หงเหม่ยหลงลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
หญิงสาวเพียงนอนเหม่อมองเพดานอยู่อย่างนั้น
ที่นี่คือที่ไหนนางไม่รู้แน่ชัด รู้แต่ว่าที่นี่ใหญ่โตมาก ข้าวของเครื่องใช้จัดได้ว่าหรูหรา ทุกสิ่งที่ใช้ล้วนแต่เป็นของดีมีราคา จัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม มองแล้วสบายตา
อืม! ที่นี่น่าอยู่มากทีเดียว นางคิดไปมองไปรอบๆอย่างสำรวจตรวจตรา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกจากบ้านของนางมา
ที่สำนักหมื่นโลกันตร์บ้านของนางก็ใหญ่โตมากเช่นเดียวกัน เพียงแต่ไม่ได้ดูสบายตาเท่าสถานที่แห่งนี้
นี่เราคงเบื่อบ้านตัวเองเต็มทีแล้วกระมัง
พอคิดมาถึงตรงนี้นางจึงหลับตาลงอย่างเหนื่อยหน่าย
บ้านที่มีบิดาเป็นหัวหน้าจอมมารผู้โหดเหี้ยม
บ้านที่ไม่มีมารดาอันเป็นที่รักอีกต่อไป
บ้านที่มีแต่การเข่นฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณและเลือดเย็น
บ้านที่นางต้องเข้มแข็งตลอดเวลา ต้องฝึกฝนอย่างหนักอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ต้องไล่ล่าฆ่าฟันกันอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
หงเหม่ยหลงลืมตาขึ้นมาเหม่อมองเพดานอีกครั้ง
บางทีนางก็อยากอ่อนแอบ้าง อยากถูกดูแลทะนุถนอมอย่างอ่อนโยนบ้าง อยากเป็นคนธรรมดาบ้าง ไม่อยากเป็นแล้วลูกสาวจอมมาร
พอคิดมาถึงตรงนี้ หน้าของบุรุษผู้หนึ่งพลันปรากฏขึ้น
เขาเคยช่วยนางจากลูกธนู เคยพานางหลบหนี
เคยมอบสัมผัสสุดพิเศษให้นาง...
อืม...
เมื่อนึกถึงภาพบางอย่างตรงนี้หงเหม่ยหลงทำได้เพียงส่ายหน้าไปมา
ไม่อยากคิดถึงมันอีก...
“ตื่นแล้วหรือ” เสี่ยวซิงเดินเข้ามาพร้อมเสียงทักทาย
หงเหม่ยหลงรีบลุกขึ้นนั่ง ก่อนเอ่ยตอบไป “ตื่นแล้ว ท่านมีสิ่งใดให้ข้าช่วยทำบ้าง”
“อืม เช่นนั้นเจ้าช่วยทำงานอยู่กับเสี่ยวอิงแล้วกัน” เสี่ยว ซิงกล่าวพลางเดินนำทางไป
หงเหม่ยหลงเพียงพยักหน้าน้อยๆ “อืม ดีเหมือนกัน” จบคำหญิงสาวเพียงลุกขึ้นเดินตามไปอย่างว่าง่าย
“ข้านะตกใจจนกระโดดขึ้นบนโต๊ะตัวที่สูงที่สุดเลย”
เสียงเจื้อยแจ้วของเสี่ยวอิงเล่าเรื่องขบขันอย่างออกรสออกชาต ตอนนี้ท่าทางของนางไม่มีความเจ็บปวดเท่าวันก่อนแล้ว
“เจ้าเห็นแค่หางมัน ก็กลัวจนลนลานเชียว” สาวใช้นางหนึ่ง กล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ
“เอ๊า! ถ้าข้ารู้ว่ามันเป็นแค่ชียี่(จิ้งจก) ข้าก็คงไม่กลัวจนกระโดดได้สูงขนาดนั้นหรอกเจ้าค่ะ” เสี่ยวอิงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่ได้ประชดใดๆ
“เจ้าน่าจะจับมันกินซะต่อให้มันเป็นงูจริงๆก็ตาม” สาวใช้อีกคนกล่าวเสริมอย่างหยอกเย้าสร้างความขบขัน
“แม้ข้าจะกินเก่ง กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ก็ใช่ว่าจะกินงูได้หรอกนะ” เสี่ยวอิงเถียงคอเป็นเอ็น
“เอ...แต่มีคนบอกข้าว่า งูเป็นอาหารอย่างหนึ่ง กินได้นะ” สาวใช้อีกคนหนึ่งเปลี่ยนประเด็น
“ข้าว่ากินไม่ได้นะ” อีกคนเสริม “เอ๊ะ! หรือกินได้”
“ข้าว่ากินไม่ได้” ในที่สุดก็มีการเถียงกันเกิดขึ้น
หงเหม่ยหลงนั่งดูสาวใช้นั่งเถียงกันไปมา มิได้กล่าวสิ่งใด
“แม่นางเหม่ยหลง ท่านคิดว่าไง”
นั่นไง มาที่นางจนได้
หงเหม่ยหลงกอดอก สีหน้าเรียบนิ่งก่อนตอบ “ข้าไม่แน่ใจว่างูจัดว่าเป็นอาหารหรือไม่ แต่ข้าเคยกินมันแล้ว รสชาตใช้ได้ที่เดียว”
นางผ่านการคัดเลือกให้เป็นสาวงามของเขาถึงแม้ว่าเขาจะรู้มาจากหัวหน้าบ่าวไพร่นามว่าเซี่ยวซิงแล้วว่านางเพียงแค่ต้องการได้งานทำแต่...เขาอยากใกล้ชิดนาง...เขามายืนมองนางอยู่นาน นางมัวแต่นอนเหม่อมองฝ่ามือของตนเองอยู่ โดยไม่สนใจเขา จนเขาต้องกระแอมเรียกสติของนางถึงแม้ว่านางจะบ่นแต่นางก็ยินยอมทำตามคำสั่งของเขาแต่โดยดี นางทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดในใจได้ตลอดเวลา “ข้าปวดเมื่อย นวดให้ข้าหน่อย” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แค่อยากหาเรื่องหางานให้นางทำหงเหม่ยหลงที่เดิมทีทำท่าจะนั่งลงที่ตั่งตรงข้ามกับเขาเพื่อจิบชา ถึงกับต้องเด้งตัวขึ้นมาเมื่อเขาเอ่ยเช่นนั้นหญิงสาวเดินอ้อมไปด้านหลังของชายหนุ่มแต่โดยดี ด้วยเพราะนางพอรู้อยู่บ้างถึงหน้าที่ที่พึงกระทำของบ่าวไพร่ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา จับผมดำขลับของเขาให้ปัดออกไปทางด้านข้างเพื่อจะได้นวดหลังให้เขาได้ตรงจุดหงเหม่ยหลงนวดหลังให้หลี่ซ่งหมินไปเรื่อยๆไล่ไปตามไหล่บึกบึนของเขา ต้นคอของเขา เลื่อนลงไปตามกระดูกสันหลัง แผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขานั้นนางเคยเห็นมาแล้ว เมื่อครั้งที่ถอดเสื้อให้เขา เพื่อที่จะทำแผลจากธนูดอกนั้นตอนอยู
มาถึงการวาดภาพศิลปะปลายพู่กัน สตรีอื่นๆต่างวาดภาพเป็นทิวทัศน์ ภูเขา แม่น้ำ บ้างก็วาดภาพรูปบุปผาต่างๆ ดูแล้วงดงามสบายตา แต่หงเหม่ยหลงกลับวาดภาพออกมาเป็นกระบวนท่าของการต่อสู้ต่างๆเต็มหน้ากระดาษ จนเหล่าทหารที่คอยอารักขาอยู่ภายในบริเวณการแข่งขันแทบจะเข้ามาแย่งชิงกัน เพื่อนำมันไปฝึกฝนจนสุดท้ายที่เรียกเสียงฮือฮาอย่างฉงนจากบรรดาผู้มาร่วมงานก็คือการเล่นดนตรี สาวงามนางอื่นปล่อยพลังนิ้วมือเพื่อเล่นดนตรีล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะเสนาะหู จนได้คะแนนเต็มสิบส่วนกันถ้วนหน้า มีเพียงหงเหม่ยหลงที่ไม่ได้คะแนนเลยการเล่นดนตรีนั้นนับเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับนางเพราะนางฝึกแต่ดาบ ฝึกแต่พลังฝ่ามือ ไม่เคยฝึกเล่นดนตรีใดๆ กิจกรรมทั่วไปสำหรับเหล่าสตรีนางมิเคยได้แตะต้องดังนั้นเมื่อนางเพียงแค่จรดปลายนิ้วเพื่อส่งพลังไปยังเครื่องดนตรีเหล่านั้น เครื่องดนตรีก็เป็นอันต้องเสียหาย บ้างก็สายขาด บ้างก็ปริแตก เปลี่ยนตัวใหม่ก็ยังเหมือนเดิม โจทย์ข้อนี้นางทำเครื่องดนตรีเสียหายไปหลายตัว จนนางต้องยอมแพ้หลี่ซ่งหมินที่นั่งมองหงเหม่ยหลงอยู่เขารู้ดีถึงสาเหตุนั้นเขาเคยเห็นพลังงานจากฝ่ามือนั้นของนางมาแล้ว ตอนที่นาง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน การคัดเลือกสาวงามก็มาถึงณ ลานกว้างของวังหลี่ซ่งหมินหนาแน่นไปด้วยเหล่าสาวงาม แต่ละนางล้วนมีหน้าตาสวยสดงดงามหยาดเยิ้มจนหงเหม่ยหลงรู้สึกแสบตาไปหมด มองไปทางไหนก็มีแต่สตรีรูปโฉมเหนือคำบรรยาย เพียงไม่นานเหล่าขันทีทั้งหลายก็เดินทางเข้ามาทำให้รู้ว่าใกล้ถึงเวลาแข่งขันแล้วหงเหม่ยหลงมิได้มีอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด เพียงแต่นางไม่ชินกับภาพแบบนี้เอาเสียเลยที่บ้านของนาง สำนักหมื่นโลกันตร์ มิใช่ไม่เคยจัดการแข่งขันแต่การแข่งขันที่บ้านของนางนั้นล้วนเป็นกิจกรรมแนวป่าเถื่อนแต่ละคนที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนแล้วแต่มีลักษณะหน้าตาโหดเหี้ยม ดุดัน มิได้เหมือนดั่งนางฟ้านางสวรรค์เช่นนี้แต่ที่นี่เวลานี้ทำให้นางพอเข้าใจในตัวของบุรุษที่นางแอบชื่นชมอยู่ในใจบุรุษอะไร ช่างเจ้าชู้ เจ้าสำราญ น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก นางนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ นึกอยากจะฆ่าสตรีทุกคนในที่นี้เสียจริงเชียวและบุรุษที่หงเหม่ยหลงกำลังนึกเข่นเขี้ยวอยู่นั้น บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่ด้านบนสุดของเวทีการแข่งขันแห่งนี้ซึ่งเดิมทีหลี่ซ่งหมินนั้นมิได้คิดที่จะเข้ามาดูการแข่งขันแต่อย่างใด เพียงแต่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าขันทีไปเพี
“เจ้าควรจะทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้นหลังจากได้อ่านหนังสือเหล่านั้นจนพอใจ” จู่ๆ หลี่ซ่งหมินก็เอ่ยขึ้น เพื่อชี้นำบางอย่างให้แก่หงเหม่ยหลงเขารู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ชิดนาง อยากคุยกับนางให้มากกว่านี้ หงเหม่ยหลงเพียงนั่งฟังนิ่งๆไม่ตอบรับคำใดๆ แต่ทว่าภายในใจกำลังเห็นด้วยกับความคิดนั้นของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของถิ่นฐานแห่งนี้ แต่ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะกล่าวสิ่งใด หลี่ซ่งหมินก็ลุกขึ้นพร้อมทั้งถือวิสาสะจับกุมมือของหงเหม่ยหลงให้เดินตามตนออกมาจากในห้องหนังสือเสียอย่างนั้น “เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! ท่าน!” หงเหม่ยหลงเอ่ยได้แค่นั้นพลางลุกเดินตามออกมาอย่างฉงน หญิงสาวมองเห็นเหล่าบรรดาบ่าวไพร่ตามรายทางต่างเมียงมองมาทางนางเป็นสายตาเดียวกัน นั่นจึงทำให้นางไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้อีกต่อไป ด้วยเพราะเกรงว่าอาจจะเป็นการไม่ให้เกียรติชายหนุ่มที่กำลังเดินอยู่ด้านหน้าของนางในยามนี้ เมื่อหลี่ซ่งหมินพาหงเหม่ยหลงเดินทอดน่องมาจนถึงสวนสวยแห่งหนึ่งภายในอุทยานของเขตวังของเขา เขาจึงค่อยๆหยุดเดินแต่ยังคงจับกุมมือของนางอยู่อย่างเอาแต่ใจ “ท่าน! ปล่อย! ปล่อยก่อน...” หงเ
หงเหม่ยหลงยอมมานั่งลงแต่โดยดี ด้วยเพราะรู้สึกผิดต่อการกระทำของตนเอง“ข้า เอ่อ...ขอโทษด้วยที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องของท่านยามวิกาลเช่นนี้” หงเหม่ยหลงเอ่ยขึ้น สีหน้างามที่มักจะดุดันของนางอ่อนโยนลงภายใต้แสงเทียนชายหนุ่มเพียงนั่งมองใบหน้านั้นมิได้กล่าวสิ่งใดหญิงสาวเห็นชายหนุ่มเงียบไปจึงเอียงหน้าไปทางเขาพลางขมวดคิ้วเป็นเชิงคำถาม “ท่านกำลังเคืองข้างั้นรึ”“เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องเคือง ข้ามิได้ทำสิ่งใดที่เป็นความผิดร้ายแรงเสียหน่อย หนังสือหรือ ข้าก็ยังมิได้ขโมยไปสักเล่ม”ชายหนุ่มจ้องหน้านางก่อนกล่าว “ถ้าข้านอนหลับไปแล้ว เกรงว่าเจ้าจะขโมยมันจนหมด ไม่เหลือสักเล่ม”“ท่าน!” หญิงสาวถลึงตาใส่ ก่อนถอนหายใจ ยามเอ่ย“เฮ่อ....ท่านจะเอาอย่างไร ว่ามา”“ก็ไม่อย่างไร” ชายหนุ่มตอบหน้านิ่ง “ถ้าเจ้าอยากอ่านหนังสือก็อ่านได้เลย แต่ต้องอ่านที่นี่ ห้ามนำมันออกไป”“แม้ข้าจะนำมันออกไป ข้าย่อมนำมันมาคืน”“แต่ข้าไม่ให้นำมันไป เจ้าต้องนั่งอ่านมันในนี้”“ทำไมงั้นเล่า ท่านจะไม่หลับไม่นอนหรือยังไง”“ข้ายังไม่ง่วง” ใครจะหลับลง เขาคิดหญิงสาวก้มหน้าลง “ก็ได้ ก็ได้” พร้อมส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงว่ายอมแพ้ “ข้ายอมท่านแล้ว” ห
ชายหนุ่มรู้ทันจึงเบี่ยงแขนหลบในท่าที่ยังกอดรัดฟัดเหวี่ยงนางอยู่ไม่ยอมปล่อยหญิงสาวก้มหน้าไล่งับแขนของเขาซ้ายทีขวาที เขาก็เบี่ยงหลบซ้ายทีขวาที จนร่างของทั้งคู่กลิ้งไปตามพื้น พัลวันพันตูอยู่อย่างนั้น เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ร่างบางเริ่มเหนื่อย การเคลื่อนไหวจึงหยุดนิ่งอยู่กับที่หญิงสาวหอบ แฮ่ก แฮ่ก จนตัวโยนอยู่ในอ้อมกอดแข็งแรงนั่น พอเริ่มหายเหนื่อยก็รู้สึกถึงลมหายใจร้อนระอุที่เป่ารดต้นคอจากด้านหลัง นางจึงตั้งท่าจะดิ้นอีก จนชายหนุ่มต้องยอมจำนนกับอาการพยศที่ไม่มีทีท่าว่าจะหมดฤทธิ์ง่ายๆ“เป็นข้าเอง หลี่ซ่งหมิน เจ้าของห้องนี้” เขาเอ่ยขึ้นในที่สุดหญิงสาวถึงกับชะงักหยุดดิ้น แต่เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นนางก็ดิ้นต่ออย่างแรงชายหนุ่มอยากจะหัวเราะกับกิริยาของหญิงสาวเอาล่ะ! เขาต้องยอมนางจริงๆชายหนุ่มค่อยๆปล่อยแขนและขาของเขาที่รัดนางอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นไปจุดเทียนเพื่อให้ความสว่างภายในห้องหญิงสาวรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า จัดทรงผมให้เข้าที่เมื่อจัดการกับตัวเองเรียบร้อย จึงเงยหน้าขึ้นมองหลี่ซ่ง หมินอย่างเต็มตา พบว่าเขายืนกอดอกมองนางอยู่ หญิงสาวถึงกับหน้าแดง ทำตาวาวดั่งแมวป่า จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง ชายห