Mag-log inม่านหินเปิดทางเดินมืดสู่ห้องชวนฝันในรังลัทธิมารทอดยาวออกไปเสียงลูกโซ่ลากเบา ๆ พร้อมร่างอ่อนของหญิงสาว และรอยยิ้มเหี้ยมที่กำลังเขียนนิยายของตัวเองทีละฉาก…
ลึกเข้าไปในแนวเขาเหยียนชานซึ่งถูกเรียกว่า “สันหลังมาร” โดยคนพื้นเมืองมีเส้นทางที่แม้สัตว์ป่าไม่กล้าเดินผ่าน
และกลางผนังหินกึ่งธรรมชาติกึ่งสร้างขึ้นด้วยวิชาเร้นลับ คือถ้ำหนึ่ง ไม่มีทางเข้าออก ไม่มีหน้าต่างมีเพียงแสงเรืองเย็น ๆ จากคริสตัลฝังผนังด้านในถ้ำนั้น… คือคุกแต่คุกที่ไม่ได้สร้างไว้เพื่อทรมานมัน คือแดนต้องห้ามที่สวรรค์ขีดชื่อเอาไว้ ว่า “ผู้มีสิทธิ์เปลี่ยนสมดุล” ห้องกลางในถ้ำล้อมด้วยผนังหินสลักยันต์กลางห้องมีแผ่นศิลากลมไว้สำหรับนั่งสมาธิ มุมหนึ่งมีแอ่งน้ำใสราวกระจกไหลลงจากผนังหินอีกมุมคือโต๊ะเตี้ย ที่มีข้าวต้ม สมุนไพรชา และขนมอบวางใหม่ทุกวันไม่มีคนไม่มียามแต่มี “บางอย่าง” คอยสังเกตเขาเสมอและเขา คือผู้ถูกขังที่ไม่เคยร้องโวยแม้สักครึ่งคำ
“โม่อวี้” นักพรตจากสำนักเขาหยกขาว ผู้ครองสมาธิ ราวกับสายน้ำ
เปลวเทียนล้อมร่างนางทั้งสี่ทิศ กลิ่นกำยานดำล่องลอย คล้ายกระชากสติให้หลุดจากโลกความจริงฝ่ามือของโม่อวี้วางบนหน้าผากนางแต่เขาไม่ใช่คนที่จะเริ่มพิธีนี้ตรงกลางเรือน กลางเสื่อปูรองศักดิ์สิทธิ์ที่โรยด้วยกลีบบัวสีชาด เขากำลังถอดเสื้อคลุมเผยให้เห็นแผ่นอกกว้าง รอยแผลเก่าเป็นทางยาวไม่ใช่จากศึก แต่จากอดีตที่เขาตัดออกจากตัวเองไม่ได้ไป๋หลินนอนนิ่ง เรือนผมหล่นกระจายบนหมอนดอกไม้แห้งใบหน้าซีด แต่ผิวเริ่มอุ่นขึ้นเพราะปราณที่หล่อเลี้ยงจากมือของ บุรุษผู้หนึ่ง “ฮั่นซู” เขานั่งข้างนาง นิ่ง ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกนอกจากชีพจรของนางแล้วค่อย ๆ หยิบมีดเล่มเล็ก ปลายคมสะท้อนแสงเทียน เขากรีดปลายนิ้วของตนเองอย่างเรียบ เงียบ ไม่หวั่นไหว หยดเลือดแรก แดง สด ไหลออกช้า ๆ เขยิบเข้ามา ประคองใบหน้านางด้วยมือเดียวจรดนิ้วนั้นที่ริมฝีปากนางเบา ๆ เสียงเขาต่ำ… เกือบกลืนกับลมหายใจของพิธี“เจ้าหลับอยู่…แต่ข้ารู้ว่าเจ้าจะได้ยิน…” “…นี่คือเลือดของข้า คืนแรก…ของเจ็ดคืนแห่งพันธะ” เขาแตะนิ้วนั้นที่ริมฝ
ค่ำคืนหลังการเฉลิมฉลอง ทั่วทั้งวังหลวงถูกห่มด้วยแสงตะเกียงและเสียงหัวเราะเหล่าขุนนางชูจอกสุรา เสียงดนตรีดังก้อง แคว้นเว้ยเพิ่งเปลี่ยนบัลลังก์ แต่ผู้คนเชื่อว่าชัยชนะนั้นมั่นคงไม่มีใครรู้เลยว่า เธอ หญิงที่เปลี่ยนชะตานิยายทั้งเรื่องกำลังจะตายกลางสวนหลังตำหนัก ใต้เงาจันทร์จาง ร่างของไป๋หลินเอนพิงต้นหลิว มือข้างหนึ่งกำแน่นกับอก ริมฝีปากขาวซีด ลมหายใจสั้นเหมือนเทียนที่ใกล้ดับพิษภายในกายกำลังกัดกินเส้นลมปราณ คำสาปที่ไม่เคยหาย กลับมาครั้งสุดท้าย เพื่อทำหน้าที่ของมัน“พิษ ยังไม่จบ” เธอกระซิบแทบไร้เสียง “พวกเขา ไม่ควรเห็นฉันตาย” และก่อนที่สติจะหลุดร่างหนึ่งในชุดนักพรตสีเงาหมอกก็ปรากฏตรงหน้าเธอเงียบ เร็ว เหมือนรู้มาก่อนโม่อวี้ ผู้ที่ไม่อยู่ในงานเลี้ยง ผู้ที่ไม่เคยต้องถามใคร ผู้ที่รู้ด้วย “ญาณ” ว่าหญิงที่เขาเฝ้ามองในทุกภพชาติ กำลังจะตายตรงนี้เขาคุกเข่าลงข้างเธอ วางฝ่ามือกลางหลังนาง กระแสจิตแทรกเข้าสำรวจ และเมื่อเจอเส้นพิษ ดวงตาเขาปิดลงช้า ๆ “เหลือเวลาสามราตรี”ไม่มีเสียงหวีดร้อง ไม่
คนผู้นั้นไม่กล้าเดินผ่าน เขาเห็นร่างของนางในท่ากึ่งเปลือย สะโพกขาวโค้งรอรับลิ้น เห็นใบหน้าของหยางเซวียน แนบแน่นกับหว่างขา จับต้นขาเธอไว้แน่นจนร่องรักปลิ้นขึ้นทุกที ที่เขาดุนลิ้นเข้าไป“เสร็จให้ข้าอีกครั้ง... ครั้งนี้ต่อหน้าข้า” เขากระซิบ ทั้งที่ลิ้นยังวนไม่หยุด เสียงครางแผ่วของเธอหลุดจากปาก กลั้นไม่ได้ มือจิกหิน เล็บเกร็งแน่น สะโพกเธอกระตุกพรืดแล้วกระตุกอีกซู่… เสียงน้ำตกกลบแทบไม่ทันเสียงครางในลำคอเธอแตกตรงนั้น แตกบนปลายลิ้นของเขา น้ำเธอไหลซึมเข้าปากเขาเต็ม ๆ พร้อมเสียงหอบพร่าอีกฟากของม่านน้ำตก เงาร่างที่หลบมองถึงกับเบือนหน้าไปหัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด…แต่ขาเขายังไม่กล้าขยับ เพราะภาพนั้น… ยังฝังอยู่ในหัวเธอกำลังเสร็จ ไม่ใช่คนธรรมดาที่พาเธอถึง แต่คือ หยางเซวียน ผู้ที่เลียกลีบของเธอด้วยความรัก... และสายตาที่เธอไม่ยอมให้ใครนอกจากเขาม่านน้ำตกยังซัดกระแทกผนังหินไม่หยุด แต่เสียงมันเบากว่าเสียงหอบถี่ของเธอในตอนนี้ ร่างเธอเปลือยครึ่งท่อน ขาทั้งสองถูกจับแยกออก มือยังสั่นระริกแม้จะไร้เชือก
ข้างม่านไหมบางสีงาช้าง หญิงสาวในชุดผ้าไหมสีอ่อนยืนอยู่เงียบงันอาภรณ์ของนางพลิ้วไหวเมื่อสายลมพัดผ่าน เป็นชุดกระโปรงยาวลากพื้น สีชมพูอ่อนเจือกลีบบัว ปักลายบุปผางามด้วยดิ้นทองละเอียดประณีตดอกโบตั๋นบานสะพรั่งกระจายไปตามสาบเสื้อและชายกระโปรง ดุจสวนดอกไม้ที่เบ่งบานใต้แสงจันทร์แขนเสื้อกว้างแบบหรูหรา ปักลายเถาไม้เลื้อยทอดตัวอ่อนช้อยจนสุดชายผ้าเอวคอดถูกรัดด้วยสายรัดผ้าไหมปักดิ้นเงิน แทรกด้วยลูกปัดหยกเล็กละเอียด เส้นผมถูกรวบครึ่งศีรษะด้วยปิ่นหยกขาวรูปกลีบดอกไม้ ทิ้งปลายผมดำขลับยาวสลวยลงมาแม้จะไม่ประดับมากนัก ทว่าทุกอย่างบนเรือนร่างล้วนบรรจงประดับด้วยความละเมียดละไม งามอย่างมีสง่า... ราวภาพในฝันนางกำลังยืนเงียบอยู่ในกลุ่มข้าหลวงนางใน ไร้ตำแหน่ง ไร้ฐานะ แต่ในสายพระเนตรขององค์จักรพรรดิกลับมองนาง… ราวกับอัญมณีเพียงหนึ่งเดียวที่ทั้งโลกมิอาจหาใดเทียบเคียงนางยืนอยู่ที่นี่ ข้างบัลลังก์อันสูงส่ง ทว่าไม่ใช่ในฐานะจักรพรรดินี นางเพียงมายืน ณ ที่แห่งนี้…เพราะคำขอสุดท้ายจากเขาคำขอที่เปลี่ยนฉากสุดท้ายของเรื่องราว ให้ไม่ใช่เพียงการจากลาแต่เป็นบทส่งท้าย...ของหัวใจสอ
เสียงใบไผ่เสียดสีกันในสายลมเย็นยาวราวเสียงกระซิบจากอดีต... หยาดน้ำค้างเกาะบนผิวโลกเหมือนน้ำตาที่ไม่มีใครยอมปล่อยให้ไหลอวี้หลัน หรือ ไป๋หลิน นางเหม่อมองแสงจันทร์ที่สาดผ่านช่องไม้ผุพาดลงมาบนฝ่ามือตนเอง สีผิวซีดขาวเหมือนไข่มุกเย็น แขนเรียวไร้แรงเหมือนสิ่งมีชีวิตที่ถูกพรากเลือดมาครึ่งร่างแล้วนางเงียบอยู่นาน ก่อนจะกระซิบกับตัวเอง“ใช่... ข้าลืมไปได้ยังไง…”อีกไม่กี่วัน…ก็จะครบวันที่ข้าจะได้พักแล้วซินะ…พิษในร่างจะไม่ใช่แค่ระอุเงียบ ๆ ใต้ผิวหนังอีกต่อไป มันจะลุกขึ้น กลืนกินเส้นเลือด กล้ามเนื้อ ทุกความทรงจำ และท้ายที่สุด—ชีวิตแต่นางกลับนั่งอยู่นี่… รอดูพระจันทร์แทนที่จะเร่งหลบหนี เพราะสิ่งหนึ่งเดียวที่นางไม่มีวันหนีพ้นคือคำขอสุดท้ายของเขา“เจ้าจะอยู่กับข้า...ในวันขึ้นครองบัลลังก์ ใช่หรือไม่?”คำขอของอวี้เหวินเจี๋ย สั่นไหวในหัวใจนางยิ่งกว่าเสียงกลองสงคราม ไม่ใช่เพราะความหวาน หรือเพราะสายตาที่เขามองมาเหมือนนางคือทั้งโลกของเขา แต่เพราะนางรู้… ว่านี่คือคำขอครั
เขาอุ้มนางขึ้นแนบอก ก้าวออกจากเรือไม้ไปสู่ท่าน้ำที่อยู่ไม่ไกล ลำเรือไม้ลายพยัคเทียบท่าอย่างเงียบงัน คบเพลิงสว่างเพียงพอให้มองเห็น…โม่อวี้ ผู้ได้รู้..นางถูกลักพาตัวออกจากจวน มาด้วยความรีบร้อน แต่เมื่อเขามองเห็นอวี้เหวินเจี๋ยก้าวลงมาจากรถม้าพร้อมหญิงสาวในอ้อมแขน สิ่งหนึ่งบีบรัดในอกแน่นอวี้หลันในอ้อมแขนเขา…ดูราวกับสตรีที่เพิ่งถูกรักจนสลบ“เจ้าทำสิ่งใดกับนาง?” เสียงโม่อวี้เรียบ แต่อากาศรอบตัวกลับตึงเครียดเหมือนจะฟาดฟันอวี้เหวินเจี๋ยมองเขานิ่ง… ก่อนก้มลงกระซิบข้างหูนางที่ยังหลับสนิท “ข้าจะรอ…จนกว่าเจ้าจะตื่น แล้วตัดสินข้าด้วยปากของเจ้าเอง”แล้วจึงส่งตัวนางให้โม่เหยี่ยนโดยไม่กล่าวคำใดต่อ ราวกับยอมยกดาบทิ่มอกให้ชายตรงหน้า—ด้วยยิ้มอ่อนที่อาบเลือดไว้ภายในโม่เหยี่ยนรับร่างนางไว้แนบอก ความเปียกชื้นใต้ชายผ้าทำให้เขาชะงักเพียงชั่วลมหายใจ แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา พลางสั่งให้สาวใช้ใกล้ชิดช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าและดูแลเรื่องราวระหว่างเขากับนาง...ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ไม่มีแม้แต่เงาข







