรียวทั้งสองกำจอกชาแน่นจนสั่นไหว เผยให้เห็นความเก้ๆ กังๆ อย่าประหม่าและรู้สึกผิด“สุดท้าย ความจริงก็ยังคงเป็นข้าที่ได้แย่งคุณชายมาอยู่ดี” น้ำเสียงหวานสั่นพร่าราวจะขาดห้วงลงกลางคันเซียวจิ้นอวิ๋นพลันเงียบงันไปครู่ใหญ่ พอได้ฟังน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยถ้อยคำตัดพ้อนี้ สายตาคมกริบที่มักจะแข็งกร้าวแจือแววเย็นชาค่อยๆ อ่อนยวบลงอย่างห้ามไม่อยู่เขาถอนหายใจยาวเหยียด แววตาที่ทอดมองสตรีตรงหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่เคยมีมาก่อน“ไป๋หว่านชิง…” เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่ออย่างแผ่ว
“นึกไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวจะมีน้ำใจช่วยเหลือผู้คน”น้ำเสียงทุ้มต่ำของซูเหรินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเจือความเหน็บแนม สายตาเหลือบมองสหายตรงหน้าที่เอาแต่ทอดสายตาลงไปจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม มองไปยังร้านเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋อย่างไม่ลดละ ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขาซูเหรินเจี๋ยยกน้ำชาขึ้นจิบพลางๆ แววตาฉายแววครุ่นคิดเมื่อหลายวันก่อนหน้า เขาและสหายนั่งจิบชาดวลหมากกันอยู่โรงเตี๊ยมตรงข้ามกิจการของสกุลไป๋ ทว่ากลับเกิดเหตุโกลาหลวุ่นวายขึ้นหน้าร้านเสียงดังเอะอะโวยวาย จนเขาและสหายอดมองด้วยความสนใจไม่ได้แท้จริงแล้วเป็นเพียงคุณหนูสกุลเฟิ่งที่ตามตื้อเซียวจิ้นอวิ้น นางประกาศเสียงดังว่าจะกระโดดลงน้ำ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สนใจ ใยดีเดินจากไปไม่เหลียวแลขณะที่เหตุการณ์ดูเสมือนจะสงบลง ทว่าไม่ทันไรเขากลับได้ยินเสียงดังโหวกวายตะโกนมาว่ามีคนกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย พอหันกลับไปมองสหาย กลับเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นลงไปยังชั้นล่างโรงเตี๊ยม วิ่งผ่าฝูงชนท่าทางคล้ายเข้าไปช่วยแล้วซูเหรินเจี๋ยไม่คาดคิดว่าสหายผู้นี้ที่มีนิสัยนิ่งเฉย หาได้สนใจเรื่องของผู้ใดหรือแม้แต่สตรีใด นอกจากคุณหนูไป๋ ทว่าเหตุใดกลับยอมเสี่ยงชีวิตช่วยคุณหนูเฟิ่งแทน ทั้งที่
นายท่านเฟิ่งในยามนี้โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด แววตาแข็งกร้าวจนแทบจะยกดาบไปฟาดฟันกับสกุลเซียวเสียให้รู้แล้วรู้รอดบรรยากาศภายในห้องโถงอึมครึมราวกับมีเค้าเมฆฝนหนาทึบลอยทับอยู่เหนือหัว เพราะหนึ่งวันของสกุลเฟิ่งกลับยาวนานราวหนึ่งปี เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นซัดแม้ยามนี้จะล่วงถึงมื้อค่ำแต่ความสงัดเงียบกลับไม่ก่อความสงบ หากแต่ทำให้ทุกผู้คนในจวนรู้สึกกดดัน หนักหน่วงจนแทบจะหายใจไม่ออกท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี เริ่มมืดสลัว ประหนึ่งสะท้อนอารมณ์ของนายท่านเฟิ่งที่ยังพลุ่งพล่านไม่คลาย ความเงียบงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วจวน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของบ่าวไพร่ บ้างก็ต่างก้มหน้าทำงานด้วยความหวาดกลัวเฟิ่งฮูหยินนั่งนิ่งอยู่ข้างสามี สายตาหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่ซุกซนไปตามวัย ยามนี้เฟิ่งจื้อหานกำลังวิ่งเล่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ซุกซนตามวัย ไม่เข้าใจว่าบรรยากาศหนักอึ้งเพียงใด ตั้งแต่บุตรชายเริ่มเดินได้ นางเองก็ค่อยได้พักผ่อนนัก แล้วไหนจะเรื่องของบุตรสาวคนโตอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงอยู่ในขมับ“เรื่องนี้…จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของนายท่า
ดูเหมือนความคิดในหัวของนางจะดังเกินไปหน่อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปยังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ทั้งที่ความคิดก่อนหน้านี้ยังตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว แต่ไฉนกลับพูดออกไปราวกับตกหลุมพรางของความหล่อเหลาของอีกฝ่ายเสียแล้วเฟิ่งจิ่นหรงยืนนิ่ง ตัวแข็งชะงักคล้ายหยุดหายใจไปชั่วขณะขณะที่จ้าวอวี้หมิงมองสตรีตรงหน้า หัวคิ้วเข้มขมวดอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าถ้อยคำเมื่อครู่ที่ได้ยินนั้นเป็นจริงหรือหูฝาดเพี้ยนไปเอง แต่กระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าสติของสตรีตรงหน้าอาจเลอะเลือนไปเสียแล้ว“ข้าไม่ใช่คุณชายเซียว…” น้ำเสียงของเขาเข้มขรึม แต่แฝงด้วยความเย็นชา “หากคุณหนูอยากไปสกุลเซียวนั้นอยู่เส้นทางหน้าวังหลวง หากจำไม่ได้ก็บอกให้สารถีพาไป นี่คือจวนสกุลจ้าว”จ้าวอวี้หมิงถอนหายใจลึก ก่อนจะหันหลังจะเดินหนีคล้ายกับปฏิเสธพลางๆทว่าด้วยนิสัยดื้อรั้นเฟิ่งจิ่นหรงกลับก้าวตามเข้ามา ร่างบางยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่“ข้า..ข้า มีเรื่องสำคัญจะพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานตะกุกตะกะเต็มไปด้วยความประหม่า นางเงยหน้าขึ้นพลันประสานสบเข้ากับดวงตาคมกริบเย็นเยียบตรงหน้าพอดีจ้าวอวี้หมิงยืนนิ่ง มองสตร
บรรยากาศภายในเรือนนอนยังอบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพร เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวสั่นมองคุณหนูที่นั่งนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาหวาดหวั่น น่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญโวยวายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับเงียบงันเย็นชาเสียจนกระอักกระอ่วนกดดันยิ่งนักเฟิ่งจิงหรงยกมือขึ้นแตะแก้มเนียนช้าๆ สัมผัสได้ถึงหยาดน้ำตาที่หลั่งรินอย่างไม่รู้ตัวของเจ้าของร่างเดิมไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเพราะความเจ็บช้ำที่ครั้งหนึ่งเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้บุรุษผู้นั้นจนยอมแลกด้วยชีวิต หรือเพราะเพลิงแค้นที่ยังคงครุ่กขุ่นแน่นอยู่ในอกกันแน่ “เจ็บปวดถึงเพียงนี้…นางต้องทนแบกรับความอับอายมานานเท่าใดกัน” น้ำเสียงหวานพึมพำพูดแผ่วเบาความทรงจำของร่างเดิมถาโถมเข้ามาไม่หยุด ทั้งถูกเยาะหยันว่าเป็นสตรีเอาแต่ใจ ถูกตราหน้าว่าใช้อำนาจข่มขู่บุรุษแต่งงานด้วยอย่างดื้อรั้นทุกภาพชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเฟิ่งจิงหรงเริ่มตั้งสติได้ริมฝีปากบางยกโค้งขึ้นเล็กน้อย หาใช่รอยยิ้มสดใสหากแต่เป็นรอยยิ้มเย็นชาเจือข่มความเจ็บปวดไว้ในอก“หากสวรรค์กำหนดให้ข้ามาอยู่ในร่างนี้ เช่นนั้น…ข้าก็จะใช้โอกาสนี้กลายเป็นนายร้ายตัวมัมที่พ่อพระเอกโง่งมเสียดายจนตาย”เฟิ่งจิงหรงหันขวับไป
ณ สกุลเซียวไป๋หว่านชิงเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลพ่อค้าที่ทำการค้าเปิดกิจการขายเครื่องปั้นเคลือบอยู่ในตลาด แม้เป็นเพียงสกุลพาณิชเล็กๆ หาได้มีเกียรติสูงส่งดังตระกูลขุนนางใหญ่ แต่ทว่าสวรรค์กลับประทานรูปโฉมอันงดงามให้ ที่ไม่ว่าผู้ใดที่เดินผ่านไปแล้วล้วนต้องเหลียวหลังหวนมองอีกทั้งยังมีวาทศิลป์การพูดจาละเมียดละไมอ่อนหวานจับใจ สามารถโน้มน้าวใจผู้คนให้ซื้อหาสินค้าได้โดยง่ายดังนั้น กิจการเครื่องปั้นเคลือบของสกุลไป๋จึงขายดิบขายดี มิใช่เพราะคุณภาพเพียงอย่างเดียว หากแต่ด้วยเสน่ห์การเจรจาของไป๋หว่านชิงเป็นสำคัญกระทั่งวันหนึ่ง…ในขณะที่ไป๋หว่านชิงเฝ้าร้านอยู่กับเหล่าคนงาน กลับถูกกลุ่มอันธพาลบุกเข้ามาก่อกวน หาได้หมายจะปล้นเครื่องปั้นราคาแพงไม่แต่กลับหมายจะฉุดนางไปเป็นภรรยาแทน!ทว่าสวรรค์เหมือนกำหนดไว้ เมื่อบุตรชายคนรองของสกุลเซียว…คุณชายเซียวจิ้งอวิ๋นผ่านมาพอดีและได้ช่วยเหลือนางเอาไว้ได้อย่างหวุดหวิดวันนั้นจึงเป็นวันที่ทั้งสองพบพานกันครั้งแรกและกลายเป็นรักแรกพบของทั้งสองฝ่ายและไม่นานหลังจากนั้น คุณชายเซียวก็สร้างเรื่องอื้อฉาวไปทั่วเมือง หักหน้าสกุลเฟิ่งด้วยการประกาศยกเลิกการหมั้นหมายกับ เฟิ่งจิง







