Share

๕ เริ่มเปลี่ยนแปลง

last update Last Updated: 2025-10-25 21:49:21

นายท่านเฟิ่งในยามนี้โกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด แววตาแข็งกร้าวจนแทบจะยกดาบไปฟาดฟันกับสกุลเซียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด

บรรยากาศภายในห้องโถงอึมครึมราวกับมีเค้าเมฆฝนหนาทึบลอยทับอยู่เหนือหัว เพราะหนึ่งวันของสกุลเฟิ่งกลับยาวนานราวหนึ่งปี เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดราวกับคลื่นซัด

แม้ยามนี้จะล่วงถึงมื้อค่ำแต่ความสงัดเงียบกลับไม่ก่อความสงบ หากแต่ทำให้ทุกผู้คนในจวนรู้สึกกดดัน หนักหน่วงจนแทบจะหายใจไม่ออก

ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนสี เริ่มมืดสลัว ประหนึ่งสะท้อนอารมณ์ของนายท่านเฟิ่งที่ยังพลุ่งพล่านไม่คลาย ความเงียบงัดแผ่ปกคลุมไปทั่วจวน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยหรือเสียงหัวเราะของบ่าวไพร่ บ้างก็ต่างก้มหน้าทำงานด้วยความหวาดกลัว

เฟิ่งฮูหยินนั่งนิ่งอยู่ข้างสามี สายตาหันไปมองบุตรชายคนเล็กที่ซุกซนไปตามวัย ยามนี้เฟิ่งจื้อหานกำลังวิ่งเล่นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ซุกซนตามวัย ไม่เข้าใจว่าบรรยากาศหนักอึ้งเพียงใด ตั้งแต่บุตรชายเริ่มเดินได้ นางเองก็ค่อยได้พักผ่อนนัก แล้วไหนจะเรื่องของบุตรสาวคนโตอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวราวกับมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงอยู่ในขมับ

“เรื่องนี้…จะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร!” น้ำเสียงทุ้มต่ำของนายท่านเฟิ่งดังขึ้นในที่สุด สั่นสะเทือนทั่วห้องโถง

ทว่าเมื่อสายตากวาดไปยังภรรยาและบุตรชายก็พลันเงียบลงอีกครั้ง กดโทสะที่กำลังเกรี้ยวกราดกลับเข้าไปสุมไฟไว้ในอก

เฟิ่งฮูหยินมองหน้าสามีด้วยความอ่อนล้าและมองบุตรชายที่ยังไม่รู้ความสะดุ้งเฮือกเบะปากคล้ายจะร้องไห้ออกมาเพราะตกใจกลับเสียงตะคอกของบิดาเมื่อครู่

นางเอ่ยกับสาวใช้และแม่นมที่ดูแลเฟิ่งจื้อหานกล่าวว่า

“พาคุณชายนอนเข้าไปรอข้าที่เรือนนอนก่อนเถอะ”

“เจ้าค่ะ”

“ท่านพ่อ…ท่านแม่” เสียงหวานของเฟิ่งจิ่นหรงดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง พลันทำให้บรรยากาศที่อึมครึมก่อนหน้าคล้ายถูกแหวกออกชั่วขณะ

ระหว่างทางเดินเข้ามา สายตาพลันเหลือบเห็นเหล่าสาวใช้สามสี่คนกำลังหยอกล้อพาเด็กน้อยผู้หนึ่งสวนผ่านไปพอดี หากจำไม่ผิด เด็กผู้นี้คือเฟิ่งจื้อหานน้องชายแท้ๆ ของนางกระมัง

เฟิ่งจิ่นหรงหยุดนิ่ง สายตาทอดมองน้องชายที่ยังไร้เดียงสา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มถือลูกข่างไม้ไว้ในมือ เสียงหัวเราะใสกังวานของเขาเสมือนแสงไฟเล็กๆ ที่พยายามจุดประกายไฟขึ้น

“เฟิ่งจื้อหาน…” น้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งยังคงจับจ้องมองน้องชายไม่วางตา

ในนิยายเล่มโปรดไม่ได้กล่าวถึงเด็กผู้นี้ไว้มากนัก เพียงบอกแค่ว่าเป็นน้องชายที่อายุห่างจากเฟิ่งจิ่นหรงมากจนผู้คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนต่างเข้าใจผิดว่าเป็นบุตรชายลับๆ ของนางเสียเอง

ใบหน้าเล็กน้อยนั้นประดับรอยยิ้มสดใส เสียงหัวเราะเอ้ออ้าดังก้องสะท้อนกังวานไปทั่วทั้งจวน

“เป็นเด็กดีเข้าใจหรือไม่” เฟิ่งจิ่นหรงก้มลงพูดกับน้องชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

นายท่านเฟิ่งชะงัก เงยหน้าขึ้นปรายตามองบุตรสาวคนโตที่ยืนอยู่หน้าห้องโถง ใบหน้าประดับรอยยิ้มจางๆ แววตาสดใสกว่าเมื่อก่อนที่มักเต็มไปด้วยความหม่นหมอง

“จิ่นหรง…เจ้ามาแต่เมื่อใด” เฟิ่งฮูหยินเอ่ยถามอย่างรีบร้อน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย

วันนี้ทั้งวัน นางยังคงรู้สึกหวาดหวั่นสะท้านไม่หาย ภาพที่บุตรสาวถูกพากลับมาด้วยสภาพเปียกปอน หมดสติและไร้เรี่ยวแรงยังติดตรึงอยู่ในใจ คนเป็นมารดาเห็นแล้วหัวใจแทบหยุดเต้น

พอสอบถามจากสาวใช้จึงได้รู้ว่าบุตรสาวกระโดดน้ำลงเพื่อประชดประชันเรียกร้องความสนใจจากคุณชายเซียว

เฟิ่งฮูหยินแทบสิ้นเรี่ยวแรงเป็นลมไปทั้งยืน พอตามหมอมารักษาก็ทำได้เพียงบอกให้รอ นางทนไม่ได้ถึงกับต้องไปกราบไหว้ขอพรพระแม่กวนอิมครึ่งวันเต็ม หวังให้บุตรสาวฟื้นขึ้นมาเร็วๆ เพราะหัวอกของคนเป็นมารดาปวดหนึบราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ

กระทั่ง เมื่อสาวใช้เข้ามาแจ้งว่าเฟิ่งจิ่นหรงรู้สึกตัวแล้วและออกจากจวนไป นางยิ่งเป็นกังวลใจนัก เกรงว่าบุตรสาวจะเกิดเรื่องร้ายแรงไปเสียก่อน

ทว่าพอกลับถึงจวนกลับว่างเปล่า ไร้แม้แต่เงาของบุตรสาวให้พบเห็น เฟิ่งฮูหยินที่ยังไม่ทันได้คลายความเป็นกังวลลง พลันถูกความว่างเวิ้งกดทับจนใจคอไม่สู้ดีนัก ใบหน้าซีดเซียวอิดโรยราวคนเพิ่งฝันร้ายตื่นขึ้นมา จนรู้ว่าเฟิ่งจิงหรงไปจวนสกุลจ้าว นางจึงค่อยโล่งใจลง เกรงว่าคงไปกล่าวขอบคุณคุณชายจ้าวที่ช่วยเหลือ

ทว่าก็กังวลไม่หาย เพราะเมื่อยามพลบค่ำ สามีกลับจวนหลังจากบุกไปเอาเรื่องสกุลเซียว แต่บุตรสาวยังไม่กลับมา กระทั่งสาวใช้ไปตามจึงได้พบหน้าในที่สุด

เฟิ่งจิ่นหรงละสายตาและความสนในจากน้องชาย ก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องโถง นางยอบกายคารวะเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เรื่องนี้…ข้ามีคำตอบแล้วเจ้าค่ะ”

เฟิ่งฮูหยินรีบลุกพรวดจากที่นั่ง เดินตรงเข้าหาบุตรสาวด้วยความร้อนรน ขอบตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส พอเห็นใบหน้าซีดเซียวที่แม้ดีขึ้นกว่าตอนเช้า แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนล้า นางยิ่งปวดใจนัก

“จิ่นหรง…” น้ำเสียงของเฟิ่งฮูหยินสั่นเครือ กวาดตามองบุตรสาวตั้งแต่บนลงล่าง ก่อนโผเข้ากอดทั้งน้ำตาที่รินไหลอาบแก้ม

“ดีจริงๆ ที่เจ้ารอดพ้นและกลับมาหาแม่ได้”

นายท่านเฟิ่งมองภาพเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าหัวคิ้วขมวดแน่นเต็มไปด้วยความสงสัย

“คำตอบอันใด”

นับว่าประหลาดใจไม่น้อย เพราะแทนที่บุตรสาวจะมาหาตนเองถึงจวนสกุลเซียวหลังจากตื่นขึ้นมา กลับส่งสาวใช้มาตามแทน

เฟิ่งจิ่นหรงอยู่ในอ้อมกอดมารดา นางปล่อยให้อีกฝ่ายกอดได้เต็มที่ ก่อนค่อยๆ ผละออก เงยหน้าสบตาบิดาด้วยแววตาแน่วแน่

“ข้า…ไม่ต้องการแต่งกับสกุลเซียวเจ้าค่ะ และชาตินี้ภพนี้ ข้าไม่ขอข้องเกี่ยวกับเซียวจิ้นอวิ้นอีกต่อไป”

เสียงหวานหนักแน่นดังชัดราวกับสายฟ้าฟาดกลางห้องโถง ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงสายลม เฟิ่งฮูหยินเบิกตากว้าง ส่วนนายท่านเฟิ่งกำมือแน่นจนข้อขึ้นขาว

“หมายความว่าอย่างไรกัน จิงหรง” เฟิ่งฮูหยินเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ก็ในก่อนหน้านี้บุตรสาวหลงใหลคุณชายเซียวถึงขั้นวิงวอนให้สามีของนางบุกข่มขู่ให้สกุลเซียวหมั้นหมายด้วย มิหนำซ้ำยังยอมสละชีวิตเพื่อตามตื๊อเรียกร้องความสนใจ แต่เหตุใดจู่ๆ ถึงพูดเช่นนี้ออกมาเล่า

นางไม่ใช่ไม่ดีใจที่เฟิ่งจิงหรงหลุดพ้น หากแต่ย่อมอดที่จะแปลกใจไม่ได้

นายท่านเฟิ่งก็เช่นกัน เขาขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแข็งกร้าว “มันผู้นั้นข่มขู่เจ้าหรือ! หากเป็นเช่นนั้น บิดาจะไปตัดหัวมันด้วยมือตนเองเสีย”

ถ้อยคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความกดดันจนสาวใช้ในเรือนต่างกลั้นลมหายใจแทบไม่กล้าขยับเขยื้อน

ใบหน้าคนงามของเฟิ่งจิ่นหรงยกยิ้มเย้ยหยันจางๆ นางส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าตัดสินใจแล้วเจ้าค่ะ…เซียวจิ้นอวิ๋นนั้นเหมาะสมกับโลงผุเท่านั้น ดังนั้น ข้าจะขอแต่งกับคุณชายจ้าวอวี้หมิงสกุลจ้าวแทนเจ้าค่ะ”

ทันใดนั้น ความเงียบกลืนกินสกุลเฟิ่งอีกครั้งกลายเป็นพายุอีกระลอก เฟิ่งฮูหยินถึงกับยกมือปิดปากด้วยความตกตะลึง ขณะที่นายท่านเฟิ่งลุกพรวดจากเก้าอี้ ดวงตาเบิกกว้างแทบถลนออกมา

“เจ้าว่าอย่างไรกัน…จ้าวอวี้หมิงงั้นรึ!”

เสียงตวาดของนายท่านเฟิ่งดังสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกตะลึงและโทสะปะปนกัน หัวใจราวกับถูกแรงกดทับจนลมหายใจติดขัด

เฟิ่งฮูหยินยกมือขึ้นกุมอก นัยน์ตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น นางหันมามองบุตรสาวอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

“จิ่นหรง…เจ้า พูดจริงหรือไม่”

นางคิดว่าบุตรสาวกระโจนน้ำลงไปแล้วจะคิดได้ ทว่าไฉนเลยกลับยึดบุญคุณกลายเป็นสิ่งที่ต้องตอบแทนเสียอย่างนั้น

ทว่าเฟิ่งจิ่นหรงกลับยืดอก เชิดปลายคางขึ้นอย่างแน่วแน่ นางก้าวออกจากอ้อมกอดมารดาแล้วเอ่ยซ้ำอย่างหนักแน่น

“ใช่เจ้าค่ะ ข้าจะขอแต่งกับคุณชายจ้าวอวี้หมิง”

น้ำเสียงหวานกังวานชัดเจนยิ่งกว่าครั้งแรก ครานี้มิใช่เพียงนายท่านเฟิ่งหรือเฟิ่งฮูหยินที่ตกตะลึงงัน แม้แต่สาวใช้ที่ได้ยินก็แทบลืมหายใจ บรรยากาศในห้องโถงเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงหัวใจของผู้คนที่เต้นถี่ระรัว

เฟิ่งฮูหยินส่ายหน้าไปมาอย่างปฏิเสธ ไม่ยินยอมให้บุตรสาวเสี่ยงชีวิตไปกระโดดลงผาอีกครั้ง

“เฟิ่งจิ่นหรง…แม้จะคุณชายจ้าวช่วยชีวิตไว้ก็จริง ทว่าหาใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องตอบแทนเขาด้วยชีวิตของตน”

เฟิ่งจิ่นหรงชะงักงัน ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ความสับสนผสมกับความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูกฉายชัดอยู่ในแววตา

“เขา…เป็นเขาที่ช่วยข้าจริงหรือ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๕ พระรองผู้นี้เป็นของข้า

    บรรยากาศภายในห้องโถงอาหารเงียบกริบลงชั่วขณะเมื่อคำถามของนายท่านเฟิ่งหลุดออกมา สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองไปยังคุณชายจ้าวด้วยความคาดหวัง…ไม่เว้นแม้แต่เฟิ่งจิงหรงนางลอบเหล่หางตามองบุรุษข้างกาย หาได้หันไปสบตาเขาโดยตรง ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะหันไปมองบิดาราวกับห้ามปราม“ท่านพ่อ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น พลางถอนหายใจหนักอึ้งออกมาเฮือกหนึ่ง นางหาได้ต้องการบีบบังคับให้จ้าวอวี้หมิงต้องรู้สึกกดดัน อึดอัดหรือลำบากใจอันใด“กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเย็นชืดแล้วไม่อร่อยได้”เฟิ่งฮูหยินเข้าใจได้ว่าบุตรสาวคงรู้สึกลำบากใจใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะปรายไปมองบุรุษหนุ่มตรงหน้า “นายท่านเฟิ่งเพียงแค่หยอกล้อเท่านั้น คุณชายจ้าวอย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ”พอสิ้นคำ จ้าวอวี้หมิงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมฉายแววครุ่นคิดอย่างชัดเจน มุมปากหนาผุดรอยยิ้มจางๆ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบก่อนจะยกตะเกียบคีบอาหารวางลงชามให้สตรีข้างกายราวกับเป็นสิ่งที่ควรทำ หาใช่เรื่องแปลก“คุณหนูเฟิ่งงดงามไม่น้อย ข้าว่าบุรุษใดที่เห็นแล้วก็ต้องหันกลับมามองทั้งสิ้น”ถ้อยคำเรียบง่ายกลับหนักแน่นดั่งหินผา ดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องโถงร

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๔ ความรักค่อยๆ งอก

    หลายวันผ่านไป หลังงานมงคลใหญ่ระหว่างสกุลเซียวและสกุลไป๋เสร็จสิ้น ทว่าเสียงซุบซิบนินทาก็ยังไม่ยอมจางหาย ข่าวคราวต่างเล่าลือกันไม่หยุด ว่าเจ้าบ่าวหรือคุณชายเซียวหาได้ชืนมื่นหรือมีสีหน้ายินดีไม่ แววตากลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมยามได้เห็นอดีตคนรักอย่างคุณหนูเฟิ่งมาร่วมงาน แถมยังเผลอทอดสายตามองด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายถอนหมั้นเสียเองส่วนคุณหนูไป๋ผู้เป็นเจ้าสาว แม้ใบหน้าจะถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมผืนบาง แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับขุ่นมัวและหม่นหมอง หาได้เบิกบานแต่อย่างใดเฟิ่งจิงหรงหาได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้นนัก หากคนร้อยคนเอ่ยปากก็เป็นร้อยความหมาย นางไม่อยากเก็บมาใส่ใจว่าเซียวจิ้นอวิ๋นจะยังคงเหลือเยื่อใยหรือไม่…?หรือคุณหนูไป๋จะทุกข์ใจเพียงใด…?เพราะนับจากวันที่นางเอ่ยปากหยอกล้อชักชวนบุรุษผู้นั้นให้มาเยือนจวนเล่นๆ ก็ไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากนั้น จ้าวอวี้หมิงจะเริ่มแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง พร้อมข้ออ้างที่ชวนให้หัวเราะอยู่ร่ำไป“ข้าผ่านมาทางนี้พอดี…ในรถม้ามีขนมติดมาจึงนำมาฝาก”หรือไม่ก็ “วันนี้ฝนตกหนักยิ่งนัก ข้าเลยแวะมาดูว่าหลังคาเรือนคุณหนูเฟิ่งรั่วหรือไม่”เฟิ่งจิงหรงถึงกับหัวเราะร่อออกมาจนเ

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๓ บทสรุปของพระนาง

    ยามเช้าของวันงานแต่ง แม้ว่าบรรยากาศจะอบอวลไปด้วยความเป็นมงคล ทั้งจวนสกุลไป๋และสกุลเซียวต่างเต็มไปด้วยความรื่นเริงยินดี หากแต่ภายใต้ความครึกครื้นนั้นกลับเจือปนด้วยความหม่นหมองของคู่บ่าวสาวไป๋หว่านชิงสวมชุดเจ้าสาวสีแดงฉาน ใบหน้างดงามถูกคลุมด้วยผ้าผืนบางรอคอยให้เจ้าบ่าวเป็นผู้เปิดในคืนเข้าหอ นางกล่าวลามารดาอยู่เพียงสองสามประโยค ก่อนจะขึ้นเกี้ยวรถม้า โดยมีสาวใช้คอยประคองอย่างระมัดระวังอยู่ไม่ห่างว่ากันตามตรงแล้ว ความรู้สึกในยามนี้ของเจ้าสาวควรเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ทว่าในห้วงความคิดลึกๆ ของไป๋หว่านชิงกลับเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ภาพของสตรีผู้นั้นยังคงฉายชัดในความทรงจำ และทุกครั้งที่นึกถึง แววตาของจ้าวอวี้หมิงที่ทอดมองสตรีผู้นั้นก็มักแวบขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียงฆ้องกลองและขบวนแห่เจ้าสาวดังขึ้นเอิกเกริกผู้คนมากมายต่างออกมายืนเบียดเสียดสองข้างทางเพื่อรอชมงานด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะเดิมทีแล้วงานแต่งครั้งนี้ผู้ที่ควรได้เป็นเจ้าสาวคือคุณหนูเฟิ่งหากแต่ชะตากลับพลิกผัน กลายเป็นคุณหนูไป๋ซึ่งเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลพ่อค้า กลับได้วาสนาดีแต่งเข้าสกุลขุนนางใหญ่โตขบวนเกี้ยวเคลื่อนไปยังจุดหม

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๒ การกระทำอ่อนโยน

    บรรยากาศยามบ่ายคล้อยภายในจวนสกุลเฟิ่งเงียบสงัด มีสายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านสวนดอกเหมย กลีบดอกสีแดงสดโปรยปรายร่วงลงบนพื้นหินที่ชื้นเย็น เฟิ่งจิงหรงเพิ่งกลับถึงจวนได้ไม่นานก็พาลอารมณ์เสีย จนเหล่าสาวใช้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา นางกระทืบเท้าเดินกลับเรือนด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายประกายแข็งกร้าว ทั้งตลอดทางน้ำเสียงหวานยังบ่นพึมพำไม่หยุดด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่ออกจากสกุลจ้าวจนถึงจวน“หึ! สกุลจ้าวหรือจะอดอยากถึงเพียงนั้น ขนมหวานพรรค์นั้นใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้ เพียงแต่ข้าอยากเจอหน้าเขาต่างหาก หาใช่อยากกินสิ่งใดเสียเมื่อไร!” นางบ่นพลางผลักบานประตูเรือนเสียงดัง กระแทกกำแพงจนเหล่าสาวใช้พากันก้มหน้าก้มตาเงียบกริบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงทว่าไม่นานเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น สาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หอบหายใจแรงพลางรายงานเสียงตะกุกตะกัก “คุณหนูเจ้าคะ! คุณชายจ้าว…มาขอพบเจ้าค่ะ!”เฟิ่งจิงหรงสะดุ้งเล็กน้อย สีหน้าบึ้งตึงคลายลงชั่วขณะ ก่อนเชิดหน้าขึ้น ปั้นสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ราวกับไม่สนใจใยดีทว่าภายในใจกลับลอบยิ้ม เกรงว่าตอนนี้นางคงมีน้ำหนักไม่น้อยในใจบุรุษผู้นั้น เ

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๑ ยื้อแย่งขนมหวาน

    เฟิ่งจิงหรงสบเข้าตากับไป๋หว่านชิง บรรยากาศในจวนพลันหนักอึ้งจนเหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนให้อึดอัดอยากวิ่งหนีออกไปเสียให้พ้นจากตรงนี้ หากแต่ก็ไม่ผู้ใดกล้าแม้แต่ขยับตัวเพราะเหตุการณ์ตรงหน้านี้ หาใช่เพียงการยื้อแย่งขนมหวานเท่านั้น แต่ขนมหวานชิ้นนั้นกลับมีความหมายประหนึ่งแทนตัวคุณชายจ้าว มีหรือผู้ใดจะไม่รู้ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรีนั้น ยากนักที่จะเป็นเพียงสหายโดยไร้ความหมายอื่นปะปน เหล่าสาวใช้ ได้แต่ยืนนิ่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาปริบๆ ลุ้นระทึกว่าผู้เป็นนายจะตัดสินใจเช่นไร จะขับไล่คุณหนูไป๋ออกไปแล้วรั้งคุณหนูเฟิ่งให้อยู่ร่วมดื่มน้ำชากินขนม พูดคุยอย่างเช่นทุกวัน หรือจะเลือกให้คุณหนูเฟิ่งกลับไปก่อน แล้วเก็บคุณหนูไป๋ไว้ข้างกายดังเช่นที่ผ่านมา เฟิ่งจิงหรงยกมือกอดอก ริมฝีปากคลี่เหยียดยกยิ้มเย้ยหยัน กล่าวว่า “อือ! เช่นนั้นข้าจะจำเอาไว้ ว่าต่อให้เป็นเพียงขนมชิ้นเล็กๆ คุณหนูไป๋ก็ไม่มีน้ำใจแบ่งปันให้ผู้ใดเลย!” ไฉนนางจะไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของไป๋หว่านชิงแท้จริงแล้วกำลังสื่อถึงสิ่งใดอยู่ หากเปรียบจ้าวอวี้หมิงเป็นขนม ยามนี้นางกำลังหยิบเอาเข้าปากอยู่แล้ว หากคิดจะมาแย่ง เกรงว

  • นางร้ายผู้นี้ขอทวงคืนพระรอง   ๒๐ ความอดทนขาดสะบั้น

    เสียงกรีดร้องเล็กแหลมบาดหูของไป๋หว่านชิงปะทุออกมาพร้อมโทสะที่สุมอยู่ในอกมานานหลายวัน ร่างบางสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด นัยน์ตาเมล็ดซิ่งแดงก่ำราวกับมีเพลิงไฟกำลังลุกโชน เพียงเพราะแค่ได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ก็คล้ายกับว่ามีผู้จุดเชื้อเพลิงลงในกองไฟโทสะให้ลุกท่วมทันทีหมายความว่าอย่างไรกัน!?ที่ให้ต้มน้ำชาร้อน เตรียมขนมไว้เช่นนั้นก็เพื่อเฟิ่งจิงหรงงั้นหรือ!?สตรีผู้นั้นแวะเวียนมาที่นี่ลับหลังโดยที่นางไม่รู้ และไม่มีผู้ใดเอ่ยปากบอกแม้แต่น้อยอย่างงั้นหรือ!ไป๋หว่านชิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหากแต่ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด นางกัดฟันกรอด แค่นถ้อยคำลอดไรฟันด้วยน้ำเสียงหวานที่สั่นเครือเจือด้วยความน้อยใจ ขุ่นเคืองและประชดประชัน “นึกไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวและคุณหนูเฟิ่งจะสนิทสนมถึงขั้นไปมาหาสู่กันเช่นนี้นะเจ้าคะ”ริมฝีปากนางคลี่ยกยิ้มเย็นเยียบ ความอดทนที่ยังเหลืออยู่ได้ขาดสะบั้นลงสิ้น ไม่อาจเสแสร้งปั้นหน้ายิ้มเข้าใจอีกต่อไปยามนี้ต่อให้จ้าวอวี้หมิงจะคิดอย่างไร นางก็ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ขอเพียงได้ระบายโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอกออกมาก่อนเช่นนั้น...เกรงว่าคงได้กระอักเลือดออกมาแทน!ใบหน้าคนงามบิดเบี

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status