บทที่ 2
‘สุขกันเถิดเรา เศร้าไปทำไม'
.
.
ปลายฟ้าในร่างของเย่ซูชางนอนยกขาพาดกันกระดิกปลายเท้าอยู่บนเตียงกว้างด้วยความหนักใจ มือเล็กยกขึ้นก่ายหน้าผากตนเองเพื่อพยายามครุ่นคิดในเรื่องที่จะกลับออกไปจากนิยายนี้ยังไงแต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จะฆ่าตัวตายก็เหมือนว่าจะไม่มีทางทำสำเร็จมันจะต้องมีอะไรมาขัดขวางตลอดเวลา
ลมหายใจถูกถอนออกมาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ถ้าการถอนหายใจทำให้แก่ไวป่านนี้ตัวเธอเองคงตายกลายเป็นวิญญาณไปแล้วเพราะจำไม่ได้แล้วว่าถอนหายใจมากี่ครั้งรู้แค่ว่าตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ก็เอาแต่นอนถอนหายใจแบบนี้มาเป็นชั่วยามได้แล้วมั้ง
เสียงเปิดประตูดังขึ้นมันทำให้ปลายฟ้าต้องหันไปมองจนเห็นว่าเป็นเย่ซูเจินที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่ำเชียว ตอนเด็ก ๆ กินน้ำผึ้งแทนนมหรือไงถึงหน้าหวานยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้าขนาดนี้
“ที่นี่ไม่สอนเรื่องมารยาทหรือไง เจ้าถึงได้เข้าห้องผู้อื่นโดยไม่เคาะประตูบอกกล่าวเจ้าของห้องก่อน?”
หญิงสาวรีบยกมือขึ้นปิดปากตนเองทันที นางไม่รู้ว่าทำไมถึงพูดออกไปเช่นนั้นทั้งที่ในใจไม่ได้คิดอะไรเลยแท้ ๆ หรือว่าผีคาแรคเตอร์ของเย่ซูชางจะเข้าสิงกันถึงได้พูดคำร้ายกาจด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกไปแบบนั้น
“ขออภัยพี่หญิงรองเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่เสียมารยาท ท่านจะตีข้าก็ย่อมได้ แต่ข้าเป็นห่วงท่านเห็นไม่ออกจากเรือนจึงมาดูด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง ๆ เจ้าค่ะ”
สุดท้ายก็เหมือนต้องยอมรับว่าตอนนี้เธอไม่ใช่ปลายฟ้าอีกต่อไปแล้วแต่เป็นเย่ซูชาง นางร้ายสายตอแหลจนเดินตลาดไม่ได้เพราะคงโดนรุมตบ การจะอยู่ที่นี่ได้อย่างรอดปลอดภัยและมีชีวิตต่อไปเพื่อรอวันกลับออกไปยังโลกความจริง ก็คงจะมีวิธีเดียวคือการสวมบทบาทเป็นเย่ซูชางแล้วใช้ชีวิตอันสุขสบายนี้ให้คุ้มค่าเสีย ไหน ๆ ก็มาอยู่ในร่างคุณหนูบ้านรวยมากล้นเงินทองแล้วก็อย่ามัวแต่เสียใจหรือทุกข์ใจเลย
‘ลุกมาใช้เงินใช้ทองดีกว่า!’
“ข้าหิวข้าวแล้ว”
อยู่ดี ๆ หญิงสาวก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งจนคนน้องตกใจเล็กน้อย
“พี่หญิงรองไม่คิดหาวิธีฆ่าตัวตายแล้วหรือ?”
“ก็คิดอยู่แต่ตอนนี้หิวเลยคิดไม่ออก” นางเดินเข้ามาหาน้องสาวแท้ ๆ ที่คลานตามกันออกมาแล้วยกวงแขนขึ้นโอบกอดคอเล็กที่แทบจะพันแขนสามรอบได้ หน้าคอมันจะเล็กไปไหน
“เราไปกินข้าวกันดีกว่าน้องรัก”
……….
.
สุดท้ายทั้งสองคนก็มานั่งกันอยู่ที่ศาลาริมน้ำพร้อมอาหารมากมายตระการตาจนเต็มโต๊ะหินจนเย่ซูชางตาเบิกกว้างด้วยความอึ้งเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยกินอาหารเยอะแบบนี้มาก่อนต่อให้เป็นงานเลี้ยงก็ยังไม่เยอะเท่านี้ นี่เป็นสิบกว่าอย่างเลยจนเลือกกินไม่ถูก
“กินกันแค่สองคนต้องเยอะถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“นี่เป็นปกติที่พี่หญิงรองกินเจ้าค่ะ” เย่ซูเจินกล่าวเสียงนิ่งเรียบ
“หมายความว่ายังไง?”
“ยามปกติพี่หญิงรองก็ให้ห้องครัวจัดเตรียมอาหารมากมายเช่นนี้ขึ้นโต๊ะอยู่แล้ว”
“ข้าเนี่ยนะ?” นางชี้นิ้วเข้าหาตนเองหน้าตาเหลอหลาก็ได้คำตอบจากน้องสาวสมรศรีเป็นการพยักหน้ายืนยัน
‘ถ้าหมดนี่ไม่เรียกว่ากินแล้ว แถวบ้านเรียกยัดห่า’
“คราวหน้าเจ้าบอกคนครัวให้ลดอาหารเหลือกับข้าวเพียงสามอย่าง ของหวานอีกหนึ่งอย่างก็พอ”
เย่ซูเจินที่ได้ยินก็ประหลาดใจจนแสดงชัดออกมาทางสีหน้า เย่ซูชางก็พอจะเข้าใจเพราะตามนิยายท่านหญิงเย่ใช้เงินมือเติบสุรุ่ยสุร่ายทุกเรื่องจะตายไป อาหารการกินก็ต้องเยอะแยะมากมายเหมือนจัดงานเลี้ยงทุกวัน ทั้งที่ความจริงกินแค่เพียงผู้เดียว บางจานกินเพียงคำเดียวก็ไม่แตะอีกให้คนเอาไปทิ้งให้หมากินอย่างไม่เสียดาย แต่ตอนนี้กลับบอกให้ลดจำนวนอาหารลงมันเลยแปลกสำหรับทุกคนเป็นแน่
“ข้าไม่ค่อยสบาย ช่วงนี้ร่างกายอ่อนแอเลยไม่อยากกินอะไรตามใจปากนัก ให้คนครัวจัดอาหารที่มีประโยชน์ให้ข้าแค่สามอย่างต่อมื้อก็พอแล้ว”
“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เย่ซูเจินพยักหน้ารับสีหน้าดูผ่อนคลายลงอย่างชัดเจน
“งั้นมากินข้าวกันเถิด เจ้าต้องกินเยอะ ๆ ตัวบางร่างน้อยถึงเพียงนี้เดี๋ยวลมพัดมาจะปลิวเอา” นางคีบเนื้อสามชั้นตุ๋นฉ่ำ ๆ ให้น้องสาวในนิยายด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เย่ซูเจินยิ้มหวาน
ตามที่อ่านมาในนิยายไม่ได้กล่าวถึงเย่ซูเจินนัก เหมือนจะเป็นตำแหน่งตัวประกอบมากกว่า คอยรับบทนางห้าม ห้ามเย่ซูชางไม่ให้ไปตบตีไปทะเลาะกับผู้อื่นเนี่ยแหละ ตอนอ่านก็จินตนาการไว้แล้วแหละว่าเย่ซูเจินต้องเป็นดอกบัวขาวและก็ไม่เกินความคาดหมายนัก
ตอนนี้ผู้ที่เป็นผู้นำสกุลเย่คือเย่ซูชางเนี่ยแหละ ส่วนท่านอารองของนางทำหน้าที่รักษาการแทนคล้ายฮ่องเต้ที่อายุยังน้อยเลยต้องมีฮองเฮาว่าราชการแทน ตามนิยายเย่ซูชางสนใจงานบ้านงานเรือนงานกิจการเสียที่ไหนเอาแต่ตามตื๊อพระเอกตบตีกับนางเอกไปวัน ๆ เท่านั้น
บิดาและพี่ใหญ่ตายในสนามรบ ส่วนมารดาก็ตรอมใจจนป่วยตายไปอีกคน ทำให้สกุลตอนนี้เหลือ ท่านอารอง ท่านอาเล็กที่อาศัยอยู่เมืองทางเหนือ ท่านย่าที่อยู่บ้านนอกกับน้องชายต่างมารดา ตัวของเย่ซูชาง เย่ซูเจิน และครอบครัวของท่านอารอง
ตอนจังหวะที่คิดอะไรเพลิน ๆ สายตาของเย่ซูชางก็มองไปเห็นหยวนฉินที่กำลังเดินผ่านประตูวงกลมไปจนเห็นหลังไว ๆ แต่ก็มั่นใจว่าเป็นเขาเพราะจำอาภรณ์สีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาได้จึงรีบลุกขึ้นยืนเพื่อจะเดินตามไป
“พี่หญิงรองท่านจะไปไหน?”
“ข้ามีธุระ เจ้ากินไปเถิด กินให้หมดอย่าให้เหลือเดี๋ยวจะเสียของ”
“ดะ… เดี๋ยวสิพี่หญิงรอง” เย่ซูเจินพยายามร้องเรียกพี่สาวแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจเลยเหมือนใจของเย่ซูชางจะลอยไปที่อื่นแล้วเลยเดินตัวปลิวออกไปเลย นางทำได้เพียงก้มลงมองอาหารสิบกว่าอย่างตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ถ้าข้ากินหมดนี่คงต้องกลิ้งแทนเดินแล้วพี่หญิงรอง”
……….
.
เย่ซูชางเดินตามหยวนฉินไปทางเรือนของท่านอารองที่เห็นชายอาภรณ์ของเขาไว ๆ แต่เมื่อเดินทะลุประตูออกมากลับไม่เจอเขาแล้ว หันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอไม่รู้ว่าหายไปตอนไหนทั้งที่เมื่อครู่ยังเห็นหลังไว ๆ อยู่เลย มือเล็กยกขึ้นคาดตาเพื่อบังแดดแล้วทอดสายตามองออกไปด้านหน้าแต่ก็ไม่เจอ
“อะไรวะ เมื่อกี้ยังเห็นหลังไว ๆ อยู่เลย” นางเปลี่ยนเป็นเท้าเอวแทน
“หาข้าหรือ?” เสียงเข้มดังขึ้นข้างหูจนเย่ซูชางตกใจ
ด้วยความตกใจทำให้เย่ซูชางกระแทกข้อศอกไปด้านหลังเพื่อหวังจะฟันหน้าใครสักคนที่กล้าเข้ามาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ข้างหลังผู้อื่น แต่คนด้านหลังก็หลบได้ทันไม่พอยังจับแขนนางล็อกไปด้านหลังจนเจ็บปวดร้าวแขนแทบหักออกเป็นสองท่อน
“โอ๊ย!”
“เจ้าตามข้ามาทำไม หรือคิดแผนร้ายจะตีข้าจากข้างหลังให้ตาย”
“ข้ามีไม้หรือไง เจ้าก็แหกตาดูเสียบ้าง”
คนอย่างเย่ซูชางเองก็ไม่ยอมถึงแม้ดวงวิญญาณจะเป็นปลายฟ้าแต่ความไม่ยอมคนของนางเองก็มี ไม่ต้องใช้นิสัยนางร้ายอะไรทั้งนั้นหรอกแต่มันเป็นสิ่งที่คนดีก็มีได้เพราะการเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าจะต้องยอมทุกคน อีกอย่างตามนิยายหยวนฉินก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเย่ซูชางมาตลอดด้วย คอยถกเถียงตบตีกันเป็นเรื่องปกติถ้านางจะด่าเขาหรือเอาศอกฟันหน้าเขาสักฉาดก็คงไม่มีอะไรผิดแปลกไป
“ว่าแต่ข้าแล้วเจ้าเล่า มาจับมือถือแขนข้าไม่ยอมปล่อย คิดสิ่งใดลึกซึ้งกับข้าอยู่หรือเปล่า?” นางแกล้งหยอกเย้าพ่อพระรองรูปงามด้วยน้ำเสียงหวานจนหยวนฉินต้องรีบปล่อยตัวนางให้เป็นอิสระแต่ไม่ปล่อยเปล่าแทบจะผลักนางออกจนหน้าแทบทิ่มด้วยซ้ำไป
“เจ้าไม่ผลักข้าให้หน้าทิ่มไปเลยเล่า!”
“ข้าก็ตั้งใจเช่นนั้น”
“นี่เจ้า!” เย่ซูชางอยากจะสถบคำหยาบคายด่าเขาออกไปแต่ก็ต้องพยายามอดทนอดกลั้นเอาไว้เพราะถึงนางจะเป็นนางร้ายแต่ก็เกิดในสกุลผู้ดี ต้องสำรวมกิริยาและวาจาเอาไว้ให้มากเดี๋ยวคนอื่นจะตกใจนึกว่าแม่ค้าปากตลาดที่ไหน
แต่พอได้มองพ่อพระรองชัด ๆ อีกครั้งเขาก็หล่อเหลาไม่หยอกเชียว ใบหน้าคมเข้ม จมูกโด่งรั้น ริมฝีปากสีแดงระเรื่อหน้าจูบ หน้าของเขาเนียนใสมากมันขาวผ่องเป็นยองใยเชียว ช่างเกิดมาเป็นผู้ที่ครบทั้งรูปโฉมและรูปทรัพย์จริง ๆ นางยังไม่เห็นหน้าพระเอกหรอกนะ แต่แค่พระรองก็หล่อมากแล้วและพ่อพระเอกจะหล่อปานเทพลงมาเกิดขนาดไหน
“เจ้าคิดแผนชั่วอะไรอีก”
“ใช่ ข้ากำลังคิดแผนชั่วอยู่”
นางก้าวเท้าเดินเข้ามาหาเขา ถ้าอยากให้นางร้ายนักนางก็จะร้ายให้ดู ใบหน้าหวานยื่นไปใกล้บุรุษผู้องอาจที่ยังยืนนิ่งท้าทายกันอย่างไม่หวาดหวั่นเห็นแล้วมันก็ชวนตื่นเต้นยิ่งอยากเอาชนะมากขึ้น นิ้วเรียวลากไล้ลูบสัมผัสไปตามอกกว้างอย่างหยอกล้อจนคิ้วของหยวนฉินขมวดเข้าหากันมองการกระทำของนางอย่างไม่ชอบใจนัก
“ข้ากำลังคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะได้ท่านมาครอบครอง”
“เจ้าพูดอันใด!”
มือใหญ่คว้าเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วออกแรงบีบ ดวงตาคมฉายแววความโกรธจนออกมาทางน้ำเสียงของเขา เย่ซูชางกลับไม่หวาดกลัวเลือกจะยิ้มชอบใจในความขุ่นเคืองของเขาที่นางสามารถกระตุ้นมันออกมาได้
“ข้าชักชอบท่านแล้วสิ บุรุษผู้องอาจ เป็นถึงรองเจ้ากรมพิธีการ มากความสามารถ งามทั้งรูปโฉมและรูปทรัพย์จะไม่ให้สตรีบอบบางเช่นข้าชื่นชมได้อย่างไร”
“สมแล้วที่เจ้าเป็นนางมารร้าย จิตใจช่างโลเลยิ่งนัก สามวันก่อนเจ้ายังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ทูลขอพระราชทานสมรสกับจางหมิงซัวอยู่เลย”
เย่ซูชางหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะครุ่นคิดไตร่ตรองก็จำได้ว่าตัวของเย่ซูชางในนิยายนั้นหลงรักพ่อพระเอกหัวปักหัวปำจนไปทูลขอพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้จริง ๆ แต่ก็ถูกจางหมิงซัวปฏิเสธหักหน้ากันต่อหน้าฮ่องเต้และขุนนางมากมายจนกลายเป็นที่โจษจันไปทั่วว่าท่านหญิงเย่ลุ่มหลงบุรุษจนลืมยางอายไปหมดแล้ว มีอย่างที่ไหนสตรีไปขอบุรุษสมรสก่อน
หลังจากเรื่องราวนั้นนางร้ายก็อับอายถึงขีดสุดแต่แทนที่จะไปด่าจางหมิงซัวนางกลับเลือกจะไปตบตีทำร้ายนางเอกแทนเพราะคิดว่าถ้าไม่มีนางเอกพระเอกคงแต่งงานกับตนไปแล้วเลยเอาความโกรธไปลงที่นางเอกทุบตีทำร้ายศัตรูหัวใจเสียจนแขนหักเลยทีเดียว ทำให้พระเอกและพระรองโกรธเกลียดนางร้ายอย่างเย่ซูชางมากที่บังอาจไปทำร้ายดวงใจของพวกเขา
‘นี่ไม่ใช่ว่านางทำร้ายนางเอกไปแล้วหรอกนะ!’