“องค์หญิงทรงเย็นพระทัยไว้เพคะ เพื่อตำแหน่งฮองเฮาในภายภาคหน้านะเพคะ”
นางกำนัลส่วนตัวของเว่ยฟางกล่าวอย่างเอาใจ เมื่อเดินออกมาจากห้องหนังสือของหลี่ซ่งหมิน
“องค์ชายนะองค์ชาย ทรงเย็นชาจริงๆเชียว” เว่ยฟางยังคงบ่นอย่างขัดใจกับกิริยาของหลี่ซ่งหมินที่แสดงออกต่อนางเมื่อครู่
เพล้ง!
เสียงถ้วยขนมหลุดออกจากถาดจนหล่นกระทบพื้นแตกกระจายเสียงดัง เหตุเพราะเว่ยฟางมัวแต่เดินไปก้มหน้าบ่นไปจึงชนเข้ากับเสี่ยวอิงสาวใช้ตัวน้อยนางหนึ่งที่ถือถาดใส่ถ้วยขนมเดินมาอย่างพอดิบพอดี
“เจ้าเดินอย่างไรกันเนี่ย” เสียงเว่ยฟางกล่าวอย่างขัดใจ ทำเอาเสี่ยวอิงถึงกับหน้าถอดสี
นางกำนัลคนสนิทของเว่ยฟางไม่รอช้ารีบสมทบในทันที “เจ้าเด็กซุมซ่าม เห็นไหมว่าชุดองค์หญิงแพงแค่ไหน ขนมของเจ้ากระเด็นใส่องค์หญิงแล้วเนี่ย” นางพูดขึ้นอย่างเบ่งบารมี เพราะถือตนเป็นคนสนิทและอายุเยอะกว่าคู่กรณี
สาวน้อยเสี่ยวอิงรีบเอ่ยอย่างร้อนรน “ขอประทานอภัยเพคะ องค์หญิง หม่อมฉัน เอ่อ...หม่อมฉัน”
เสี่ยวอิงพลางคุกเข่าก้มหน้าแนบพื้น นางไม่รู้จะพูดอย่างไรดี แต่นางไม่ผิดนะ นางเดินของนางอยู่ดีๆ องค์หญิงเป็นฝ่ายมาชนนางเองต่างหาก เสี่ยวอิงแค่คิดในใจมิได้เอ่ยออกมา
นางกำนัลคนเดิมไม่ฟังรีบเอ่ยเสียงดัง “เจ้า” พลางพยักหน้าไปทางบ่าวชายที่รอรับใช้อยู่ไม่ไกล “พานางสาวใช้คนนี้ไปลงโทษให้หนัก”
นางยังเบ่งอำนาจประจบเว่ยฟางอย่างไม่ลดละ “องค์หญิงยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ ช่างบังอาจนัก”
เสี่ยวซิงมารดาของเสี่ยวอิงเห็นเหตุการณ์อยู่ไม่ไกล จึงรีบเดินเข้ามาทางเสี่ยวอิงที่กำลังร้องไห้ตัวสั่นเทา
องค์หญิงนางนี้คงกำลังกระทำการเรียกร้องความสนใจจากองค์ชายอย่างไม่ต้องสงสัย เสี่ยวซิงคุกเข่าพลางคิดในใจ พร้อมก้มหน้าลงแนบพื้นขอร้องแทนบุตรสาวพัลวัน
แต่ก็ไม่เป็นผล องค์หญิงเว่ยฟางยังคงเชิดหน้าหรี่ตามองอย่างเอาเรื่องโดยมีนางกำนัลคนสนิทเป็นตัวแทนดำเนินการ
“ท่านแม่ ฮือๆ ท่านแม่” เสี่ยวอิงกอดแขนมารดาไว้เมื่อโดนบ่าวชายพยามดึงตัวนางออกไป
“ข้าไม่ผิดนะ ฮือๆ” เพราะเสี่ยวอิงอายุเพียงเจ็ดแปดขวบเท่านั้น นางจึงร้องไห้คราญครางอย่างไม่อายใคร
ชายหนุ่มที่ได้รับคำสั่งให้พาตัวเสี่ยวอิงไป เพียรฉุดกระชากอยู่อย่างไม่เกรงใจ
หลี่ซ่งหมินเพียงยืนนิ่งๆ มองเหตุการณ์เมื่อครู่จากในห้องหนังสือของเขา เนื่องจากมันอยู่ไม่ไกลกันนัก
ดูเอาเถอะ...องค์หญิงเว่ยฟางนี่ ช่างกระทำการอย่างอุกอาจ พาตัวเด็กรับใช้ในเขตวังของเขาไปอย่างนั้น
หากเขายื่นมือเข้าไปช่วยเหลือสาวใช้นางนั้น คงเป็นการเข้าทางขององค์หญิงนางนี้เป็นแน่
สตรีสวยงามพวกนี้มักมีนิสัยหน้าเนื้อใจเสือแบบนี้ เหมือนกับพวกบรรดาสนมของพระบิดาของเขา
เขาเพียงนึกระอากับพฤติกรรมของพวกนางอยู่หลายส่วน การเรียกร้องความสนใจจากเขาโดยการนำคนอื่นมาเป็นเครื่องมือ ช่างน่ารังเกียจนัก
แต่เขาก็ทำใจไว้ส่วนหนึ่งว่าวันหนึ่งเขาจะต้องแต่งงานกับบรรดาสตรีพวกนี้ เพื่อถ่วงดุลอำนาจต่างๆภายในราชสำนัก
“ทูลองค์ชาย หม่ากงกงนำจดหมายจากสำนักพระราชวังมาถวายพะย่ะค่ะ” เสียงของซือเว่ยองครักษ์คนสนิทดังขึ้นจากด้านหลังของหลี่ซ่งหมิน ทำให้หลี่ซ่งหมิน ต้องถอนสายตาจากเหตุการณ์ตรงนั้น มายังจดหมายฉบับนี้แทน
เนื้อหาในจดหมายว่าด้วยการคัดเลือกสาวงาม เพื่อมาปรนนิบัตรับใช้หลี่ซ่งหมินโดยเฉพาะเรื่องบนเตียง
เนื่องจากชายหนุ่มบ่ายเบี่ยงและปฏิเสธการอภิเษกสมรสระหว่างเขากับบรรดาองค์หญิงและบุตรสาวของบรรดาขุนนางอยู่เสมอ
ไม่ว่าใครก็ยังไม่เป็นที่โปรนปรานสำหรับเขา
ทำให้องค์ฮ่องเต้ทรงเป็นกังวล
เกรงว่าเขาจะเป็นพวก ต้วนซิ่วจือผี่(รักร่วมเพศ) ตามคำติฉินนินทาของเหล่าข้าราชบริพาร
เขารู้ตัวเองดีว่าเขาไม่ใช่ เพียงแต่ชีวิตของเขามักจะต้องแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสมอ
ด้วยตำแหน่งฐานะของเขาทำให้เขาเหมือนยืนอยู่ริมหน้าผา
ทำให้เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่อาจปฏิเสธจดหมายฉบับนี้ได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ราชโองการก็ตามที
เขาเข้าใจเจตนาของพระบิดาเป็นอย่างดี การคัดเลือกสาวงามสำหรับอุ่นเตียงนี้ เพียงเพื่อลบคำครหาเกี่ยวกับตัวเขา พระบิดาจึงมีพระประสงค์เช่นนี้ หากเขาปฏิเสธไป พระบิดาก็คงจะยกเรื่องคัดเลือกองค์หญิงและบุตรสาวตระกูลใหญ่ให้อภิเษกแทน
ถึงอย่างไรเสีย บรรดาสาวงามย่อมจัดการได้ง่ายกว่าบรรดาองค์หญิงและคุณหนูตระกูลใหญ่เป็นแน่
อีกทั้ง...
ยังอาจจะทำให้เขา
ลืมใครบางคนได้อีกด้วย...
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้ทหารนำใจความจดหมายประกาศออกไป
เพียงวันเดียวเท่านั้นก็มีบรรดาสาวงามมาลงสมัครเข้าแข่งขันกันมากมาย จนบ่าวไพร่ของเขาต้องช่วยกันคัดเลือกเสียจนหัวหมุน
ก่อนถึงวันคัดเลือกจริง ต้องเหลือเพียงแค่ไม่กี่นางเท่านั้น เพื่อง่ายต่อการจัดการ...
มาถึงการวาดภาพศิลปะปลายพู่กัน สตรีอื่นๆต่างวาดภาพเป็นทิวทัศน์ ภูเขา แม่น้ำ บ้างก็วาดภาพรูปบุปผาต่างๆ ดูแล้วงดงามสบายตา แต่หงเหม่ยหลงกลับวาดภาพออกมาเป็นกระบวนท่าของการต่อสู้ต่างๆเต็มหน้ากระดาษ จนเหล่าทหารที่คอยอารักขาอยู่ภายในบริเวณการแข่งขันแทบจะเข้ามาแย่งชิงกัน เพื่อนำมันไปฝึกฝนจนสุดท้ายที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างฉงนจากบรรดาผู้มาร่วมงานก็คือการเล่นดนตรี สาวงามนางอื่นปล่อยพลังนิ้วมือเพื่อเล่นดนตรีล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู จนได้คะแนนเต็มสิบส่วนกันถ้วนหน้า มีเพียงหงเหม่ยหลงที่ไม่ได้คะแนนเลยการเล่นดนตรีนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับนางเพราะนางฝึกแต่ดาบ ฝึกแต่พลังฝ่ามือ ไม่เคยฝึกเล่นดนตรีใดๆ กิจกรรมทั่วไปสำหรับเหล่าสตรีนางมิเคยได้แตะต้องดังนั้นเมื่อนางเพียงแค่จรดปลายนิ้วเพื่อส่งพลังไปยังเครื่องดนตรีเหล่านั้น เครื่องดนตรีก็เป็นอันต้องเสียหาย บ้างก็สายขาด บ้างก็ปริแตก เปลี่ยนตัวใหม่ก็ยังเหมือนเดิม โจทย์ข้อนี้นางทำเครื่องดนตรีเสียหายไปหลายตัว จนนางต้องยอมแพ้หลี่ซ่งหมินที่นั่งมองหงเหม่ยหลงอยู่เขารู้ดีถึงสาเหตุนั้นเขาเคยเห็นพลังงานจากฝ่ามือนั้นของนางมาแล้ว ตอนที่นาง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน การคัดเลือกสาวงามก็มาถึงณ ลานกว้างของวังหลี่ซ่งหมินหนาแน่นไปด้วยเหล่าสาวงาม แต่ละนางล้วนมีหน้าตาสวยสดงดงามหยาดเยิ้มจนหงเหม่ยหลงรู้สึกแสบตาไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่สตรีรูปโฉมเหนือคำบรรยาย เพียงไม่นานเหล่าขันทีทั้งหลายก็เดินทางเข้ามาทำให้รู้ว่าใกล้ถึงเวลาแข่งขันแล้วหงเหม่ยหลงมิได้มีอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด เพียงแต่นางไม่ชินกับภาพแบบนี้เอาเสียเลยที่บ้านของนาง สำนักหมื่นโลกันตร์ มิใช่ไม่เคยจัดการแข่งขันแต่การแข่งขันที่บ้านของนางนั้นล้วนเป็นกิจกรรมแนวป่าเถื่อนแต่ละคนที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนแล้วแต่มีลักษณะหน้าตาโหดเหี้ยม ดุดัน มิได้เหมือนดั่งนางฟ้านางสวรรค์เช่นนี้แต่ที่นี่เวลานี้ทำให้นางพอเข้าใจในตัวของบุรุษที่นางแอบชื่นชมอยู่ในใจบุรุษอะไร ช่างเจ้าชู้ เจ้าสำราญ น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก นางนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นึกอยากจะฆ่าสตรีทุกคนในที่นี้เสียจริงเชียวและบุรุษที่หงเหม่ยหลงกำลังนึกเข่นเขี้ยวอยู่นั้น บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ด้านบนสุดของเวทีการแข่งขันแห่งนี้ซึ่งเดิมทีหลี่ซ่งหมินนั้นมิได้คิดที่จะเข้ามาดูการแข่งขันแต่อย่างใด เพียงแต่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าขันทีไปเพี
“เจ้าควรจะทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นหลังจากได้อ่านหนังสือเหล่านั้นจนพอใจ” จู่ๆ หลี่ซ่งหมินก็เอ่ยขึ้น เพื่อชี้นำบางอย่างให้แก่หงเหม่ยหลงเขารู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ชิดนาง อยากคุยกับนางให้มากกว่านี้ หงเหม่ยหลงเพียงนั่งฟังนิ่งๆไม่ตอบรับคำใดๆ แต่ทว่าภายในใจกำลังเห็นด้วยกับความคิดนั้นของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของถิ่นฐานแห่งนี้ แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะกล่าวสิ่งใด หลี่ซ่งหมินก็ลุกขึ้นพร้อมทั้งถือวิสาสะจับกุมมือของหงเหม่ยหลงให้เดินตามตนออกมาจากในห้องหนังสือเสียอย่างนั้น “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! ท่าน!” หงเหม่ยหลงเอ่ยได้แค่นั้นพลางลุกเดินตามออกมาอย่างฉงน หญิงสาวมองเห็นเหล่าบรรดาบ่าวไพร่ตามรายทางต่างเมียงมองมาทางนางเป็นสายตาเดียวกัน นั่นจึงทำให้นางไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้อีกต่อไป ด้วยเพราะเกรงว่าอาจจะเป็นการไม่ให้เกียรติชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าของนางในยามนี้ เมื่อหลี่ซ่งหมินพาหงเหม่ยหลงเดินทอดน่องมาจนถึงสวนสวยแห่งหนึ่งภายในอุทยานของเขตวังของเขา เขาจึงค่อยๆหยุดเดินแต่ยังคงจับกุมมือของนางอยู่อย่างเอาแต่ใจ “ท่าน! ปล่อย! ปล่อยก่อน...” หงเ
หงเหม่ยหลงยอมมานั่งลงแต่โดยดี ด้วยเพราะรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเอง“ข้า เอ่อ...ขอโทษด้วยที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องของท่านยามวิกาลเช่นนี้” หงเหม่ยหลงเอ่ยขึ้น สีหน้างามที่มักจะดุดันของนางอ่อนโยนลงภายใต้แสงเทียนชายหนุ่มเพียงนั่งมองใบหน้านั้นมิได้กล่าวสิ่งใดหญิงสาวเห็นชายหนุ่มเงียบไปจึงเอียงหน้าไปทางเขาพลางขมวดคิ้วเป็นเชิงคำถาม “ท่านกำลังเคืองข้างั้นรึ”“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเคือง ข้ามิได้ทำสิ่งใดที่เป็นความผิดร้ายแรงเสียหน่อย หนังสือหรือ ข้าก็ยังมิได้ขโมยไปสักเล่ม”ชายหนุ่มจ้องหน้านางก่อนกล่าว “ถ้าข้านอนหลับไปแล้ว เกรงว่าเจ้าจะขโมยมันจนหมด ไม่เหลือสักเล่ม”“ท่าน!” หญิงสาวถลึงตาใส่ ก่อนถอนหายใจ ยามเอ่ย“เฮ่อ....ท่านจะเอาอย่างไร ว่ามา”“ก็ไม่อย่างไร” ชายหนุ่มตอบหน้านิ่ง “ถ้าเจ้าอยากอ่านหนังสือก็อ่านได้เลย แต่ต้องอ่านที่นี่ ห้ามนำมันออกไป”“แม้ข้าจะนำมันออกไป ข้าย่อมนำมันมาคืน”“แต่ข้าไม่ให้นำมันไป เจ้าต้องนั่งอ่านมันในนี้”“ทำไมงั้นเล่า ท่านจะไม่หลับไม่นอนหรือยังไง”“ข้ายังไม่ง่วง” ใครจะหลับลง เขาคิดหญิงสาวก้มหน้าลง “ก็ได้ ก็ได้” พร้อมส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่ายอมแพ้ “ข้ายอมท่านแล้ว” ห
ชายหนุ่มรู้ทันจึงเบี่ยงแขนหลบในท่าที่ยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงนางอยู่ไม่ยอมปล่อยหญิงสาวก้มหน้าไล่งับแขนของเขาซ้ายทีขวาที เขาก็เบี่ยงหลบซ้ายทีขวาที จนร่างของทั้งคู่กลิ้งไปตามพื้น พัลวันพันตูอยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ร่างบางเริ่มเหนื่อย การเคลื่อนไหวจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่หญิงสาวหอบ แฮ่ก แฮ่ก จนตัวโยนอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั่น พอเริ่มหายเหนื่อยก็รู้สึกถึงลมหายใจร้อนระอุที่เป่ารดต้นคอจากด้านหลัง นางจึงตั้งท่าจะดิ้นอีก จนชายหนุ่มต้องยอมจำนนกับอาการพยศที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดฤทธิ์ง่ายๆ“เป็นข้าเอง หลี่ซ่งหมิน เจ้าของห้องนี้” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุดหญิงสาวถึงกับชะงักหยุดดิ้น แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นนางก็ดิ้นต่ออย่างแรงชายหนุ่มอยากจะหัวเราะกับกิริยาของหญิงสาวเอาล่ะ! เขาต้องยอมนางจริงๆชายหนุ่มค่อยๆปล่อยแขนและขาของเขาที่รัดนางอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปจุดเทียนเพื่อให้ความสว่างภายในห้องหญิงสาวรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า จัดทรงผมให้เข้าที่เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อย จึงเงยหน้าขึ้นมองหลี่ซ่ง หมินอย่างเต็มตา พบว่าเขายืนกอดอกมองนางอยู่ หญิงสาวถึงกับหน้าแดง ทำตาวาวดั่งแมวป่า จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง ชายห
หนังสือเล่มหนาถูกปิดลง พร้อมกับเปลวไฟบนเชิงเทียนถูกเป่าให้ดับโดยบุรุษในห้องนั้น เขาลุกขึ้นเดินไปยังทิศทางที่มีชั้นหนังสือตั้งอยู่ ด้วยความเคยชิน เพื่อเก็บหนังสือในมือในขณะที่เขากำลังเดินไปยังห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นเรือนนอนของเขาที่อยู่ติดกับห้องหนังสือ เขารู้สึกเหมือนมีฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาใกล้บริเวณห้องหนังสือของเขา ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ได้ว่าเจ้าของฝีเท้านั้นไม่ใช่คนของเขาอย่างแน่นอน เขาจึงเบี่ยงตัวหลบเข้าไปหลังชั้นหนังสือทันทีเขาซ่อนอยู่ในความมืด รอบุคคลที่กำลังเข้ามาเยือนเขาถึงถิ่นของเขาในมือของเขาแม้ไม่มีดาบหรืออาวุธใดๆ แต่เขามักจะพร้อมเสมอสำหรับการต่อสู้ประสบการณ์จากการถูกลอบสังหารทำให้เขามีความพร้อมอยู่เสมอ เสียงฝีเท้าของบุคคลปริศนาเงียบไป เหมือนยืนอยู่หน้าห้อง ผู้มาเยือนคงรอจะกำลังจังหวะเพื่อแน่ใจว่าเขาหลับแล้วเวลาผ่านไปครู่เดียว ในที่สุดประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบาแอ๊ด... และปิดลงอย่างแผ่วเบาเช่นเดิมชายหนุ่มหรี่ตาเพ่งมองอยู่ในความมืด พินิจพิจารณาผู้มาเยือนยามวิกาลเขาเห็นเป็นเงารูปร่างระหงสมส่วน ทำให้เขารู้ว่าผู้มาเยือนเป็นสตรีมิใช่บุรุษ นางเป็นใครกัน แอบเ