บทที่ 6
‘เข้าเฝ้าฉีฮองเฮา’
พระตำหนักคุนหนิง , พระราชวัง
สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ถูกเปิดโล่งเอาไว้จนกลิ่นหอมของมวลบุปผาล่องลอยเข้ามาจนชวนให้รู้สึกสบายใจแต่ไม่ใช่ทุกคนหรอก หนึ่งในนั้นคือเย่ซูชางที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าของฉีฮองเฮาที่กำลังจ้องมองนางด้วยรอยยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้วางใจสักนิดเดียว
“พระองค์เรียกหม่อมฉันมาพบถึงพระตำหนักมีเรื่องอะไรหรือเพคะ?” นางตัดสินใจถามออกไป พยายามใจดีสู้เสือ
“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะหมั้นหมายกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนหรือ?” ฉีฮองเฮากล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบสุขุมในแบบของนางที่มักจะแสดงต่อผู้อื่นเสมอ
“เพคะ” นางตอบออกไปตามตรงเพราะอีกไม่นานของหมั้นหมายก็จะถูกส่งมาจากนั้นก็คงจะตามมาด้วยสามหนังสือหกพิธีการ
“เดิมทีเจ้าหมายใจแม่ทัพจางไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้ถึงหันเหไปหารองเจ้ากรมพิธีการหยวนเสียแล้วเล่า?”
“หม่อมฉันกับรองเจ้ากรมพิธีการหยวนก็เป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ นับว่ารู้จักสนิทสนมกันมาก มันเป็นเพียงแค่ความห่างเหินที่ทำให้ไม่รู้ใจตนเองเท่านั้นเพคะ พอได้อยู่ด้วยกัน ได้กลับมาเรียนรู้กันอีกครั้งจึงต่างรู้ใจตนเองว่าผู้ใดกันแน่ที่หัวใจหมายปอง”
นางกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยแสดงออกเหมือนว่าเขินอายที่จะต้องกล่าวเรื่องนี้เพื่อสร้างเรื่องโกหกให้แนบเนียนให้ทุกคนคิดว่านางกับหยวนฉินรักกันและเพิ่งรู้ใจตนเองจะได้หมดข้อครหาที่ว่านางใจโลเลเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหรือไม่ได้จางหมิงซัวเลยมาเอาหยวนฉินแทน อย่างน้อยก็ปกป้องเกียรติของรองเจ้ากรมพิธีการเอาไว้ด้วยผู้ใดจะได้ไม่ต้องมานินทาว่าเขาเป็นตัวเลือกสำรองอีก
“เป็นเช่นนี้เอง ข้าพอจะเข้าใจ ความรักของหนุ่มสาวก็เป็นเช่นนี้ รู้ใจตนเองย่อมดีแล้ว ดีกว่าแต่งงานกับคนผิดต้องทุกข์ระทมตลอดชีวิต สตรีแบบเราพอแต่งงานแล้วทั้งกายและใจก็ล้วนเป็นของสามีจะหย่าจะออกจากบ้านสามีมันก็ยากยิ่งนัก ต้องจำใจอยู่เหมือนตายทั้งเป็นไปจนกว่าจะตายจริง ๆ”
เย่ซูชางก็เข้าใจความหมายที่ฉีฮองเฮากล่าว ยุคสมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยใหม่ที่สตรีจะหย่ากับสามีตอนไหนก็ได้ อยากหย่าก็หย่าถ้าตกลงกันได้ ถ้าตกลงไม่ได้ก็สามารถฟ้องหย่าได้อย่างง่ายดายไม่ต้องสนว่าใครจะนินทา
แต่ยุคโบราณสตรียังไม่มีปากมีเสียงเป็นรองบุรุษเสมอ ไม่มีสิทธิ์ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านแบบบุรุษ ไม่มีสิทธิ์รับราชการเป็นขุนนาง ยามยังไม่แต่งงานก็ต้องอยู่แต่ในจวนคอยฝึกปรืองานบ้านงานเรือนเพื่อไว้ใช้ปรนนิบัติสามี พอแต่งงานออกไปแล้วก็ไม่นับว่าเป็นคนของสกุลอีก ต้องกลายไปเป็นคนของบ้านสามีทั้งกายและใจแม้นว่าสามีจะตายไปแล้วก็ยังต้องอยู่บ้านสามีจวบจนบั้นปลายชีวิตเพราะเป็นคนของเขาไปแล้ว
“เลิกคุยเรื่องนี้เถิด ข้าเองก็มีเรื่องสำคัญจะคุยกับเจ้า”
“เพคะ” นางพยักหน้ารับ
“ข้าอยากให้เจ้าเสนอตัวไปช่วยงานที่อำเภอเป่ยตู”
นางที่ได้ฟังก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะชื่ออำเภอมันคุ้น ๆ เมื่อลองนึกดี ๆ ก็นึกออกว่าตามนิยายที่อ่านมาอำเภอเป่ยตูมีโรคระบาดจนผู้คนล้มตายไปมาก เมืองหลวงเลยต้องส่งคนไปช่วยเหลือเพื่อหยุดยั้งไม่ให้โรคระบาดลามไปเมืองอื่น แต่ถ้าตามนิยายหน้าที่นี้มันต้องเป็นของพระเอกนางเอกไม่ใช่เหรอ ไปช่วยเหลือผู้คน ร่วมมือร่วมใจ ให้ความยากลำบากเป็นเครื่องพิสูจน์รักแท้ เนื้อเรื่องที่ถูกเขียนมาเพื่อส่งเสริมความรักของคนทั้งคู่มากขึ้น
“หน้าที่นี้มันเป็นของแม่ทัพจางไม่ใช่หรือเพคะ?”
“มันก็ถูก ฮ่องเต้ทรงวางตัวแม่ทัพจางไว้จริง ๆ เพราะกลัวว่าจะเกิดการจลาจลของผู้คนที่ต้องการเอาชีวิตรอดขึ้นเลยส่งแม่ทัพจางและทหารจำนวนหนึ่งไปควบคุมเหตุการณ์ แต่เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าแม่ทัพจางถูกฝ่าบาทสั่งโบยจนตอนนี้นอนซมบาดเจ็บลุกมากินข้าวปลาเองยังทำไม่ได้เลย”
“ขออภัย หม่อมฉันลืมคิดเรื่องนี้ไปเพคะ” นางโค้งหัวลงเล็กน้อย
“สาเหตุที่แม่ทัพจางโดนโบยเหตุมันก็มาจากเจ้า ฝ่าบาททรงไม่พอใจที่แม่ทัพจางมาหมิ่นเกียรติของเจ้าเลยลงโทษไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ถึงกระนั้นฝ่าบาทก็ยังทรงขุ่นเคืองใจเรื่องที่เจ้าไปก่อเรื่องราวไว้มากมายถึงไม่ยอมเรียกเจ้าเข้าเฝ้าเลย ปกติจะชอบให้เจ้าไปอ่านบทกวีหรือเล่นดนตรีให้ฟังอยู่เสมอ ข้าเองก็เป็นห่วงเจ้าเลยอยากให้เจ้าเสนอตัวไปช่วยเหลืออำเภอเป่ยตูจะได้มีความดีความชอบให้ฝ่าบาทกลับมาพอพระทัย ฝ่าบาทจะได้เห็นว่าเจ้ายังมีเมตตาห่วงใยผู้อื่นอยู่”
‘หวังดีประสงค์ร้าย จะส่งข้าไปติดโรคระบาดตายมากกว่ามั้ง ผู้ใดก็รู้ว่าโรคระบาดที่เป่ยตูหนักหนาอย่างกับโควิด-19 ส่งผู้ใดไปก็ตายซะส่วนมาก ส่วนน้อยที่จะรอดกลับมา เพราะการแพทย์สมัยนี้มันยังไม่เจริญรับมือกับโรคระบาดไม่ได้หรอก แล้วนางไปจะรอดกลับมาหรือไง’