บทที่ 3
'เจ็บแค้นเคืองโกรธโทษฉันไย'
.
.
เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากเหล่าบ่าวไพร่ที่มายืนล้อมวงดูเย่ซูชางที่กำลังถูกจางหมิงซัวสาดน้ำผลไม้ใส่ มันไม่ใช่น้ำผลไม้คั้นอะไรแต่มันคือน้ำที่ผสมเศษผลไม้ที่ถูกนำไปบดเท่านั้น ทำให้หัวและร่างกายของนางเต็มไปด้วยซากผลไม้ที่ติดตามผมและร่องหลืบของอาภรณ์
“ท่านพี่หมิงซัวพอเถิดเจ้าค่ะ!” เย่ซูเจินรีบเข้ามาห้ามปราม
“ไม่ต้องห้ามเขา ถ้าท่านแม่ทัพกระทำสิ่งนี้แล้วสบายใจขึ้นก็ปล่อยให้เขากระทำไป ข้าทำผิดย่อมยอมรับโทษทัณฑ์”
“คนเช่นเจ้าต่อให้โดนน้ำเน่าน้ำโคลนสาดจากคนทั้งเมืองก็ไม่สามารถชดใช้ในความชั่วของเจ้าได้”
“งั้นก็เอาเลยสิ เรียกคนทั้งเมืองมาสาดโคลนใส่ข้า เอาที่เจ้าสบายใจเลยจางหมิงซัว!”
เย่ซูชางตะคอกออกไปอย่างหมดความอดทนมันทำให้จางหมิงซัวประหลาดใจเพราะเขาไม่ได้ยินนางเรียกตนด้วยชื่อเต็มมานานแล้ว นานมากจนบางทีอาจจะเป็นสิบปี แต่ทำไมวันนี้นางถึงกล่าวชื่อเต็มของตน ไหนจะท่าทางเฉยเมยนี่อีก ปกตินางมักจะเข้ามาออเซาะออดอ้อนเขาเสมอ เห็นหน้าไม่ได้เลยเป็นต้องเดินตามต้อย ๆ คอยมาตื๊อมาให้ท่าถึงจวนเป็นประจำ แต่ทำไมยามนี้แววตาของนางยามทอดมองมากลับแข็งกร้าวเย็นชาเหมือนไม่เหลือความรู้สึกอะไรให้เขาเลย
หรือที่ผู้คนร่ำลือกันว่าเย่ซูชางเสียสติไปแล้วจะเป็นเรื่องจริง เพราะนางพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง จนบางทีอาจจะมีผลกระทบกับร่างกายและจิตใจจนสติเลอะเลือนไปแล้วก็เป็นได้ เพราะเย่ซูชางไม่มีทางหรอกที่จะมาขอโทษถังซีเยว่ ไม่มีทางที่จะยอมให้เขาหยามเกียรตินางถึงเพียงนี้แน่ นอกจากเสียสติไปแล้วจริง ๆ
แต่ความโกรธแค้นที่นางมาทำร้ายคนรักมันก็มีมากกว่า เขาเฝ้าทะนุถนอมถังซีเยว่มาอย่างดีแต่นางกลับมาทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจของถังซีเยว่ มันไม่ใช่ครั้งแรกแต่หลายครั้งแล้ว ทั้งเคยส่งคนมาทำร้าย ทั้งเคยวางยาพิษ ทั้งเคยผลักตกน้ำ ทุกอย่างหวังผลจะฆ่าให้ตายทั้งสิ้น แล้วจะไม่ให้เขาโกรธแค้นแทนคนรักได้อย่างไรในเมื่อคนที่รักเจ็บเขาย่อมเจ็บตามไปด้วย
แม่ทัพหนุ่มเตรียมจะยกถังที่เต็มไปด้วยน้ำที่แช่ซากผลไม้ที่ถูกบดสาดใส่เย่ซูชางอีกครั้งเพื่อหวังจะชำระแค้นให้คนรัก แต่จังหวะที่กำลังจะสาดออกไปนั้นกลับมีพัดด้ามใหญ่ปลิวมากระแทกเข้ากับมือของจางหมิงซัวจนถังน้ำตกพื้นสาดกระจายใส่ทุกคนที่อยู่รอบข้างจนต้องพากันถอยหลังหลบแม้กระทั่งตัวของแม่ทัพหนุ่มเองก็โดนสาดเข้าเต็ม ๆ จนอาภรณ์เลอะเทอะไปด้วยคราบผลไม้บดที่ตนเองคิดจะสาดใส่ผู้อื่น คล้ายกรรมตามสนองก็ไม่ผิดเพี้ยน
พัดด้ามใหญ่หมุนวนกลับคืนสู่มือของเจ้าของราวกับมีชีวิต ทุกคนต่างมองตามไปจึงได้พบว่าผู้ที่เข้ามาขัดขวางการเอาคืนครั้งนี้คือรองเจ้ากรมพิธีการที่แต่งตัวเต็มยศคล้ายเพิ่งกลับออกมาจากการว่าราชการ เขารีบเดินเข้ามาหาเย่ซูชางก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกเพื่อคลุมร่างกายที่เปียกปอนของนางก่อนจะหันจ้องมองจางหมิงซัวด้วยความไม่พอใจที่กระทำย่ำยีเกียรติของเย่ซูชางแบบนี้ยังไงเสียนางก็เป็นถึงท่านหญิงเป็นรองแค่องค์หญิง มีบิดาและพี่ชายที่สร้างคุณงามความดีกับแผ่นดินเอาไว้มากมายแต่แม่ทัพจางดันเอานางมาเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้มันเกินไปเสียหน่อย
“เผื่อเจ้าจะลืมว่านางคือท่านหญิง”
“แล้วอย่างไรเล่า เป็นนางที่มาทำเยว่เอ๋อร์จนบาดเจ็บก่อนแล้วยังไม่ได้รับโทษอย่างสมควรอีก หรือเพราะนางเป็นท่านหญิง คนธรรมดาแบบเยว่เอ๋อร์เลยต้องยอมก้มหน้าให้นางทำร้ายและเหยียดหยามเช่นใดก็ได้หรือ!”
จางหมิงซัวที่รักถังซีเยว่มากก็ไม่ยอมที่จะให้คนรักของตนเองต้องเจ็บตัวเปล่าโดยที่เรียกร้องความยุติธรรมไม่ได้เลยแล้วแบบนั้นเขาจะมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพไปทำไม คุมคนนับร้อยนับพันในกองพลได้ ออกกรำศึกนับไม่ถ้วนอย่างกล้าหาญแต่แค่คนรักคนเดียวยังปกป้องไม่ได้
“แล้วอย่างไรหรือ บางทีการที่เจ้าไม่ใช้สมองคิดไตร่ตรองให้ดีว่าอะไรสมควรหรือไม่สมควรก็อาจจะนำพาความตายมาสู่เสี่ยวเยว่ก็ได้ หรือบางทีแม้แต่ชีวิตของเจ้ากับทุกคนในจวนหลังนี้ก็อาจจะไม่เหลือ เจ้าคิดหรือว่าถ้าเรื่องนี้ถึงพระกรรณฮ่องเต้แล้วพระองค์จะทรงยอมที่มีผู้ใดมาหมิ่นเกียรติท่านหญิงที่พระองค์ทรงแต่งตั้ง จุดประสงค์ที่พระองค์แต่งตั้งเย่ซูชางขึ้นเป็นท่านหญิงก็เพื่อไม่ให้ผู้ใดมารังแกนางได้ แต่เจ้ากำลังทำในสิ่งที่ฮ่องเต้ไม่ต้องการเจ้าคิดว่าพระองค์จะทรงยอมหรือ?”
“แต่นางกลับรังแกผู้อื่นได้หรือ?”
“พูดกับเจ้ายามนี้ก็ไร้ผล เพราะอารมณ์ของเจ้าไม่พร้อมจะฟังสิ่งใดเลย”
หยวนฉินรีบหันกลับมาอุ้มตัวของเย่ซูชางขึ้นมาเพื่อจะพากลับไปส่งที่จวนสกุลเย่ มือใช้เสื้อคลุมปิดหน้าของนางเอาไว้เพราะกลัวว่านางจะอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบในสิ่งที่เย่ซูชางกระทำแต่ก็ไม่ใช่คนใจดำอำมหิตที่จะรังแกนางที่เป็นเพียงสตรีบอบบางผู้หนึ่ง อีกอย่างตัวเขา เย่ซูชาง และจางหมิงซัวก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เยาว์วัย อายุเท่ากัน เติบโตมาด้วยกัน และได้พบผ่านพบเห็นทุกช่วงเหตุการณ์ในชีวิตของกันและกันมาตลอด ยังไงเสียก็ควรเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนที่มีต่อกันบ้าง
……….
.
เย่ซูชางนั่งเงียบมาตลอดทางภายในรถม้ากว้างขวางของรองเจ้ากรมพิธีการหนุ่มที่อิงตามนิยายนอกจากจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันแล้วยังเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กด้วย ในนั้นก็รวมพ่อพระเอกอย่างจางหมิงซัวอยู่ด้วย แต่นั่นแหละมันก็ตามสเต็ปนิยายทั่วไปที่วันหนึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปเติบโตและทิ้งวัยเยาว์จนหมดสิ้น
ทั้งสามคนก็เป็นเช่นนั้นเมื่อแยกย้ายกันไปเติบโตมันก็กลายเป็นความห่างเหินจากสหายวัยเยาว์ก็เหลือเพียงความทรงจำเท่านั้น พอกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่เมืองหลวงมันกลับไม่สนิทสนมเหมือนเมื่อครั้งก่อนอีกแล้ว ตัวเย่ซูชางหลงรักจางหมิงซัวหัวปักหัวปำจนทำลายมิตรภาพลง หยวนฉินก็หลงรักนางเอกจนกลายเป็นทะเลาะเบาะแว้งกับเย่ซูชางที่ทำร้ายนางเอกบ่อยครั้งกลายเป็นว่าความสัมพันธ์แบบสหายวัยเยาว์ยิ่งห่างเหินจนตอนนี้ยากจะต่อติด
“ถึงข้าจะไม่ชอบในสิ่งที่เจ้ากระทำกับเสี่ยวเยว่ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่หมิงซัวทำกับเจ้าเหมือนกัน” สุดท้ายผู้ที่เปิดปากพูดก่อนก็เป็นหยวนฉิน เขายื่นผลส้มที่ปอกเปลือกแล้วให้นาง
“เจ้าจะตอกย้ำข้าหรือ?” นางเงยสบตากับเขาที่ทำสีหน้างง แต่เหมือนจะคิดได้เลยรีบชักมือกลับทันที
“ขออภัย ข้าไม่ได้คิดจะตอกย้ำหรือเย้ยหยันเจ้า เพียงแต่กลัวเจ้าจะหิว ส้มนี่หวานนักจึงปอกให้เจ้ากิน”
“ข้ารู้แล้วว่ามันหวาน” มือเล็กสางเศษส้มออกจากผมของตนเองแล้วหันไปสบตากับพ่อพระรองคนดี “ข้าได้ชิมจนรู้รสมันแล้วว่าหวานเพียงใด”
“ขออภัยที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี ข้าจะไปสั่งสอนหมิงซัวแทนเจ้าเอง เขาเป็นถึงแม่ทัพอย่างน้อยก็ควรรู้แก่ใจว่าไม่ควรรังแกสตรีที่อ่อนแอกว่า”
“ขอบคุณน้ำใจของเจ้า แต่ช่างเถิด ให้เรื่องมันจบแค่นี้ดีกว่า ข้าเหนื่อยแล้ว”
นางถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพิงหัวซบไปกับผนังรถม้า สายตาทอดมองออกไปยังวิวข้างทางที่มีผู้คนมากมายเดินกันพลุกพล่านก็ได้แต่ปลงใจ
พระรองต้องแสนดีทุกเรื่องเลยหรือไง ส่วนพระเอกเรื่องนี้ทำไมใจร้ายนักแต่ก็ต้องพยายามเข้าใจว่าเกิดเป็นนางร้ายมันต้องเป็นสิ่งที่พระเอกไม่ชอบหน้าอยู่แล้วเป็นธรรมดา ยิ่งไปทำคนรักของเขาก็ยิ่งสร้างความชิงชังมากกว่าเดิม มันก็สมคำที่ว่าพระเอกเป็นของนางเอก ส่วนพระรองเป็นของทุกคน
นางหันไปมองหยวนฉินที่กำลังนั่งแกะส้มกินอยู่จนตอนนี้แยกไม่ออกเลยว่ากลิ่นส้มที่กระจายออกมามันมาจากเปลือกส้มที่เขากำลังแกะหรือว่ากลิ่นจากตัวนางกันแน่
‘ยอมยกพระเอกให้เป็นของนางเอกก็ได้ แต่พระรองเป็นของนางร้ายแบบนางจะได้ไหม นางก็อยากมีคู่เหมือนกัน คนมันเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ (。•́︿•̀。) '
……….
.
พระตำหนักเฉียนชิงกง , พระราชวัง
เพล้ง!
จานฝนหมึกถูกปาลงบนพื้นโดยพระหัตถ์ขององค์ฮ่องเต้ที่ได้รับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเย่ซูชางบุตรสาวของเย่ชิงเต๋อแม่ทัพใหญ่ผู้เป็นสหายของตนที่เสียสละชีพตนเองในสนามรบขับไล่พวกซีหมานจนออกไปจากแผ่นดินได้ ทำให้สกุลเย่เหลือเพียงบุตรสาวสองคนตนจึงพระราชทานยศท่านหญิงให้เย่ซูชางเพื่อให้ผูัอื่นเกรงใจและไม่กล้ารังแกนางและสกุลเย่ที่มีสตรีบอบบางปกครอง
“เจ้าส่งคนไปบอกให้จางหมิงซัวมาพบเราพรุ่งนี้”
“จางหมิงซัวเป็นแม่ทัพนะพ่ะย่ะค่ะ” หวังกงกงกล่าวเสียงแผ่วเบา
“แล้วอย่างไร จางหมิงซัวเป็นแม่ทัพ แต่เย่ซูชางเป็นท่านหญิง ถ้าเราปล่อยให้ท่านหญิงถูกแท่ทัพรังแกเหยียดหยามแล้วจะมีบรรดาศักดิ์ไปทำไม ต่อไปผู้อื่นคงไม่เคารพเราด้วยเหมือนกันถ้าปล่อยผ่านเรื่องนี้”
หวังกงกงที่ได้ฟังก็เงียบไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีกเพราะฮ่องเต้ทรงมีโทสะอยู่มาก ดีไม่ดีหัวของตนจะหลุดจากบ่าด้วยถ้ากล่าวสิ่งใดไม่เข้าหู
“เย่ซูชางเปรียบเหมือนพระราชนัดดาของเรา แม่ทัพจางก็พานางเข้าวังหลวงบ่อยครั้งและเราก็เอ็นดูนางมาตั้งแต่เยาว์วัย ที่พระราชทานบรรดาศักดิ์ท่านหญิงให้นางนอกจากจะปกป้องนางแล้วยังให้เพราะความรักอีกด้วย ใครทำร้ายนางก็เหมือนทำร้ายเราเช่นกัน แล้วเจ้าจะให้เราปล่อยผ่านเรื่องนี้หรือ แค่เรื่องที่จางหมิงซัวปฏิเสธนางต่อหน้าขุนนางก็หักหน้ากันเกินพอแล้ว เราทนเรื่องนั้นมาแล้วหนึ่งครั้งเพราะเห็นแก่คุณงามความดีของแม่ทัพจาง แต่ครั้งนี้เราจะไม่ทนเพราะยิ่งทนเหมือนยิ่งได้ใจนัก”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังดาบที่วางอยู่บนแท่นอย่างสง่างาม มือลูบไปตามลวดลายสีทองอร่ามของมันจนมาถึงด้ามจับที่สลักชื่อเจ้าของเอาไว้ชัดเจน เย่ชิงเต๋อ สหายรู้ใจที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ช่วยเขากอบกู้ราชบัลลังก์ จัดการขุนนางชั่ว ปราบกบฏ ขับไล่พวกซีหมานให้พ้นแผ่นดินจนตัวตาย ทำให้บัลลังก์ตนมั่นคงมาถึงทุกวันนี้ คุณงามความดียิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้เขาจะทอดทิ้งไม่ดูดำดูดีบุตรของสหายได้อย่างไร เย่ซูชาง เย่ซูเจิน ล้วนเป็นเหมือนหลานของเขา และตำแหน่งท่านหญิงก็ไม่ควรถูกใครมาลบหลู่ง่าย ๆ ด้วย