Войтиดูเหมือนความคิดในหัวของนางจะดังเกินไปหน่อย ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ถ้อยคำที่เอ่ยออกไปยังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ทั้งที่ความคิดก่อนหน้านี้ยังตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว แต่ไฉนกลับพูดออกไปราวกับตกหลุมพรางของความหล่อเหลาของอีกฝ่ายเสียแล้ว
เฟิ่งจิ่นหรงยืนนิ่ง ตัวแข็งชะงักคล้ายหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขณะที่จ้าวอวี้หมิงมองสตรีตรงหน้า หัวคิ้วเข้มขมวดอย่างงุนงง ไม่เข้าใจว่าถ้อยคำเมื่อครู่ที่ได้ยินนั้นเป็นจริงหรือหูฝาดเพี้ยนไปเอง แต่กระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าสติของสตรีตรงหน้าอาจเลอะเลือนไปเสียแล้ว “ข้าไม่ใช่คุณชายเซียว…” น้ำเสียงของเขาเข้มขรึม แต่แฝงด้วยความเย็นชา “หากคุณหนูอยากไปสกุลเซียวนั้นอยู่เส้นทางหน้าวังหลวง หากจำไม่ได้ก็บอกให้สารถีพาไป นี่คือจวนสกุลจ้าว” จ้าวอวี้หมิงถอนหายใจลึก ก่อนจะหันหลังจะเดินหนีคล้ายกับปฏิเสธพลางๆ ทว่าด้วยนิสัยดื้อรั้นเฟิ่งจิ่นหรงกลับก้าวตามเข้ามา ร่างบางยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาแน่วแน่ “ข้า..ข้า มีเรื่องสำคัญจะพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานตะกุกตะกะเต็มไปด้วยความประหม่า นางเงยหน้าขึ้นพลันประสานสบเข้ากับดวงตาคมกริบเย็นเยียบตรงหน้าพอดี จ้าวอวี้หมิงยืนนิ่ง มองสตรีตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ บรรยากาศพลันตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วครู่ สายน้ำในสระบัวสะท้อนแสงแดดพลิ้วไหวราวกับรอคอยกำลังสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป… จ้าวอวี้หมิงเลิกคิ้วถามกลับด้วยน้ำเสียงสงสัย “เรื่องสำคัญใดกัน จนทำให้คุณหนูบุกมาถึงสกุลจ้าวของข้า ทั้งที่ไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนแม้แต่สักครึ่งคำ” เฟิ่งจิ่นหรงยืนตัวตรง เชิดปรายคางขึ้นด้วยความประหม่าฉายชัดออกมา ดวงตาคู่งามเปล่งประกายแฝงความตั้งใจแน่วแน่ หัวใจดวงน้อยเต้นแรง นางสูดลมหายใจลึกกลั้นความหวาดหวั่นไว้ แล้วค่อยๆ เอ่ยเสียงดังฟังชัดถ้อยชัดคำ “ข้า…ข้าอยากขอให้คุณชายรับข้าเป็นภรรยาเจ้าค่ะ” ถ้อยคำพูดนั้นดังชัดเจน ราวกับก้อนหินกระแทกลงกลางสระน้ำ บรรยากาศโดยรอบเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แม้แต่สายลมก็พลันสงบ จ้าวอวี้หมิงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าถมึงทึงย่ำแย่งุนงงยิ่งกว่าเดิม เชามองสตรีตรงหน้าคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ริมฝีปากหนาเหยียดยกยิ้มเย้ยหยัน “คุณหนูเฟิ่ง…ข้าได้ยินผิดใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถามเสียงแผ่วลงอย่างไม่คาดคิด สตรีตรงหน้าเคยเป็นคู่หมั้นของเซียวจิ้นอวิ้นก็จริงแต่นั้นก็คือเหตุการณ์ในอดีตก่อนที่การหมั้นหมายจะถูกยกเลิก เกรงว่าคงทำให้อับอายรู้สึกราวกับถูกหักหน้า คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องการเอาคืนคุณชายเซียวกระมัง แต่แล้วเหตุใดจึงเกี่ยวข้องกับเขา? หรือเพราะเขาเป็นสหายของไป๋หว่านชิงกัน? ความคิดนั้นทำให้หัวใจของจ้าวอวี้หมิงกระตุกวูบ ใบหน้าค่อยๆ ซีดลง ร่างกายแทบไม่อาจนิ่งเฉย เขาช้าไปเพียงก้าวเดียว…นางก็ยืนอยู่ในอ้อมกอดของผู้อื่นไปเสียแล้ว เฟิ่งจิ่นหรงพยักหน้าแน่วแน่ ราวยืนยันว่าไม่ผิดแน่ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ…ข้าเลือกแล้ว ข้าอยากอยู่เคียงข้างคุณชายเพียงผู้เดียว” น้ำเสียงหวานดังชัดก้องไปทั่วทั้งจวน ราวกับประกาศให้ทุกคนรับรู้ แม้แต่เหล่าสาวใช้ที่อยู่รอบๆ ถึงกับชะงักหยุดฟังด้วยความสนใจทันที จ้าวอวี้หมิงเงียบไปชั่วขณะ สายตาคมกริบจับจ้องลึกลงไปในนัยน์ตาเมล็ดซิ่งราวพยายามค้นหาอะไรบางอย่าง “คุณหนูต้องการจะใช้ข้าเป็นหมากในกระดานเพื่อประชดประชันคุณชายเซียวงั้นหรือ” เขาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ จ้าวอวี้หมิงแค่ฮึดฮัดในลำคอ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเจือความข่มขู่เต็มไปด้วยความหวังดี “ข้าเป็นสหายของไป๋หว่านชิง…ย่อมไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดมาล่วงเกินหรือทำร้ายชีวิตคู่ของนางแน่” พอเฟิ่งจิงหลินได้ยินแช้วพลันหลุดหัวเราะร่อออกมาราวกับเรื่องตลกขบขัน น้ำเสียงใสหวานกังวานออกมาด้วยความสงสัยและงุนงง “อืม…ไป๋หว่านชิงเลี้ยงบุรุษด้วยอันใดกัน เหตุใดถึงได้ทึ่มทื่อ ตาบอดและซื่อตรงยิ่งกว่าสุนัขที่ข้าเคยเลี้ยงมาเสียอีก!” นางกำลังช่วยพระรองผู้น่าสงสารให้พ้นชะตากรรมที่เวทนา แต่ไฉนเขากลับมองความหวังดีของนางเป็นกบฏกัน! “ข้าหรือจะใช้คุณชายจ้าวเป็นหมากในกระดานเพื่อเรียกความสนใจจากเซียวจิ้นอวิ๋น…ตอนนี้ข้ารู้แล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ตอนที่ข้าขู่ว่าจะกระโดดลงแม่น้ำ เขากลับไม่สนใจ มิหนำซ้ำ ข้ากระโดดลงไปแล้วก็หาได้เหลียวแล เกรงว่าหากข้าตายไปจริงๆ เขาคงจะเฉลิมฉลองเสียด้วยซ้ำ ที่ข้าได้ไปพ้นหูพ้นตาไม่ต้องมารำคาญให้เห็นอีก” คำพูดของเฟิ่งจิงหลิน ราบเรียบแต่กลับเต็มไปด้วยความเย็นชาแฝงข่มขืนอย่างชัดเจน บุรุษเห็นแก่ตัวผู้นั้นเหมาะสมกับนางเอกดอกบัวขาวที่สุด ราวกับผีเน่ากับโลงผุ! จ้าวอวี้หมิงชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะประแอมไอออกมาคล้ายกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่างที่ก่อขึ้นในใจอย่างไม่รู้ตัว เขาเป็นผู้ที่กระโจนลงน้ำไปช่วยนางเอง…แต่ตอนนี้กลับยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมความเย็นยะเยือกและความคิดที่ซับซ้อนราวกับไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ว่ากันตามตรง เขาคิดว่าสตรีตรงหน้าจะได้ไปปรโลกเสียอีก แต่กลับมีชีวิตคืนมาได้ นับว่ามีความสามารถไม่ธรรมดา น้ำเสียงทุ้มพึมพำออกมาแผ่วเบา เต็มไปด้วยความคาดเดา “หากกล่าวว่าเขาเห็นแก่ตัวนัก ก็อย่าได้คิดจะกระโดดลงน้ำประชดเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ใดอีก คราวหน้า…เกรงว่าคงจะได้ตายไปจริงๆ ช่วยไว้ไม่ได้อีกแล้ว” สายตาคมกริบจ้องสตรีตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบนหน้าหันหนี หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับขัดใจตนเองที่ต้องยอมรับความจริงบางอย่าง “เหอะ! น่าสมเพชนักที่แม้จะมีชีวิตอยู่ก็ยังทำเรื่องโง่เช่นนี้” เฟิ่งจิงหรงยังคงจ้องมองบุรุษตรงหน้าไม่ลดละ นางเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะยกมือกอดอก แค่นเสียงถามอย่างจริงจัง “พูดออกมาราวกับว่ากระโจนน้ำลงไปช่วยข้าเสียเอง…” จ้าวอวี้หมิงได้ยินถึงกับต้องหันกลับมาทันที พลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอา น้ำเสียงทุ้มต่ำพร่ำพึมพำ “โง่งม…” คาดว่าคงไม่มีผู้ใดบอกกระมัง ว่าใครที่กระโจนลงน้ำเป็นผู้ช่วยนางขึ้นมาให้รอดพ้นจากความตาย ช่างเถอะ…เขาเองก็หาได้ติดใจทวงถามบุญคุณอะไรนัก ถือว่าได้ทำบุญช่วยเหลือชีวิตผู้คนอนาถาก็พอใจแล้ว ใบหน้าคนงามเริ่มฉายแววโกรธเคืองไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน ริมฝีปากบางยกยิ้มเย้ยหยัน “คำก็สมเพช…สองคำก็โง่งม…เจ้าดีกว่าข้านักหรืออย่างไรกัน จ้าวอวี้หมิง! ตามต้อยติดสตรีผู้นั้นราวกับสุนัข หากนางมาเจ้าก็สะบัดหางรับ หากนางไปก็หม่นหมองไม่เป็นอันทำสิ่งใด!” พอสิ้นคำนั้น นางพลันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า เจือแววเวทนาในดวงตาอยู่บ้าง ทั้งที่เป็นเพียงบทของนิยายน้ำเน่า แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงถลำลึกจนกลายเป็นเรื่องที่นางโปรดปรานที่สุดไปได้! จ้าวอวี้หมิงนิ่งไร้คำตอบไม่เอื้อนเอ่ยอันใด จู่ๆ อีกฝ่ายก็บุกเข้ามาถึงจวน ประกาศปาวๆ ว่าอยากแต่งเป็นภรรยาของเขา ไหนยังจะมีหน้ามายืนสบถด่าเขาต่อหน้าในเรือนของเขาเองอีก สายตาคมกริบฉายแววเหนื่อยหน่ายเต็มไปด้วยความรำคาญ ก่อนจะเหลือบไปมองบรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วเอ่ยคำสั่งทันที “พาคุณหนูเฟิ่งออกไปเสีย วันนี้สกุลจ้าวไม่รับแขกแล้ว” ทันใดนั้น สาวใช้ยังไม่ทันก้าวเข้ามาใกล้ เฟิ่งจิงหรงก็ชูมือขึ้นเป็นสัญญาณห้าม ใบหน้ายิ่งทะนง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งจ้องบุรุษตรงหน้าไม่ลดละ “จ้าวอวี้หมิง…คิดจะไล่ข้าออกไปง่ายๆ เช่นนี้ เพราะกลัวว่าข้าจะพูดความจริงที่ท่านซ่อนเอาไว้ใช่หรือไม่” เสียงหวานกึกก้อง ทุกถ้อยคำราวกับมีหนามทิ่มแทงหัวใจ ชวนให้ผู้ฟังไม่อาจสงบได้ จ้าวอวี้หมิงนิ่งงัน ดวงตาคมกริบฉายแววขุ่นเคืองชั่ววูบก่อนจะกลับมาราบเนียบเย็นชาดังเดิม เฟิ่งจิงหรงหัวเราะเยาะ นางเอียงศีรษะเล็กน้อย รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้า “ท่านว่าข้าโง่งม…แต่กลับทำตัวเหมือนบุรุษผู้ถูกสตรีจูงจมูก มิหนำซ้ำยังภาคภูมิใจนักหนาที่ได้เป็นเงาตามหลังนาง หากวันใดที่ไป๋หว่านชิงเบือนหน้าหนี ท่านเองคงเหลือเพียงความว่างเปล่าไม่ต่างอะไรจากหมาเร่ร่อนที่ไม่มีใครเหลียวแล” คำพูดนั้นเหมือนคมมีดเฉือนลึกลงในอกจ้าวอวี้หมิง เขากำมือแน่น ความอดทนใกล้ขาดสะบั้น แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เฟิ่งจิงหรง!” น้ำเสียงตวาดดังลั่น เส้นเลือดบนขมับปูดนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน ดวงตากลับไหววูบด้วยบางสิ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจ ทว่ากลับไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย ก้าวเข้าไปใกล้ ระยะห่างระหว่างทั้งสองเหลือเพียงลมหายใจรดริน ริมฝีปากขยับเอ่ยพูดช้าๆ เสียงเบาแต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ “หากท่าาไล่ข้าออกไป…อย่าลืมเสียเล่าว่า ข้าจะกลับมาอีก และทุกครั้งที่กลับมา ข้าจะทำให้ท่านไม่มีวันลืมว่าข้าคือใคร”บรรยากาศภายในห้องโถงอาหารเงียบกริบลงชั่วขณะเมื่อคำถามของนายท่านเฟิ่งหลุดออกมา สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมองไปยังคุณชายจ้าวด้วยความคาดหวัง…ไม่เว้นแม้แต่เฟิ่งจิงหรงนางลอบเหล่หางตามองบุรุษข้างกาย หาได้หันไปสบตาเขาโดยตรง ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะหันไปมองบิดาราวกับห้ามปราม“ท่านพ่อ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น พลางถอนหายใจหนักอึ้งออกมาเฮือกหนึ่ง นางหาได้ต้องการบีบบังคับให้จ้าวอวี้หมิงต้องรู้สึกกดดัน อึดอัดหรือลำบากใจอันใด“กินข้าวกันเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะเย็นชืดแล้วไม่อร่อยได้”เฟิ่งฮูหยินเข้าใจได้ว่าบุตรสาวคงรู้สึกลำบากใจใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะปรายไปมองบุรุษหนุ่มตรงหน้า “นายท่านเฟิ่งเพียงแค่หยอกล้อเท่านั้น คุณชายจ้าวอย่าได้กังวลไปเจ้าค่ะ”พอสิ้นคำ จ้าวอวี้หมิงนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมฉายแววครุ่นคิดอย่างชัดเจน มุมปากหนาผุดรอยยิ้มจางๆ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบก่อนจะยกตะเกียบคีบอาหารวางลงชามให้สตรีข้างกายราวกับเป็นสิ่งที่ควรทำ หาใช่เรื่องแปลก“คุณหนูเฟิ่งงดงามไม่น้อย ข้าว่าบุรุษใดที่เห็นแล้วก็ต้องหันกลับมามองทั้งสิ้น”ถ้อยคำเรียบง่ายกลับหนักแน่นดั่งหินผา ดังก้องสะท้อนอยู่ในห้องโถงร
หลายวันผ่านไป หลังงานมงคลใหญ่ระหว่างสกุลเซียวและสกุลไป๋เสร็จสิ้น ทว่าเสียงซุบซิบนินทาก็ยังไม่ยอมจางหาย ข่าวคราวต่างเล่าลือกันไม่หยุด ว่าเจ้าบ่าวหรือคุณชายเซียวหาได้ชืนมื่นหรือมีสีหน้ายินดีไม่ แววตากลับเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมยามได้เห็นอดีตคนรักอย่างคุณหนูเฟิ่งมาร่วมงาน แถมยังเผลอทอดสายตามองด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายถอนหมั้นเสียเองส่วนคุณหนูไป๋ผู้เป็นเจ้าสาว แม้ใบหน้าจะถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมผืนบาง แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับขุ่นมัวและหม่นหมอง หาได้เบิกบานแต่อย่างใดเฟิ่งจิงหรงหาได้ใส่ใจคำพูดเหล่านั้นนัก หากคนร้อยคนเอ่ยปากก็เป็นร้อยความหมาย นางไม่อยากเก็บมาใส่ใจว่าเซียวจิ้นอวิ๋นจะยังคงเหลือเยื่อใยหรือไม่…?หรือคุณหนูไป๋จะทุกข์ใจเพียงใด…?เพราะนับจากวันที่นางเอ่ยปากหยอกล้อชักชวนบุรุษผู้นั้นให้มาเยือนจวนเล่นๆ ก็ไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากนั้น จ้าวอวี้หมิงจะเริ่มแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง พร้อมข้ออ้างที่ชวนให้หัวเราะอยู่ร่ำไป“ข้าผ่านมาทางนี้พอดี…ในรถม้ามีขนมติดมาจึงนำมาฝาก”หรือไม่ก็ “วันนี้ฝนตกหนักยิ่งนัก ข้าเลยแวะมาดูว่าหลังคาเรือนคุณหนูเฟิ่งรั่วหรือไม่”เฟิ่งจิงหรงถึงกับหัวเราะร่อออกมาจนเ
ยามเช้าของวันงานแต่ง แม้ว่าบรรยากาศจะอบอวลไปด้วยความเป็นมงคล ทั้งจวนสกุลไป๋และสกุลเซียวต่างเต็มไปด้วยความรื่นเริงยินดี หากแต่ภายใต้ความครึกครื้นนั้นกลับเจือปนด้วยความหม่นหมองของคู่บ่าวสาวไป๋หว่านชิงสวมชุดเจ้าสาวสีแดงฉาน ใบหน้างดงามถูกคลุมด้วยผ้าผืนบางรอคอยให้เจ้าบ่าวเป็นผู้เปิดในคืนเข้าหอ นางกล่าวลามารดาอยู่เพียงสองสามประโยค ก่อนจะขึ้นเกี้ยวรถม้า โดยมีสาวใช้คอยประคองอย่างระมัดระวังอยู่ไม่ห่างว่ากันตามตรงแล้ว ความรู้สึกในยามนี้ของเจ้าสาวควรเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี ทว่าในห้วงความคิดลึกๆ ของไป๋หว่านชิงกลับเต็มไปด้วยความขุ่นมัว ภาพของสตรีผู้นั้นยังคงฉายชัดในความทรงจำ และทุกครั้งที่นึกถึง แววตาของจ้าวอวี้หมิงที่ทอดมองสตรีผู้นั้นก็มักแวบขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียงฆ้องกลองและขบวนแห่เจ้าสาวดังขึ้นเอิกเกริกผู้คนมากมายต่างออกมายืนเบียดเสียดสองข้างทางเพื่อรอชมงานด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะเดิมทีแล้วงานแต่งครั้งนี้ผู้ที่ควรได้เป็นเจ้าสาวคือคุณหนูเฟิ่งหากแต่ชะตากลับพลิกผัน กลายเป็นคุณหนูไป๋ซึ่งเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลพ่อค้า กลับได้วาสนาดีแต่งเข้าสกุลขุนนางใหญ่โตขบวนเกี้ยวเคลื่อนไปยังจุดหม
บรรยากาศยามบ่ายคล้อยภายในจวนสกุลเฟิ่งเงียบสงัด มีสายลมเอื่อยเฉื่อยพัดผ่านสวนดอกเหมย กลีบดอกสีแดงสดโปรยปรายร่วงลงบนพื้นหินที่ชื้นเย็น เฟิ่งจิงหรงเพิ่งกลับถึงจวนได้ไม่นานก็พาลอารมณ์เสีย จนเหล่าสาวใช้ไม่กล้าแม้แต่จะสบตา นางกระทืบเท้าเดินกลับเรือนด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายประกายแข็งกร้าว ทั้งตลอดทางน้ำเสียงหวานยังบ่นพึมพำไม่หยุดด้วยความหงุดหงิด ตั้งแต่ออกจากสกุลจ้าวจนถึงจวน“หึ! สกุลจ้าวหรือจะอดอยากถึงเพียงนั้น ขนมหวานพรรค์นั้นใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้ เพียงแต่ข้าอยากเจอหน้าเขาต่างหาก หาใช่อยากกินสิ่งใดเสียเมื่อไร!” นางบ่นพลางผลักบานประตูเรือนเสียงดัง กระแทกกำแพงจนเหล่าสาวใช้พากันก้มหน้าก้มตาเงียบกริบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงทว่าไม่นานเสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้น สาวใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งเข้ามาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หอบหายใจแรงพลางรายงานเสียงตะกุกตะกัก “คุณหนูเจ้าคะ! คุณชายจ้าว…มาขอพบเจ้าค่ะ!”เฟิ่งจิงหรงสะดุ้งเล็กน้อย สีหน้าบึ้งตึงคลายลงชั่วขณะ ก่อนเชิดหน้าขึ้น ปั้นสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ ราวกับไม่สนใจใยดีทว่าภายในใจกลับลอบยิ้ม เกรงว่าตอนนี้นางคงมีน้ำหนักไม่น้อยในใจบุรุษผู้นั้น เ
เฟิ่งจิงหรงสบเข้าตากับไป๋หว่านชิง บรรยากาศในจวนพลันหนักอึ้งจนเหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกกระอักกระอ่วนชวนให้อึดอัดอยากวิ่งหนีออกไปเสียให้พ้นจากตรงนี้ หากแต่ก็ไม่ผู้ใดกล้าแม้แต่ขยับตัวเพราะเหตุการณ์ตรงหน้านี้ หาใช่เพียงการยื้อแย่งขนมหวานเท่านั้น แต่ขนมหวานชิ้นนั้นกลับมีความหมายประหนึ่งแทนตัวคุณชายจ้าว มีหรือผู้ใดจะไม่รู้ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุรุษกับสตรีนั้น ยากนักที่จะเป็นเพียงสหายโดยไร้ความหมายอื่นปะปน เหล่าสาวใช้ ได้แต่ยืนนิ่งมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาปริบๆ ลุ้นระทึกว่าผู้เป็นนายจะตัดสินใจเช่นไร จะขับไล่คุณหนูไป๋ออกไปแล้วรั้งคุณหนูเฟิ่งให้อยู่ร่วมดื่มน้ำชากินขนม พูดคุยอย่างเช่นทุกวัน หรือจะเลือกให้คุณหนูเฟิ่งกลับไปก่อน แล้วเก็บคุณหนูไป๋ไว้ข้างกายดังเช่นที่ผ่านมา เฟิ่งจิงหรงยกมือกอดอก ริมฝีปากคลี่เหยียดยกยิ้มเย้ยหยัน กล่าวว่า “อือ! เช่นนั้นข้าจะจำเอาไว้ ว่าต่อให้เป็นเพียงขนมชิ้นเล็กๆ คุณหนูไป๋ก็ไม่มีน้ำใจแบ่งปันให้ผู้ใดเลย!” ไฉนนางจะไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของไป๋หว่านชิงแท้จริงแล้วกำลังสื่อถึงสิ่งใดอยู่ หากเปรียบจ้าวอวี้หมิงเป็นขนม ยามนี้นางกำลังหยิบเอาเข้าปากอยู่แล้ว หากคิดจะมาแย่ง เกรงว
เสียงกรีดร้องเล็กแหลมบาดหูของไป๋หว่านชิงปะทุออกมาพร้อมโทสะที่สุมอยู่ในอกมานานหลายวัน ร่างบางสั่นสะท้านเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด นัยน์ตาเมล็ดซิ่งแดงก่ำราวกับมีเพลิงไฟกำลังลุกโชน เพียงเพราะแค่ได้ยินถ้อยคำเมื่อครู่ก็คล้ายกับว่ามีผู้จุดเชื้อเพลิงลงในกองไฟโทสะให้ลุกท่วมทันทีหมายความว่าอย่างไรกัน!?ที่ให้ต้มน้ำชาร้อน เตรียมขนมไว้เช่นนั้นก็เพื่อเฟิ่งจิงหรงงั้นหรือ!?สตรีผู้นั้นแวะเวียนมาที่นี่ลับหลังโดยที่นางไม่รู้ และไม่มีผู้ใดเอ่ยปากบอกแม้แต่น้อยอย่างงั้นหรือ!ไป๋หว่านชิงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหากแต่ไร้ความรู้สึกเจ็บปวด นางกัดฟันกรอด แค่นถ้อยคำลอดไรฟันด้วยน้ำเสียงหวานที่สั่นเครือเจือด้วยความน้อยใจ ขุ่นเคืองและประชดประชัน “นึกไม่ถึงว่าคุณชายจ้าวและคุณหนูเฟิ่งจะสนิทสนมถึงขั้นไปมาหาสู่กันเช่นนี้นะเจ้าคะ”ริมฝีปากนางคลี่ยกยิ้มเย็นเยียบ ความอดทนที่ยังเหลืออยู่ได้ขาดสะบั้นลงสิ้น ไม่อาจเสแสร้งปั้นหน้ายิ้มเข้าใจอีกต่อไปยามนี้ต่อให้จ้าวอวี้หมิงจะคิดอย่างไร นางก็ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ขอเพียงได้ระบายโทสะที่อัดแน่นอยู่ในอกออกมาก่อนเช่นนั้น...เกรงว่าคงได้กระอักเลือดออกมาแทน!ใบหน้าคนงามบิดเบี







