บทที่ 4
‘ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่’
.
.
“พี่หญิงรอง พี่หญิงรองเกิดเรื่องแล้ว!” เย่ซูเจินวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในเขตเรือนของเย่ซูชางที่กำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่ภายในศาลากลางสวน
“ถ้ายังไม่มีผู้ใดตายก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่” เย่ซูชางกล่าวเสียงนิ่งเรียบมือยังคงหยิบดอกไม้ขึ้นมาจัดแต่งใส่แจกันหยกใบงาม
“จะมีคนตายแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่หมิงซัวถูกพาไปที่คุกหลวงเห็นทีคงโดนโทษโบยเพราะฮ่องเต้ทรงไม่ยอมที่เขามาหมิ่นเกียรติท่าน”
เย่ซูชางที่ได้ฟังก็นิ่งเงียบลง ภายในใจเหมือนไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น “ข้าถือว่าข้าชดใช้ไปแล้ว ข้ายอมให้เขาหมิ่นเกียรติ ยามเดินไปไหนผู้คนก็นินทาเป็นตัวตลกขบขันแล้วจะให้ข้าทำสิ่งใดอีก ส่วนที่ต้องชดใช้ก็ชดใช้ไปแล้ว มันแค่ผิดตรงที่ว่าสิ่งที่หมิงซัวทำดันไปหมิ่นเกียรติฮ่องเต้เช่นกันเพราะฉะนั้นเขาก็ต้องรับโทษในส่วนนี้ด้วยตนเอง หาใช่ความผิดข้าเสียหน่อย”
“ตะ… แต่ว่านั่นท่านพี่หมิงซัวนะเจ้าคะ”
“แล้วอย่างไรหรือ?”
ผู้น้องที่ได้ฟังผู้พี่กล่าวก็ประหลาดใจเพราะยามปกติพี่สาวของนางมักจะตามตื๊อจางหมิงซัวตลอดเวลา และคอยยื่นมือเข้าไปช่วยเขาเสมอด้วยแม้นว่าทุกครั้งเขาจะไม่ต้องการก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องของจางหมิงซัวพี่สาวของนางย่อมไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง
“ยามปกติถ้าเป็นเรื่องของท่านพี่หมิงซัวพี่หญิงรองจะไม่นิ่งเฉยเลย”
“เจินเอ๋อร์ ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าแค่อยากพัก”
สีหน้าของเย่ซูชางคงจริงจังมากพอจนเย่ซูเจินก้มหน้าหลบสายตาด้วยความกลัวเล็กน้อย และรับรู้ได้แล้วว่าไม่ควรจู้จี้จุกจิกกับพี่สาวมากเกินไปเพราะยามจริงจังก็น่ากลัวเหลือเกิน
“ต่อจากนี้ข้าจะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับหมิงซัวอีกแล้ว ต่างคนต่างอยู่เถิด ข้าเหนื่อยจะต้องพยายามในสิ่งที่ไร้ประโยชน์แล้ว”
“ข้าดีใจที่พี่หญิงรองคิดได้เช่นนี้เจ้าค่ะ” เย่ซูเจินแย้มยิ้มออกมา
เพราะนางเองก็ไม่เห็นด้วยที่พี่สาวจะต้องไปตามตื๊อตามตอแยบุรุษผู้เดียวที่ไม่เคยมีใจให้ มิหนำซ้ำยังชอบทำร้ายจิตใจเป็นการตอบแทนความรักของพี่สาวนางอีกด้วย เชื่อว่าสักวันเย่ซูชางจะต้องได้แต่งงานและครองคู่กับบุรุษที่ดีอย่างแน่นอน
……….
.
เย่ซูชางเดินลัดเลาะมายังเขตเรือนของท่านอารองและครอบครัวเพื่อมาตามหาหยวนฉินเพราะบ่าวรับใช้บอกว่าเขามาที่จวน ในมือถือช่อดอกไม้ที่นางเพิ่งจัดเสร็จติดมาด้วยก่อนจะเห็นว่าเขากำลังคุยกับท่านอารองภายในเรือนหลังใหญ่สุด
“ท่านอารองข้านำดอกไม้มาจัดแจกันให้ท่าน” นางแสร้งทำเป็นมาที่นี่โดยบังเอิญเพื่อจะจัดแจกันดอกไม้ให้ผู้เป็นอาเมื่อเห็นว่าหยวนฉินอยู่ด้วยก็แสร้งทำเป็นตกใจ
“ขออภัย ข้าไม่คิดว่าท่านอารองจะติดธุระอยู่เจ้าค่ะ” นางโค้งหัวลงเล็กน้อยอย่างนอบน้อม
“คนกันเองทั้งนั้น อย่ามากพิธีเลยเจ้าเข้ามาเถิด” เย่ไป๋ อารองสกุลเย่หันมายิ้มให้หลานสาวอย่างอ่อนโยน
“ถ้าเช่นนั้นข้าขออนุญาตเจ้าค่ะ”
นางเดินเข้ามาภายในเรือนก่อนจะตรงไปยังแจกันเคลือบวาดลวดลายดอกโบตั๋นใบนี้ก็งดงามยิ่งนัก ดอกไม้ถูกวางลงบนโต๊ะก่อนที่มือเรียวจะเริ่มหยิบเสียบใส่แจกันอย่างอ่อนโยนท่ามกลางสายตาตะลึงของสองบุรุษต่างวัย เพราะตั้งแต่เกิดมาพวกเขาไม่เคยเห็นเย่ซูชางทำอะไรแบบนี้มาก่อนเลย
“อาไม่เห็นรู้ว่าเจ้าจัดดอกไม้เป็นด้วย” เย่ไป๋เดินเข้ามาดูแจกันที่หลานสาวจัดด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกมันไปให้หยวนฉินดู “เจ้าดูสิ ชางเอ๋อร์มีฝีมือด้านนี้ไม่น้อย”
“งดงามมากขอรับ”
หยวนฉินตอบด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ยังประหลาดใจอยู่ดีที่เย่ซูชางลุกขึ้นมาจัดดอกไม้เช่นนี้ ถ้านางปาแจกันดอกไม้ทิ้งค่อยดูจะเหมาะสมเป็นนางมากกว่า
“ไว้ข้าจะจัดแจกันดอกไม้ให้ท่านดีหรือไม่?” นางพูดออกไปต่อหน้าของท่านอารองเพราะหยวนฉินต้องไม่กล้าปฏิเสธแน่นอน
“ถ้าท่านหญิงเมตตา ข้าก็ยินดีรับไว้ขอรับ”
พออยู่ต่อหน้าท่านอารองของนางก็นอบน้อมเชียวนะพ่อพระรองคนดี ลองอยู่กันสองคนสิแทบจะกินหัวนางอยู่แล้ว
………
.
“ไยเจ้าไม่ไปอีก” เสียงแข็งของหยวนฉินกล่าวขึ้นจนเย่ซูชางที่กำลังจัดเอกสารให้เข้าที่เข้าทางอยู่หันมาสบตากับเขา
“ข้าจัดเอกสารให้ท่านอารองอยู่ เจ้าไม่มีตาแหกมองหรือ?”
“วันนี้ผีตนไหนเข้าสิงเจ้าอีกถึงได้ขยันผิดวิสัยเช่นนี้”
'เห็นไหมล่ะ พออยู่กันสองคนก็ปากหาเรื่องเชียว'
นางวางเอกสารในมือลงก่อนจะเดินเข้ามาหาหยวนฉินที่นั่งคัดลอกบัญชีอยู่ แขนทั้งสองข้างเท้าลงบนโต๊ะจนชายหนุ่มตกใจ นางยกยิ้มเล็กน้อยยามเห็นสีหน้าเหลอหลาของเขาจึงอยากจะแกล้งอีกด้วยการเปลี่ยนเป็นยกตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะแทน
“จะ… เจ้า เจ้าจะทำสิ่งใด?”
“ข้าล่ะชอบหน้าตาเหมือนกระต่ายตื่นตูมของเจ้าตอนนี้จริง ๆ เลยพ่อรูปงาม”
นิ้วเรียวเชยคางหนาให้เงยขึ้นสบตากัน แต่เขาก็พยายามหันหน้าหนี นางเลยเปลี่ยนเป็นออกแรงบังคับบีบคางเขาเอาไว้แทน
“ที่เจ้าไม่อยากให้ข้าอยู่ในห้องนี้กับเจ้าเพราะกลัวว่าจะทนกับเสน่ห์อันน่าลุ่มหลงของข้าไม่ไหวหรือเปล่า?”
“อย่างข้าน่ะหรือจะหลงเสน่ห์เจ้า ต่อให้เหลือเจ้าผู้เดียวบนแผ่นดินข้าก็ไม่เอาเจ้าทำภรรยาหรอก”
“พูดจาทำร้ายจิตใจข้าเกินไปแล้ว”
นางขยับตัวลงจากโต๊ะก่อนจะเดินอ้อมมายังด้านหลังของเขาแล้วสอดแทรกแขนลูบไล้ไปยังด้านหน้าคล้ายท่ากอดเขาจากทางด้านหลังจนหยวนฉินตกใจพยายามจะดันตัวนางออกแต่นางก็กระซิบเสียงหวานข้างหูเขาจนเจ้าตัวหยุดชะงักเหมือนโดนสาปให้กลายเป็นหิน
“อาฉินที่รักของข้า เจ้าอย่าใจร้ายกับข้านักเลย”
“ใครที่รักเจ้ากัน!”
เขาปัดมือนางออกพร้อมทั้งออกแรงผลักมันทำให้เย่ซูชางเสียหลักจะหงายหลังจนต้องรีบหลับตาปี๋เพราะคิดว่ายังไงหัวก็ฟาดพื้นแน่ แต่จังหวะที่ร่างกายกำลังกระแทกพื้นกลับมีวงแขนอันอบอุ่นโอบกอดตัวนางเอาไว้ สัมผัสได้ว่าร่างกายหมุนวนคล้ายโดนเหวี่ยงและจบลงที่ใบหน้ากระแทกเข้ากับบางสิ่งบางอย่างที่ทั้งแข็งและนุ่ม
“โอ๊ย!” เสียงเข้มร้องออกมามันทำให้เย่ซูชางรีบลืมตามองทันทีก็พบว่าตนเองกำลังนอนทับอยู่บนตัวของหยวนฉินและอ้อมแขนเมื่อครู่ก็เป็นแขนของเขาที่เข้ามารับตัวนางเอาไว้
“ดูสิอาฉินที่รัก ปากเจ้าบอกไม่รักข้า แต่เวลาที่ข้าเผชิญอันตรายก็เป็นเจ้าที่เข้ามาช่วยข้าไว้เสมอ เจ้าทนเห็นข้าเจ็บไม่ได้ขนาดนี้ก็ยอมรับว่ารักข้าเถิด”
นางแกล้งหยอกเย้าเขาด้วยรอยยิ้มทะเล้นเพราะชอบเวลาที่ทำให้หยวนฉินโมโหได้ ใบหน้าหงุดหงิดของเขามันช่างน่ากลั่นแกล้งยิ่งนัก พ่อพระรองที่เย็นชากับทุกคน แสนดีกับนางเอกแค่คนเดียว เห็นแล้วก็หมั่นไส้อยากทะลวงและทำลายกำแพงเย็นชานี้ลงเสียให้ย่อยยับไม่ต้องต่อติดอีกเลย
“ลุกออกไป ข้าหนักเหมือนโดนหินทับ”
เขาพยายามจะดันตัวนางออกแต่คนแบบเย่ซูชางก็ไม่ยอมโดยง่าย เปลี่ยนเป็นนั่งคร่อมทับบนหน้าท้องเขาแทน ไม่พอยังจับแขนกำยำทั้งสองข้างกดไว้ข้างหัวในท่วงท่าเหมือนจะขืนใจพ่อพระรองรูปงามจนเขาตาโตด้วยสีหน้าตื่นตกใจ เห็นแล้วก็ตลก
“ข้าตัวบางร่างน้อยขนาดนี้จะเอาอะไรมาหนัก ต่อให้เจ้าอุ้มข้ากระเตงไปกระเตงมาจะไปมุมไหนของเรือนก็ไม่ทำเจ้าหมดแรงหรอก”
“พูดจาไร้ยางอาย”
“ข้าก็ไม่ใช่คนมียางอายอยู่แล้ว”
“เจ้ามันใจโลเลยิ่งนัก สรุปเจ้าจะชอบผู้ใดกันแน่ ข้าหรือหมิงซัวหรือเจ้าจะเอาทั้งสอง ถ้าหลายใจขนาดนี้เจ้าไม่กินรวบทั้งเมืองไปเลยเล่า”
หยวนฉินกล่าวออกมาด้วยความหงุดหงิดอย่างไม่ปกปิด มันเหมือนว่าตอนนี้เย่ซูชางกำลังเล่นตลกกับความรู้สึกของเขา มาหยอกเย้ากันด้วยถ้อยคำและท่าทางล่อแหลมส่อไปเรื่องรักใคร่เช่นนี้จะไม่ให้ผู้ใดหวั่นไหวบ้าง เขาก็เป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่งไม่ใช่รูปปั้นที่จะไร้ความรู้สึก โดนนางถึงเนื้อถึงตัวไม่พอยังมาหยอดคำหวานใส่กันเช่นนี้ ถ้าเขายังไม่รู้สึกสิ่งใดก็ละทางโลกแล้วไปบวชเป็นพระเถิด
“ยังไม่ทันเป็นอะไรกันเลย เจ้าก็หึงหวงข้าแล้วหรือ?”
นางลูบมือไปตามแก้มหนาด้วยรอยยิ้มหวานเพราะแววตาของเขามันฉายชัดถึงความไม่พอใจ เขาไม่ใช่ไม่พอใจที่นางมาหยอกเย้าเขาแต่ไม่พอใจที่นางไม่ชัดเจนใจโลเลต่างหาก การที่เขากล่าวแบบนี้มันก็แปลว่ามีความรู้สึกให้นางเหมือนกันถูกไหม ถึงได้อยากให้นางเลือกให้ชัดเจน
หยวนฉินจับตัวเย่ซูชางให้พลิกลงไปนอนด้านล่างแทนจนนางเองก็ตกใจเมื่อถูกเขาคร่อมทับอยู่ด้านบนกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำเสียเอง แล้วเขายังเอาคืนด้วยการรวบแขนนางเอาไว้เหนือหัวจนดิ้นไม่หลุดอีกต่างหาก
“มันเหมือนเจ้ากำลังเห็นข้าเป็นตัวตลก เจ้าตามตื๊อจางหมิงซัวอย่างหน้าไม่อายมาตลอดแต่พอเขาไม่สนใจ เจ้าก็เปลี่ยนใจมาหาข้าแทน มันทำให้ข้าเองก็สับสนว่าเจ้าจะเอายังไงกันแน่”
เย่ซูชางก็ยังติดสนุกยกยิ้มทะเล้นหยอกเย้าเขาต่อ “งั้นเจ้าก็ลองจูบข้าดีหรือไม่ ถ้าจูบแล้วเจ้าอยากจูบข้าต่ออีก มันก็แปลว่าเจ้ามีใจให้ข้าเสียแล้ว”
แต่สิ่งที่เย่ซูชางไม่คิดมันก็เกิดขึ้นเมื่อหยวนฉินก้มลงประกบปากจูบนางจริง ๆ จนหัวใจแทบจะหยุดเต้น มือไม้อ่อนแรงไปหมดเหมือนว่าจะหายใจหายคอลำบาก มันแทบจะหยุดหายใจเลยดีกว่าเพราะนี่มันเป็นจูบแรกของนาง ก่อนจะทะลุมิติเข้ามาก็ยังไม่เคยมีแฟนสักหน่อย แต่ตอนนี้พระรองกำลังขโมยจูบแรกของนางร้ายไป ตอนแรกก็แค่จะหยอกเย้าเขาให้โมโหเล่นเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเขาจะบ้าจี้จูบนางจริง ๆ แถมยังจูบไม่ค่อยเป็นอีกต่างหากแต่ก็ยังพยายามจะจูบ ตะบี้ตะบันบดขยี้ริมฝีปากลงมาจนเจ็บแปล๊บจนอยากจะถีบให้หงายหลัง
“พวกเจ้าทำอะไรกัน!”
เสียงเข้มตวาดขึ้นจนเสียงดังลั่นบ่งบอกถึงความไม่พอใจของผู้พูดได้อย่างชัดเจน มันทำให้หนุ่มสาวทั้งสองคนที่กำลังจูบกันอยู่รีบผละตัวออกจากกันทันทีแยกย้ายกันไปอยู่คนละมุมก้มหน้าลงต่ำหลบสายตาของเย่ไป๋เพราะได้กระทำเรื่องผิดลงไปแล้ว เดิมทีชายหญิงไม่ควรอยู่ด้วยกันลำพังสองต่อสองด้วยซ้ำ การจับมือถือแขนก็นับว่าผิดจารีตประเพณีแล้ว แต่นี่กลับมานอนกอดจูบกันภายในบ้านมันจะไม่ให้คนเป็นอาโกรธได้อย่างไรที่เห็นหลานสาวของตนกระทำตัวไร้ยางอายเยี่ยงนี้