บทที่ 3
'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย'
.
.
เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากเหล่าบ่าวไพร่ที่มายืนล้อมวงดูเย่ซูชางที่กำลังถูกจางหมิงซัวสาดน้ำผลไม้ใส่ มันไม่ใช่น้ำผลไม้คั้นอะไรแต่มันคือน้ำที่ผสมเศษผลไม้ที่ถูกนำไปบดเท่านั้น ทำให้หัวและร่างกายของนางเต็มไปด้วยซากผลไม้ที่ติดตามผมและร่องหลืบของอาภรณ์
“ท่านพี่หมิงซัวพอเถิดเจ้าค่ะ!” เย่ซูเจินรีบเข้ามาห้ามปราม
“ไม่ต้องห้ามเขา ถ้าท่านแม่ทัพกระทำสิ่งนี้แล้วสบายใจขึ้นก็ปล่อยให้เขากระทำไป ข้าทำผิดย่อมยอมรับโทษทัณฑ์”
“คนเช่นเจ้าต่อให้โดนน้ำเน่าน้ำโคลนสาดจากคนทั้งเมืองก็ไม่สามารถชดใช้ในความชั่วของเจ้าได้”
“งั้นก็เอาเลยสิ เรียกคนทั้งเมืองมาสาดโคลนใส่ข้า เอาที่เจ้าสบายใจเลยจางหมิงซัว!”
เย่ซูชางตะคอกออกไปอย่างหมดความอดทนมันทำให้จางหมิงซัวประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้ยินนางเรียกตนด้วยชื่อเต็มมานานแล้ว นานมากจนบางทีอาจจะเป็นสิบปี แต่ทำไมวันนี้นางถึงกล่าวชื่อเต็มของตน ไหนจะท่าทางเฉยเมยนี่อีก ปกตินางมักจะเข้ามาออเซาะออดอ้อนเขาเสมอ เห็นหน้าไม่ได้เลยเป็นต้องเดินตามต้อย ๆ คอยมาตื๊อมาให้ท่าถึงจวนเป็นประจำ แต่ทำไมยามนี้แววตาของนางยามทอดมองมากลับแข็งกร้าวเย็นชาเหมือนไม่เหลือความรู้สึกอะไรให้เขาเลย
หรือที่ผู้คนร่ำลือกันว่าเย่ซูชางเสียสติไปแล้วจะเป็นเรื่องจริง เพราะนางพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง จนบางทีอาจจะมีผลกระทบกับร่างกายและจิตใจจนสติเลอะเลือนไปแล้วก็เป็นได้ เพราะเย่ซูชางไม่มีทางหรอกที่จะมาขอโทษถังซีเยว่ ไม่มีทางที่จะยอมให้เขาหยามเกียรตินางถึงเพียงนี้แน่ นอกจากเสียสติไปแล้วจริง ๆ
แต่ความโกรธแค้นที่นางมาทำร้ายคนรักมันก็มีมากกว่า เขาเฝ้าทะนุถนอมถังซีเยว่มาอย่างดีแต่นางกลับมาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของถังซีเยว่ มันไม่ใช่ครั้งแรกแต่หลายครั้งแล้ว ทั้งเคยส่งคนมาทำร้าย ทั้งเคยวางยาพิษ ทั้งเคยผลักตกน้ำ ทุกอย่างหวังผลจะฆ่าให้ตายทั้งสิ้น แล้วจะไม่ให้เขาโกรธแค้นแทนคนรักได้อย่างไรในเมื่อคนที่รักเจ็บเขาย่อมเจ็บตามไปด้วย
แม่ทัพหนุ่มเตรียมจะยกถังที่เต็มไปด้วยน้ำที่แช่ซากผลไม้ที่ถูกบดสาดใส่เย่ซูชางอีกครั้งเพื่อหวังจะชำระแค้นให้คนรัก แต่จังหวะที่กำลังจะสาดออกไปนั้นกลับมีพัดด้ามใหญ่ปลิวมากระแทกเข้ากับมือของจางหมิงซัวจนถังน้ำตกพื้นสาดกระจายใส่ทุกคนที่อยู่รอบข้างจนต้องพากันถอยหลังหลบแม้กระทั่งตัวของแม่ทัพหนุ่มเองก็โดนสาดเข้าเต็ม ๆ จนอาภรณ์เลอะเทอะไปด้วยคราบผลไม้บดที่ตนเองคิดจะสาดใส่ผู้อื่น คล้ายกรรมตามสนองก็ไม่ผิดเพี้ยน
พัดด้ามใหญ่หมุนวนกลับคืนสู่มือของเจ้าของราวกับมีชีวิต ทุกคนต่างมองตามไปจึงได้พบว่าผู้ที่เข้ามาขัดขวางการเอาคืนครั้งนี้คือรองเจ้ากรมพิธีการที่แต่งตัวเต็มยศคล้ายเพิ่งกลับออกมาจากการว่าราชการ เขารีบเดินเข้ามาหาเย่ซูชางก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกเพื่อคลุมร่างกายที่เปียกปอนของนางก่อนจะหันจ้องมองจางหมิงซัวด้วยความไม่พอใจที่กระทำย่ำยีเกียรติของเย่ซูชางแบบนี้ยังไงเสียนางก็เป็นถึงท่านหญิงเป็นรองแค่องค์หญิง มีบิดาและพี่ชายที่สร้างคุณงามความดีกับแผ่นดินเอาไว้มากมายแต่แม่ทัพจางดันเอานางมาเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้มันเกินไปเสียหน่อย
“เผื่อเจ้าจะลืมว่านางคือท่านหญิง”
“แล้วอย่างไรเล่า เป็นนางที่มาทำเยว่เอ๋อร์จนบาดเจ็บก่อนแล้วยังไม่ได้รับโทษอย่างสมควรอีก หรือเพราะนางเป็นท่านหญิง คนธรรมดาแบบเยว่เอ๋อร์เลยต้องยอมก้มหน้าให้นางทำร้ายและเหยียดหยามเช่นใดก็ได้หรือ!”
จางหมิงซัวที่รักถังซีเยว่มากก็ไม่ยอมที่จะให้คนรักของตนเองต้องเจ็บตัวเปล่าโดยที่เรียกร้องความยุติธรรมไม่ได้เลยแล้วแบบนั้นเขาจะมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพไปทำไม คุมคนนับร้อยนับพันในกองพลได้ ออกกรำศึกนับไม่ถ้วนอย่างกล้าหาญแต่แค่คนรักคนเดียวยังปกป้องไม่ได้
“แล้วอย่างไรหรือ บางทีการที่เจ้าไม่ใช้สมองคิดไตร่ตรองให้ดีว่าอะไรสมควรหรือไม่สมควรก็อาจจะนำพาความตายมาสู่เสี่ยวเยว่ก็ได้ หรือบางทีแม้แต่ชีวิตของเจ้ากับทุกคนในจวนหลังนี้ก็อาจจะไม่เหลือ เจ้าคิดหรือว่าถ้าเรื่องนี้ถึงพระกรรณฮ่องเต้แล้วพระองค์จะทรงยอมที่มีผู้ใดมาหมิ่นเกียรติท่านหญิงที่พระองค์ทรงแต่งตั้ง จุดประสงค์ที่พระองค์แต่งตั้งเย่ซูชางขึ้นเป็นท่านหญิงก็เพื่อไม่ให้ผู้ใดมารังแกนางได้ แต่เจ้ากำลังทำในสิ่งที่ฮ่องเต้ไม่ต้องการเจ้าคิดว่าพระองค์จะทรงยอมหรือ?”
“แต่นางกลับรังแกผู้อื่นได้หรือ?”
“พูดกับเจ้ายามนี้ก็ไร้ผล เพราะอารมณ์ของเจ้าไม่พร้อมจะฟังสิ่งใดเลย”
หยวนฉินรีบหันกลับมาอุ้มตัวของเย่ซูชางขึ้นมาเพื่อจะพากลับไปส่งที่จวนสกุลเย่ มือใช้เสื้อคลุมปิดหน้าของนางเอาไว้เพราะกลัวว่านางจะอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบในสิ่งที่เย่ซูชางกระทำแต่ก็ไม่ใช่คนใจดำอำมหิตที่จะรังแกนางที่เป็นเพียงสตรีบอบบางผู้หนึ่ง อีกอย่างตัวเขา เย่ซูชาง และจางหมิงซัวก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย อายุเท่ากัน เติบโตมาด้วยกัน และได้พบผ่านพบเห็นทุกช่วงเหตุการณ์ในชีวิตของกันและกันมาตลอด ยังไงเสียก็ควรเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่มีต่อกันบ้าง
……….
.
เย่ซูชางนั่งเงียบมาตลอดทางภายในรถม้ากว้างขวางของรองเจ้ากรมพิธีการหนุ่มที่อิงตามนิยายนอกจากจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแล้วยังเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กด้วย ในนั้นก็รวมพ่อพระเอกอย่างจางหมิงซัวอยู่ด้วย แต่นั่นแหละมันก็ตามสเต็ปนิยายทั่วไปที่วันหนึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปเติบโตและทิ้งวัยเยาว์จนหมดสิ้น
ทั้งสามคนก็เป็นเช่นนั้นเมื่อแยกย้ายกันไปเติบโตมันก็กลายเป็นความห่างเหินจากสหายวัยเยาว์ก็เหลือเพียงความทรงจำเท่านั้น พอกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่เมืองหลวงมันกลับไม่สนิทสนมเหมือนเมื่อครั้งก่อนอีกแล้ว ตัวเย่ซูชางหลงรักจางหมิงซัวหัวปักหัวปำจนทำลายมิตรภาพลง หยวนฉินก็หลงรักนางเอกจนกลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งกับเย่ซูชางที่ทำร้ายนางเอกบ่อยครั้งกลายเป็นว่าความสัมพันธ์แบบสหายวัยเยาว์ยิ่งห่างเหินจนตอนนี้ยากจะต่อติด
“ถึงข้าจะไม่ชอบในสิ่งที่เจ้ากระทำกับเสี่ยวเยว่ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่หมิงซัวทำกับเจ้าเหมือนกัน” สุดท้ายผู้ที่เปิดปากพูดก่อนก็เป็นหยวนฉิน เขายื่นผลส้มที่ปอกเปลือกแล้วให้นาง
“เจ้าจะตอกย้ำข้าหรือ?” นางเงยสบตากับเขาที่ทำสีหน้างง แต่เหมือนจะคิดได้เลยรีบชักมือกลับทันที
“ขออภัย ข้าไม่ได้คิดจะตอกย้ำหรือเย้ยหยันเจ้า เพียงแต่กลัวเจ้าจะหิว ส้มนี่หวานนักจึงปอกให้เจ้ากิน”
“ข้ารู้แล้วว่ามันหวาน” มือเล็กสางเศษส้มออกจากผมของตนเองแล้วหันไปสบตากับพ่อพระรองคนดี “ข้าได้ชิมจนรู้รสมันแล้วว่าหวานเพียงใด”
“ขออภัยที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ข้าจะไปสั่งสอนหมิงซัวแทนเจ้าเอง เขาเป็นถึงแม่ทัพอย่างน้อยก็ควรรู้แก่ใจว่าไม่ควรรังแกสตรีที่อ่อนแอกว่า”
“ขอบคุณน้ำใจของเจ้า แต่ช่างเถิด ให้เรื่องมันจบแค่นี้ดีกว่า ข้าเหนื่อยแล้ว”
นางถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพิงหัวซบไปกับผนังรถม้า สายตาทอดมองออกไปยังวิวข้างทางที่มีผู้คนมากมายเดินกันพลุกพล่านก็ได้แต่ปลงใจ
พระรองต้องแสนดีทุกเรื่องเลยหรือไง ส่วนพระเอกเรื่องนี้ทำไมใจร้ายนักแต่ก็ต้องพยายามเข้าใจว่าเกิดเป็นนางร้ายมันต้องเป็นสิ่งที่พระเอกไม่ชอบหน้าอยู่แล้วเป็นธรรมดา ยิ่งไปทำคนรักของเขาก็ยิ่งสร้างความชิงชังมากกว่าเดิม มันก็สมคำที่ว่าพระเอกเป็นของนางเอก ส่วนพระรองเป็นของทุกคน
นางหันไปมองหยวนฉินที่กำลังนั่งแกะส้มกินอยู่จนตอนนี้แยกไม่ออกเลยว่ากลิ่นส้มที่กระจายออกมามันมาจากเปลือกส้มที่เขากำลังแกะหรือว่ากลิ่นจากตัวนางกันแน่
‘ยอมยกพระเอกให้เป็นของนางเอกก็ได้ แต่พระรองเป็นของนางร้ายแบบนางจะได้ไหม นางก็อยากมีคู่เหมือนกัน คนมันเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ (。•́︿•̀。) '
……….
.
พระตำหนักเฉียนชิงกง , พระราชวัง
เพล้ง!
จานฝนหมึกถูกปาลงบนพื้นโดยพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ที่ได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเย่ซูชางบุตรสาวของเย่ชิงเต๋อแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นสหายของตนที่เสียสละชีพตนเองในสนามรบขับไล่พวกซีหมานจนออกไปจากแผ่นดินได้ ทำให้สกุลเย่เหลือเพียงบุตรสาวสองคนตนจึงพระราชทานยศท่านหญิงให้เย่ซูชางเพื่อให้ผูัอื่นเกรงใจและไม่กล้ารังแกนางและสกุลเย่ที่มีสตรีบอบบางปกครอง
“เจ้าส่งคนไปบอกให้จางหมิงซัวมาพบเราพรุ่งนี้”
“จางหมิงซัวเป็นแม่ทัพนะพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงกล่าวเสียงแผ่วเบา
“แล้วอย่างไร จางหมิงซัวเป็นแม่ทัพ แต่เย่ซูชางเป็นท่านหญิง ถ้าเราปล่อยให้ท่านหญิงถูกแท่ทัพรังแกเหยียดหยามแล้วจะมีบรรดาศักดิ์ไปทำไม ต่อไปผู้อื่นคงไม่เคารพเราด้วยเหมือนกันถ้าปล่อยผ่านเรื่องนี้”
หวังกงกงที่ได้ฟังก็เงียบไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีกเพราะฮ่องเต้ทรงมีโทสะอยู่มาก ดีไม่ดีหัวของตนจะหลุดจากบ่าด้วยถ้ากล่าวสิ่งใดไม่เข้าหู
“เย่ซูชางเปรียบเหมือนพระราชนัดดาของเรา แม่ทัพจางก็พานางเข้าวังหลวงบ่อยครั้งและเราก็เอ็นดูนางมาตั้งแต่เยาว์วัย ที่พระราชทานบรรดาศักดิ์ท่านหญิงให้นางนอกจากจะปกป้องนางแล้วยังให้เพราะความรักอีกด้วย ใครทำร้ายนางก็เหมือนทำร้ายเราเช่นกัน แล้วเจ้าจะให้เราปล่อยผ่านเรื่องนี้หรือ แค่เรื่องที่จางหมิงซัวปฏิเสธนางต่อหน้าขุนนางก็หักหน้ากันเกินพอแล้ว เราทนเรื่องนั้นมาแล้วหนึ่งครั้งเพราะเห็นแก่คุณงามความดีของแม่ทัพจาง แต่ครั้งนี้เราจะไม่ทนเพราะยิ่งทนเหมือนยิ่งได้ใจนัก”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังดาบที่วางอยู่บนแท่นอย่างสง่างาม มือลูบไปตามลวดลายสีทองอร่ามของมันจนมาถึงด้ามจับที่สลักชื่อเจ้าของเอาไว้ชัดเจน เย่ชิงเต๋อ สหายรู้ใจที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ช่วยเขากอบกู้ราชบัลลังก์ จัดการขุนนางชั่ว ปราบกบฏ ขับไล่พวกซีหมานให้พ้นแผ่นดินจนตัวตาย ทำให้บัลลังก์ตนมั่นคงมาถึงทุกวันนี้ คุณงามความดียิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เขาจะทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีบุตรของสหายได้อย่างไร เย่ซูชาง เย่ซูเจิน ล้วนเป็นเหมือนหลานของเขา และตำแหน่งท่านหญิงก็ไม่ควรถูกใครมาลบหลู่ง่าย ๆ ด้วย
บทที่ 4‘ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่’..“พี่หญิงรอง พี่หญิงรองเกิดเรื่องแล้ว!” เย่ซูเจินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเขตเรือนของเย่ซูชางที่กำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่ภายในศาลากลางสวน“ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่” เย่ซูชางกล่าวเสียงนิ่งเรียบมือยังคงหยิบดอกไม้ขึ้นมาจัดแต่งใส่แจกันหยกใบงาม“จะมีคนตายแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่หมิงซัวถูกพาไปที่คุกหลวงเห็นทีคงโดนโทษโบยเพราะฮ่องเต้ทรงไม่ยอมที่เขามาหมิ่นเกียรติท่าน”เย่ซูชางที่ได้ฟังก็นิ่งเงียบลง ภายในใจเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น “ข้าถือว่าข้าชดใช้ไปแล้ว ข้ายอมให้เขาหมิ่นเกียรติ ยามเดินไปไหนผู้คนก็นินทาเป็นตัวตลกขบขันแล้วจะให้ข้าทำสิ่งใดอีก ส่วนที่ต้องชดใช้ก็ชดใช้ไปแล้ว มันแค่ผิดตรงที่ว่าสิ่งที่หมิงซัวทำดันไปหมิ่นเกียรติฮ่องเต้เช่นกันเพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรับโทษในส่วนนี้ด้วยตนเอง หาใช่ความผิดข้าเสียหน่อย”“ตะ… แต่ว่านั่นท่านพี่หมิงซัวนะเจ้าคะ”“แล้วอย่างไรหรือ?”ผู้น้องที่ได้ฟังผู้พี่กล่าวก็ประหลาดใจเพราะยามปกติพี่สาวของนางมักจะตามตื๊อจางหมิงซัวตลอดเวลา และคอยยื่นมือเข้าไปช่วยเขาเสมอด้วยแม้นว่าทุกครั้งเขาจะไม่ต้องการก็ตาม
บทที่ 5‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..ข่าวเรื่องการหมั้นหมายของเย่ซูชางกับหยวนฉินดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองจนชาวบ้านต่างนินทาซุบซิบกันไปต่าง ๆ นานา บ้างก็ไม่นึกสงสัยเพราะมักจะเห็นหยวนฉินเข้าออกจวนสกุลเย่เป็นประจำ บ้างก็นึกสงสัยว่าตอนแรกเย่ซูชางตามตื๊อจางหมิงซัวมาหลายปี มิหนำซ้ำยังลดตัวไปทะเลาะตบตีกับสตรีจากหอนางโลมผู้นั้นอยู่ตลอดแต่ทำไมวันนี้ถึงมีข่าวเรื่องการหมั้นหมายกับบุรุษอีกคนออกมาได้เย่ซูชางที่ปลอมตัวเป็นนักพเนจรออกมาเที่ยวตลาดก็ได้ยินทุกสิ่งที่ชาวบ้านนินทาแต่ก็ไม่ได้คิดจะแก้ข่าวใด ๆ เพราะมันเรื่องจริงทั้งนั้น วันนั้นที่ท่านอารองมาเห็นนางจูบกับหยวนฉินก็ไม่พอใจอย่างมาก ต่อว่านางต่าง ๆ นานาว่ากระทำตัวไร้ยางอาย ไม่ไว้หน้าบรรพบุรุษจนสุดท้ายหยวนฉินที่ไม่รู้ว่าสงสารเวทนานางหรือโดนผีสุภาพบุรุษเข้าสิงก็เอ่ยปากขอหมั้นหมายเองเพื่อรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็เลยเป็นข่าวลือที่ชาวบ้านพูดกันในทุกวันนี้ แต่ข่าวลือมันก็คือเรื่องจริง อีกไม่นานของหมั้นก็จะถูกส่งมาที่จวนสกุลเย่ แต่มันก็ติดปัญหาตรงที่ว่าจวนสกุลหยวนจะยินดีต้อนรับนางร้ายแบบนางเข้าไปเป็นสะใภ้หรือเปล่าเท่านั้นเพราะชื่อเสียงมีแต่ด้านแย่ ๆ ทั้งนั้
บทที่ 5‘ทำดีไม่มีใครเห็น’..เย่ซูชางต้องพยายามอย่างมากที่จะข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้เพราะถ้าไปหาเรื่องนางเอกอีกคงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต มีหวังพระเอกที่นอนรักษาตัวจากการถูกโทษโบยได้ลุกมาเอาเรื่องนางแบบลืมเจ็บลืมตายเป็นแน่“เจ้าควรจะดีใจที่ข้าไม่ไปยุ่งกับหมิงซัวอีก จะได้ไม่ต้องไปตบตีหรือทะเลาะเบาะแว้งกับเจ้า”“ท่านพี่ฉินเป็นคนดีไม่ควรมัวหมองเพราะเจ้า”“งั้นควรมัวหมองเพราะเจ้าหรือ จะเอาผู้ใดก็เลือกสักคนไม่ ใช่จับปลาสองมือ”“ข้ารักท่านพี่หมิงซัว แต่ก็เป็นห่วงท่านพี่ฉินในฐานะพี่ชายเท่านั้น”“เจ้าเรียกทั้งสองคนว่าพี่ แต่กับข้าไยไม่เคารพบ้าง ข้าก็อายุเท่าพวกเขาเป็นพี่ของเจ้าและยังเป็นท่านหญิงด้วย ว่ากันตามตรงเจ้าควรนั่งลงกับพื้นแล้วคุกเข่าคุยกับข้าถึงจะถูก กล้าดียังไงมายืนค้ำหัวข้าแบบนี้”“อึก!”แต่แทนที่แม่นางเอกจะกลัวดันผลักนางจนหลังกระแทกผนัง นี่ขนาดมีมือเดียวนะเนี่ยยังร้ายไม่ใช่น้อยถ้ามีสองมือสองแขนจะขนาดไหน ใครก็ว่านางชอบรังแกนางเอก แต่ไม่มีใครมาเห็นตอนนางเอกรังแกนางร้ายเลย“คนอย่างเจ้าไม่สมควรได้รับความเคารพ ไม่ควรเป็นท่านหญิง ไม่ควรให้ใครกราบไหว้ยกยอทั้งนั้น เจ้ามันก็แค่หญิงชั่ว!”สุดท้
บทที่ 6‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา’พระตำหนักคุนหนิง , พระราชวังสายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดโล่งเอาไว้จนกลิ่นหอมของมวลบุปผาล่องลอยเข้ามาจนชวนให้รู้สึกสบายใจแต่ไม่ใช่ทุกคนหรอก หนึ่งในนั้นคือเย่ซูชางที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าของฉีฮองเฮาที่กำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจสักนิดเดียว“พระองค์เรียกหม่อมฉันมาพบถึงพระตำหนักมีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” นางตัดสินใจถามออกไป พยายามใจดีสู้เสือ“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะหมั้นหมายกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนหรือ?” ฉีฮองเฮากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบสุขุมในแบบของนางที่มักจะแสดงต่อผู้อื่นเสมอ“เพคะ” นางตอบออกไปตามตรงเพราะอีกไม่นานของหมั้นหมายก็จะถูกส่งมาจากนั้นก็คงจะตามมาด้วยสามหนังสือหกพิธีการ“เดิมทีเจ้าหมายใจแม่ทัพจางไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงหันเหไปหารองเจ้ากรมพิธีการหยวนเสียแล้วเล่า?”“หม่อมฉันกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นับว่ารู้จักสนิทสนมกันมาก มันเป็นเพียงแค่ความห่างเหินที่ทำให้ไม่รู้ใจตนเองเท่านั้นเพคะ พอได้อยู่ด้วยกัน ได้กลับมาเรียนรู้กันอีกครั้งจึงต่างรู้ใจตนเองว่าผู้ใดกันแน่ที่หัวใจหมายปอง”นางกล่าวออกไปด
บทที่ 6‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา’..“เจ้าว่าอย่างไร ความคิดของข้าเป็นเช่นไรบ้าง?” ฉีฮองเฮาถามด้วยรอยยิ้มคล้ายจะเป็นมิตรแต่ประสงค์ร้าย“พระองค์ว่าเช่นไร หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้น ความคิดของพระองค์ย่อมหวังดีต่อหม่อมฉันอยู่แล้วเพคะ” นางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่ฝืนอยู่ไม่ใช่น้อยเลย‘เจ๊ว่าไงหนูก็ว่างั้นแหละ หนูจะพูดอะไรได้ก็เจ๊เป็นฮองเฮาเป็นแม่ของแผ่นดิน!’“ดีมาก เจ้ายังเป็นเด็กดีเสมอ อดีตแม่ทัพและรองแม่ทัพเย่ต้องภูมิใจในตัวเจ้าที่เติบโตมาอย่างแข็งแกร่งและกล้าหาญเผชิญอันตรายเพื่อส่วนรวมเช่นนี้”“เพคะ หม่อมฉันก็หวังใจเช่นนั้น”‘ไม่ได้กล้าหาญจ้า ไม่ได้แข็งแกร่งด้วย ไม่ได้อยากไปด้วย แต่โดนเจ๊บังคับไง เจ๊เป็นฮองเฮาใครจะกล้าปฏิเสธ หัวได้หลุดออกจากบ่า สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอาจจะฟลุ๊ครอดกลับมาก็ได้’………..หลังจากที่พบฉีฮองเฮาแล้วเย่ซูชางก็ยังไม่กลับว่าจะแวะไปหาหยวนหวงกุ้ยเฟยเสียหน่อย หวงกุ้ยเฟยผู้นี้เป็นอาหญิงของหยวนฉินเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มากและพระนางก็มีจิตใจดีไม่ฝักใฝ่อำนาจไม่แทรกแซงฮองเฮาด้วย ยามว่างก็มักจะสวดมนต์ปฏิบัติธรรมเสมอเลยยังอยู่รอดปลอดภัยได้อยู่ ถ้าคิดท้าทายฮองเฮาหน่อยคงสิ้นชีพไปนานแล
บทที่ 7‘อำเภอเป่ยตู’..“ท่านพี่ฉิน ท่านจะไปไหน?” ถังซีเยว่รีบมาขวางหน้าของหยวนฉินเอาไว้ แขนข้างที่ไม่ได้หักกางออกเพื่อขวางทางเขา“หลบไปเสี่ยวเยว่ ข้าต้องรีบไป”“ข้าไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายหรอก”“แต่ข้าต้องไปช่วยเหลือเสี่ยวชาง”หยวนฉินกล่าวด้วยสีหน้าร้อนใจเพราะเขาไม่รู้เลยว่าเย่ซูชางอาสาไปอำเภอเป่ยตูที่กำลังประสบภัยโรคระบาด เมื่อวานเขาควรจะถามนางว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่กลับชวนนางทะเลาะจนไม่พูดกันอีก เมื่อเช้าไปจวนสกุลเย่ถึงได้รู้ว่าเย่ซูชางออกเดินทางไปตั้งแต่เช้ามืดตอนนี้คงไปไกลแล้ว“แต่อำเภอเป่ยตูมีโรคระบาด คนที่ไปส่วนมากก็ตายน้อยนักจะรอดกลับมา ข้าไม่ยอมให้ท่านไปเสี่ยงหรอก”“หลบไปเสี่ยวเยว่”“ทำไมท่านต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนแบบเย่ซูชางด้วย!”“เย่ซูชางคือคู่หมั้นหมายของข้า อนาคตก็เป็นภรรยาของข้า”“นี่ท่านรักนางไปแล้วหรือ?”หยวนฉินที่ได้ฟังคำถามก็นิ่งเงียบลงเพราะเขาก็ไม่แน่ใจนักแต่ตอนนี้เขาเป็นห่วงเย่ซูชางมากไม่สามารถปล่อยนางไปเผชิญทุกข์ภัยผู้เดียว“ข้าไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้ข้าเป็นห่วงนางมาก และปล่อยนางไปเผชิญอันตรายผู้เดียวไม่ได้”“ข้าขอร้องท่านพี่ฉิน ที่นั่นอันตรายเกินไปท่านอย่าไ
บทที่ 7.1‘อำเภอเป่ยตู ’..แสงเทียนไหววูบไปตามแรงลมที่พัดโชยเข้ามาภายในเรือนรับรองที่เงียบสงบแต่ก็นำพากลิ่นเหม็นอับชื้นตีจมูกมาด้วย เย่ซูชางเงยหน้าขึ้นมองไปทางหน้าต่างที่ตอนนี้ยังไม่มีการป้องกันและก็เริ่มได้ยินเสียงยุงบินหึ่ง ๆ แถวหูแล้วด้วย นางจะต้องป้องกันเอาไว้ก่อนเจ็บไข้ขึ้นมาจะแย่ก่อนจะหันไปเห็นเปลือกส้มที่นางแกะทิ้งเอาไว้ก็นึกบางอย่างออก หญิงสาวลุกเดินไปหยิบกะละมังใส่น้ำมาเล็กน้อยแล้วนำเปลือกส้มลงไปบดขยี้ให้แหลกเพื่อคั้นเอาน้ำมันหอมระเหยออกมาจนกลิ่นลอยฟุ้งอบอวล“ท่านหญิงทำสิ่งใดเจ้าคะ?” อาเนียว สาวรับใช้เดินเข้ามาพร้อมกาน้ำชาอุ่น“ข้ากำลังทำน้ำมันหอมระเหยไล่ยุงอยู่”“น้ำมันหอมระเหยหรือเจ้าคะ?”“ใช่ ถ้าเอาเปลือกส้มมาบดขยี้แบบนี้ น้ำมันจากเปลือกส้มก็จะไหลออกมา ส่งกลิ่นหอมออกมา มันหอมสำหรับคนแต่เหม็นสำหรับยุง”“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเก็บเปลือกส้มมาให้ท่านหญิงเพิ่มดีไหมเจ้าคะ?”“ยามนี้มืดแล้วไม่ต้องหรอก แต่ข้าจะสั่งงานเจ้า” นางหันกลับมายังโต๊ะหนังสือก่อนจะใช้พู่กันตวัดลงบนกระดาษเพื่อเขียนข้อความลงมาเป็นข้อ ๆ แล้วยื่นมันให้สาวรับใช้“เดี๋ยวพรุ่งนี้เจ้าไปหาสมุนไพรเหล่านี้มาให้ข้าที แล้
บทที่ 7.2‘อำเภอเป่ยตู’..“โอ๊ย!”เย่ซูชางถูกหยวนฉินดันจนชิดกำแพงในที่ลับตาคน แต่ที่นี่มันก็แทบจะลับตาคนทุกที่นั่นแหละเพราะคนน้อยผีวิญญาณน่าจะเยอะมากกว่าเพราะคนตายไปเยอะ กลางค่ำกลางคืนจึงไม่มีใครออกมาเดินเล่นกินลมชมวิวเพราะมันไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก“บุรุษผู้นั้นเป็นใคร”“เจ้าหูหนวกหรือไง ข้าก็เรียกเขาว่าหมออยู่”“แล้วเจ้าจะไปคุยกับเขาทำไม ทำไมต้องใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนั้นด้วย”“ที่นี่มีโรคระบาดนะ ถ้าข้าไม่คุยกับหมอแล้วจะให้ข้าไปคุยกับผู้ใด อยู่ที่นี่ข้าก็คุยได้แค่สองหมอเท่านั้นแหละ คือหมอรักษาคนกับหมอผี”เย่ซูชางผลักตัวของหยวนฉินออกไปให้ห่างนางก่อนจะปัดฝุ่นออกจากอาภรณ์ของตนเอง “ถ้าเจ้าจะมาหาเรื่องเจ้าก็กลับไปเลย”“ข้ามาเพราะเป็นห่วงเจ้าจริง ๆ”“ข้าเห็นแต่ความประชดประชันของเจ้า” นางเดินออกมาก่อนจะมองไปยังโรงนอนของผู้ป่วยแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย“เจ้าดูภาพตรงหน้าของเจ้าสิ ที่นี่ล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปให้ได้ถ้าเจ้าจะมาก็ควรมาช่วยไม่ใช่มาหาเรื่องข้าเช่นนี้ แค่นี้ข้ายังเหนื่อยไม่พออีกหรือ ไยต้องเพิ่มเรื่องเพิ่มราวให้ข้าด้วย”หยวนฉิ
บทที่ 20‘ตอนจบของนิยาย’..เย่ซูชางเปิดกล่องเครื่องประดับออกก่อนจะหยิบเอาปิ่นปักผมสีทองอร่ามออกมาทาบลงบนผมเพื่อดูว่าปิ่นอันไหนเหมาะสมกับตนเอง ของเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องประดับที่หยวนฉินซื้อให้นางซะเป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อเองนักหรอก เวลาเขาเห็นเครื่องประดับสวย ๆ งาม ๆ ก็มักจะซื้อมาฝากนางเสมอ ยิ่งตอนที่แต่งงานกันก็หอบเอาของพวกนี้มาให้เป็นหีบจนตอนนี้มีเยอะเสียจนใช้แทบไม่ทัน“เจ้าว่าอันนี้งามหรือไม่?”“งามมากเจ้าค่ะ เหมาะกับชุดสีแดง” สาวรับใช้กล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันไปหยิบหวีเตรียมจะสางผมให้ผู้เป็นนายแต่ยังไม่ทันจะสาง นายท่านของจวนก็เดินเข้ามาจนทุกคนต้องถอยหลังออกมาแล้วก้มหัวคำนับอย่างนอบน้อม“เอาหวีมา ข้าจะสางผมให้นางเอง”“เจ้าค่ะ” หญิงรับใช้ส่งหวีให้ท่านเจ้าเมืองก่อนจะก้มหัวลาแล้วพากันเดินออกไปเพื่อให้ทั้งสองคนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่ายามนายท่านและฮูหยินอยู่ด้วยกันห้ามผู้ใดรบกวนทั้งสิ้น ปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพังถ้ามีอะไรจะเรียกใช้เองไม่ต้องยืนรอหยวนฉินเดินเข้ามาหาเย่ซูชางก่อนจะจับลงบนผมของนางแล้วใช้หวีสางลงบนเส้นผมอย่างอ่อนโยนไม่ให้มันขาดออกมาสักเส้นเดียว เย
บทที่ 20‘ตอนจบของนิยาย’..เย่ซูชางดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เจ้าแฝดที่ตอนนี้นอนหลับปุ๋ยไปแล้วเพราะวันทั้งวันเอาแต่วิ่งเล่นตกกลางคืนเลยอ่อนเพลียหลับง่ายเป็นธรรมดา นางหันตัวเดินออกมานอกห้องก่อนจะปิดประตูแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนลูกทั้งสองสายตามองไปยังห้องตำราก็เห็นมีแสงสว่างอยู่ แปลว่าหยวนฉินยังไม่กลับเรือนนอนจึงเดินไปหาเผื่อจะช่วยงานเขาได้บ้าง เมื่อเดินเข้ามาก็เห็นว่าสามีกำลังนั่งอ่านหนังสือร้องเรียนอยู่“มันหมดเวลาทำงานแล้ว”นางเดินเข้ามานั่งข้างเขาก่อนจะหยิบเอาหนังสือร้องเรียนขึ้นมาดู วันแต่ละวันมีเรื่องร้องเรียนมากมายแต่ส่วนมากก็เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นคนตีกัน ตกลงกันไม่ลงตัว ไกล่เกลี่ยเล็กน้อยปัญหาก็จบแล้ว“ข้าเป็นเจ้าเมืองไม่มีหมดเวลาทำงานหรอก เป็นเจ้าเมืองทั้งวันทั้งคืน ชาวบ้านเดือดร้อนมีทุกข์ตอนไหนก็พร้อมช่วยเหลือทันที”“แต่เจ้าก็ต้องพักผ่อนบ้าง ถ้าทำงานหนักมากเกินไปมันจะไม่ดีต่อสุขภาพ เกิดเจ้าตายขึ้นมาข้าก็เป็นหม้ายสิ”“ไว้ข้าทำตรงนี้เสร็จก็จะพักแล้ว”“เหลืออีกตั้งมาก”“ครู่เดียวเท่านั้นแหละ”สุดท้ายเย่ซูชางก็ต้องยอมให้ท่านเจ้าเมืองสะสางงานต่อให้เสร็จ แต่มีหรือที่คนซุกซนแบบนางจะยอ
บทที่ 19'พระกระโดดกำแพง'..“หมายความเช่นไรเจ้าคะ?”“เจ้าไม่รู้อะไร การมีฝูอ๋องอยู่ในเมืองหลวงคอยช่วยงานฮ่องเต้ นอกจากจะคอยค้านอำนาจฝ่ายองค์รัชทายาทแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนองค์รัชทายาทให้เอางานเอาการสนใจงานบ้านเมืองด้วย เพราะถ้าไม่สร้างผลงานไม่ทำให้ฮ่องเต้พอใจก็อาจจะถูกแย่งตำแหน่งองค์รัชทายาทไปก็ได้ ฮ่องเต้คิดมาแล้วทั้งหมดว่าต้องทำยังไงถึงจะเคี่ยวเข็ญองค์รัชทายาทได้ วิธีนี้ฝ่าบาทก็ไม่ต้องลงแรงไปเคี่ยวเข็ญออกคำสั่งเอง แค่ใช้สถานการณ์รอบตัวให้เป็นประโยชน์ องค์รัชทายาทอยู่ไม่เป็นสุขหรอก ต้องรีบสร้างผลงานทำความดีเพื่อรักษาตำแหน่งตนเองอยู่แล้ว”“เช่นนี้ก็เหมือนว่าฝ่าบาทใช้ฝูอ๋องเป็นเครื่องมือทางการเมือง”“จะกล่าวเช่นนั้นก็ถูก แต่ที่ฝ่าบาทยังให้ฝูอ๋องอยู่ในเมืองหลวงส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงด้วย เจ้าอย่าลืมว่าวัยเยาว์ฝูอ๋องต้องไปอยู่ที่อื่นกับพระสนมกุ้ยจนสุดท้ายก็ถูกพวกกบฏลอบทำร้ายจนพระสนมกุ้ยตายส่วนฝูอ๋องก็กลายเป็นคนขาเป๋ ฝ่าบาทคงไม่อยากให้มันเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยจึงไม่ยอมให้ฝูอ๋องไปไกลพระเนตรพระกรรณตนเอง”เย่ซูชางยกถ้วยอาหารยื่นให้น้องสาว “เจ้าช่วยข้ายกออกไปตั้งที่โต๊ะในสวนทีจะได้กินข้าวกัน”
บทที่ 19'พระกระโดดกำแพง'..เสียงมีดหั่นลงบนเขียงดังก้องภายในโรงครัวที่มีควันลอยฟุ้งจากเตาถ่านที่ถูกจุดเอาไว้ บนเตามีหม้อที่กำลังตุ๋นเนื้อหมูสามชั้นให้นุ่มจนเข้าเนื้อ เย่ซูชางหันไปหยิบปลิงทะเลและหอยเป่าฮื้อมาหันเป็นชิ้นพอดีคำ“พี่หญิงรองทำสิ่งใดอยู่เจ้าคะ?” เย่ซูเจินเดินเข้ามาภายในครัวเมื่อได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยออกมาจนน้ำลายสอท้องร้องขึ้นมา“พระกระโดดกำแพง”“ฮะ?” คนน้องหน้าตาเหวอกับคำตอบของพี่สาว “อะ… อะไรกระโดดกำแพงนะเจ้าคะ?”“อ๋อ พระอะ พระกระโดดกำแพง”“มันคือชื่ออาหารหรือเจ้าคะ แล้วทำไมพระต้องกระโดดกำแพงด้วย?”“เพราะเมื่อต้มเสร็จมันจะหอมมากจนพระต้องกระโดดกำแพงมาร่วมวงกินด้วยไง”“ฮะ?” เย่ซูเจินที่ได้ฟังความหมายของชื่อก็อดไม่ได้ที่จะอึ้ง แต่ก็พยายามคิดให้มันเป็นเรื่องปกติแล้วเดินไปหยิบส่วนผสมที่เป็นคล้าย ๆ ฟองสีทองนวลขึ้นมา“นี่คืออะไรหรือ?”“กระเพาะปลาเชื่อกันว่าจะช่วยให้ผิวพรรณดี ดูอ่อนเยาว์ ทำให้เนื้อเยื่อแข็งแรงและกระชับ ให้พลังงาน เสริมภูมิคุ้มกันของร่างกาย สามารถรักษาอาการตกเลือด อาการซีด และโลหิตจางได้”“แล้วดำ ๆ อันนี้ล่ะ?”“ปลิงทะเล”“ฮะ? ปะ… ปลิงทะเล มันกินได้หรือพี่หญิง?”“กิ
บทที่ 18'ฉีฉีชิงชิง'..“เจ้านี่ยังปากร้ายเสมอต้นเสมอปลาย”หยวนฉินโน้มลงไปจูบริมฝีปากเอิบอิ่มด้วยความมันเขี้ยวจนเย่ซูชางตกใจจะดันเขาออกแต่ก็ถูกมือใหญ่รวบแขนเอาไว้จนไร้ทางขัดขืนได้แต่จ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าถมึงทึง“เจ้าทำบ้าอะไร สติเพี้ยนไปแล้วหรือ ถึงกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”“เรื่องบัดสีอะไรกัน ข้าเพียงจูบเจ้าเองก็ช่วยไม่ได้เจ้าน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ข้าจะอดใจไหวได้ยังไง รู้หรือไม่ว่าข้าต้องใช้ความอดทนอย่างมากขนาดไหนที่จะไม่ปิดที่ว่าการแห่งนี้แล้วอุ้มเจ้ากลับไปฟัดที่จวนให้จมเตียง”“เป็นถึงเจ้าเมือง ช่วยทำตัวให้น่านับถือหน่อยสิ นับวันเจ้ายิ่งหน้าหนาพูดเรื่องในม่านมุ้งได้ไม่อายปาก สงสัยข้าต้องส่งจดหมายไปทูลฟ้องฮ่องเต้แล้วว่าเจ้าคงไม่เหมาะกับตำแหน่งเจ้าเมืองให้ริบคืนเสีย”“ฮูหยินเจ้าเมืองก็ช่างโหดเหี้ยมนัก เจ้าดุจนคนรับใช้ในจวนกลัวกันหัวหด เรียกผู้ใดผู้นั้นก็แทบจะหัวใจหยุดเต้นตาย”“ก็ข้าเป็นฮูหยินแล้ว เป็นนายหญิงของจวน เป็นภรรยาเจ้าเมือง และยังเป็นมารดาของเด็กแฝดด้วย ถ้าจะมามัวทำตัวเล่นเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วถ้าไม่จริงจังไม่หนักแน่นจะคุมผู้อื่นได้อย่างไร ในเมื่อมีหน้าที่ภาระต้องดูแลทั้งภ
บทที่ 18'ฉีฉีชิงชิง'..ห้าปีต่อมาเมืองหนานตูเสียงเด็ก ๆ วิ่งกันเจื้อยแจ้วไปตามถนนของเมืองที่ครึกครื้นไปด้วยผู้คนมากมายที่แวะเวียนมาค้าขายตามประสาของเมืองท่าติดทะเลที่มีเรือขนส่งมากมายมาจอดเทียบท่า ผู้คนล้วนมีความสุขกับการใช้ชีวิตภายใต้เมืองที่เงียบสงบไร้เหตุร้ายเพราะทุกคนล้วนมีงานทำมีเงินใช้จึงไม่มีการปล้นฆ่าแย่งชิงกันในเมืองแห่งนี้หน้าร้านถังหูลู่มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังยืนจดจ้องของหวานอยู่ด้วยความอยากกินตามประสาเด็ก มือเล็ก ๆ หยิบเหรียญออกมาก่อนจะยื่นให้พ่อค้า“ท่านลุงข้าขอถังหูลู่สองไม้”“สำหรับคุณหนู ข้าให้สามไม้เลยขอรับ” ลุงใจดีหยิบถังหูลู่ให้เด็กน้อยสามไม้จนมือเล็ก ๆ แทบจะหยิบไม่หมดแต่เด็กน้อยก็ใจสู้พยายามจับมันให้ได้“ขอบคุณท่านลุง ขอให้ท่านค้าขายดิบดี”“ขอบคุณขอรับคุณหนู”“คุณหนูหยวน คุณหนูหยวนเจ้าคะ!”เสียงตะโกนเรียกดังขึ้นจนเด็กสาวตัวน้อยตกใจรีบหันไปมองก็พบบรรดาพี่เลี้ยงที่กำลังวิ่งมาหานาง “ท่านลุงข้าไปก่อนนะ!”ว่าจบเด็กหญิงตัวน้อยก็รีบวิ่งหนีปะปนไปกับฝูงชนทันที มือยังคงถือถังหูลู่ไม่ยอมปล่อย วิ่งดุ๊กดิ๊กหนีเหล่าพี่เลี้ยงจนเป็นที่เอ็นดูของเหล่าชาวบ้าน บางคนก็ช่วยให้ที่หล
บทที่ 17'ค่ำคืนวสันต์'..เสียงดังเซ็งแซ่ลอยมาตามลมให้ได้ยินแว่วหู เย่ซูชางในชุดเจ้าสาวสีแดงที่กำลังนั่งรอเจ้าบ่าวอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพังภายในห้องหอที่ประดับประดาไปด้วยสีแดงก็นึกเบื่อเพราะให้นั่งนิ่ง ๆ มันไม่ใช่นิสัยของนางเลย สุดท้ายจึงเลิกผ้าคลุมขึ้นไปไว้ด้านบนแล้วลุกเดินมายังโต๊ะอาหารที่มีขนมวางอยู่มือเล็กหยิบเอาขนมหวานขึ้นมากิน ลักษณะมันเหมือนถั่วตัดเลย รสชาติหวานละมุนเรียกว่าทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาเลยเมื่อร่างกายได้น้ำตาลบ้าง วันนี้ทั้งวันตั้งแต่เช้ายันค่ำยุ่งแต่กับพิธีแต่งงาน เครื่องหัวก็หนักมากเพราะเป็นมงกุฎหงส์พระราชทานจากฮ่องเต้เลยอลังการงานสร้างเพชรล้านเม็ดสุดอะไรสุด แขกในงานแทบลืมตาไม่ได้เพราะเพชรนิลจินดาบนตัวเจ้าสาวแยงตาแทบทะลุเสียงประตูเปิดออกมันทำให้เย่ซูชางตกใจรีบเคี้ยวกลืนขนมที่อยู่ในปากจนไม่ทันระวังติดคอสำลักจนหน้าดำหน้าแดงลำบากเจ้าบ่าวอย่างหยวนฉินต้องเดินมาทุบหลังนางดังปึกจนขนมกระเด็นหลุดออกมาจากปาก จนนางต้องรีบหันไปเทน้ำชาดื่มเพื่อล้างปากล้างคอมือก็ยกขึ้นปาดคราบน้ำตาตนเอง“ยังไม่ทันจะดื่มเหล้ามงคลเลยเจ้าก็จะตายแล้วหรือ?”“ก็เจ้าเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง ข้าก็ตกใจ
บทที่ 16'ดวงดาวกับข้าและเจ้า'..“นี่เจ้าจับปลาตั้งแต่ฟ้าสว่างจนฟ้ามืดเลยเหรอ?”“ข้าจับได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” หยวนฉินยื่นปลาที่สุกแล้วให้เย่ซูชางนางรับปลาย่างมากัดไปเสียคำโตแต่ลืมไปว่ามันยังร้อนอยู่จนแทบจะคายทิ้ง เป่าลมเข้าปากพัลวันจนหยวนฉินหลุดขำออกมาเสียงดังทำเอานางหน้ามุ่ยใส่“มันร้อนทำไมเจ้าไม่บอกข้า”“เจ้าก็เห็นว่ามันเพิ่งลงจากกองไฟจะไม่ร้อนได้อย่างไร”“ก็เป่าให้ข้าสิ” นางยื่นปลาย่างคืนให้เขาหยวนฉินรับปลามาก่อนจะบิดเนื้อปลาออกมาแกะก้างให้เรียบร้อยแล้วเป่าเพื่อไล่ความร้อนก่อนจะจ่อมันไปยังปากของนาง“ข้าเป่าให้แล้ว กินสิคนงาม”“ร้อนหรือเปล่า?”“ไม่ร้อนแล้ว ถ้าร้อนข้าให้ตบเลย”เย่ซูชางอ้าปากกินเนื้อปลาที่หยวนฉินป้อนแต่โดยดี ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วทำสีหน้าเหมือนร้อนจนต้องเป่าปาก “ยังร้อนอยู่เลย”“ดะ… เดี๋ยวเจ้าจะทำอะไร?” หยวนฉินหน้าเหวอเมื่อเห็นเย่ซูชางง้างฝ่ามือขึ้น“ก็เจ้าบอกว่าถ้าร้อนจะให้ข้าตบไง”“อันนี้เจ้ากลั่นแกล้งข้าแล้ว”“ข้าร้อนจริง ๆ ลิ้นข้าพองหมดแล้ว”“ข้าเป่าขนาดนี้ยังร้อน คงต้องเคี้ยวเข้าไปก่อนแล้วคายให้เจ้ากินแล้วแหละ”“ยี๋!” เย่ซูชางทำหน้าหยีเมื่อนึกภาพตาม“จูบกัน
บทที่ 16'ดวงดาวกับข้าและเจ้า'..“เจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม?” เย่ซูชางขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อหยวนฉินพานางมาที่ทุ่งหญ้าเขียวขจี“พาเจ้ามาดูทะเลดาว”นางหยุดฝีเท้าลงก่อนจะเงยหน้ามองฟ้าที่ยังคงมีแสงอยู่เลย มันจะเอาดาวมาจากไหนวะแดดเปรี้ยงขนาดนี้ นอกจากดาวบนหัวเขาอะหาท่อนไม้สักท่อนฟาดเข้าให้น่าจะได้เห็นดาวจริง ๆ“แดดเปรี้ยงขนาดนี้เจ้าจะเอาดาวมาจากไหน?”“เดี๋ยวมันก็มืดแล้ว”“นี่ข้าต้องรอจนมืดหรือ?”“รอไม่ได้หรือ?” หยวนฉินทิ้งตัวลงนั่งย่อตรงกองไฟที่มีคนเคยมาจุดเอาไว้แล้วหยิบเอากิ่งไม้แห้งใส่เข้าไปแล้วใช้กระบอกจุดไฟจุดกองใบไม้แห้งให้ไฟลุกขึ้น“แทนที่ข้าจะได้กลับไปนอนพัดวีที่เรือนสบาย ๆ ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งรอพระอาทิตย์ตกดินอีกหรือ”“เจ้าจะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา ยังไม่ทันแก่เลยเจ้าบ่นเก่งนัก ถ้าแก่ตัวไปหูข้าไม่ตึงเพราะโดนเจ้าบ่นทุกวันทุกเวลาเลยหรือไง”“หูเจ้าไม่ตึงหรอก” เย่ซูชางที่หมั่นไส้หยวนฉินก็ยื่นมือไปบิดหูเขาจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลง“โอ๊ย ๆ ข้าเจ็บ!”“ข้าจะบิดให้หูเจ้าขาดไปเลย จะได้ไม่ต้องมีหูให้ตึง”“ปะ… ปล่อย ข้ายอมเจ้าแล้ว ยอมเจ้าทุกอย่างเลย” หยวนฉินที่โดนบิดหูซะม้วนก็ร้องโอดครวญออกมาเสียง