บาดแผลจากรอยแทงของเฝิงอวี่เซี่ยนนับว่าสาหัสอยู่มาก ตอนที่เชิญท่านหมอมารักษายังเอ่ยปากว่า บุรุษผู้นี้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่ปรโลกแล้ว หากจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิต
ยามนี้นั้น ผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบเริ่มซึมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานคาดว่าบาดแผลคงปริแตกแล้ว “เฝิงอวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานร้องด้วยความตกใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุด นางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บหนักกว่าเดิมแต่ผู้ใดใช้ให้เขาบีบคอนางจนแทบหมดหนทางหายใจเล่า! เฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือกุมบาดแผลพลันกระอักเลือดออกมาอีกครา ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า” หลี่จื่อหนิงยื่นมือออกไปหมายจะตรวจดูบาดแผล ทว่าจู่ๆ มือหนากลับปัดออกอย่างไม่ไยดี “ข้าขอดูหน่อย” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจ เฝิงอวี่เซี่ยนเหลือบมองสตรีตรงหน้า สายตาคมกริบฉายด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหนาโค้งยกยิ้ม “ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดอีก” พอได้ยินประโยคนี้ นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายทันที หลี่จื่อหนิงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวเสียงความหนักแน่น “ชีวิตของท่านเป็นของข้าแล้วเช่นนั้นไม่มีอันใดต้องทวงคืนและหากท่านเป็นอะไรไปนั่นย่อมเป็นความรับผิดชอบของข้า” สตรีเจ้าเล่ห์! เฝิงอวี่เซี่ยนสบถด่านางอยู่ในใจทันที เขากัดฟันกรอดกล้ำกลืนความโกรธลงท้องไปพยายามตั้งสติ ในสายตาของเขา สตรีเป็นสิ่งน่ารำคาญทว่าเจียงชุนหลินกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวสำหรับเฝิงอวี่เซี่ยน ตลอดชีวิตเขาเลือกที่จะไม่ข้องแวะกับให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวใจแต่หากสตรีผู้นี้ยังคงยั่วโทสะเขาไม่เลิก…ความอดทนของเขาก็มีขีดจำกัดเช่นกัน! “ตกลง…จะให้ข้าช่วยหรือจะปล่อยให้เลือดไหลหมดตัว” น้ำเสียงหวานดังขึ้นอีกครั้ง หลี่จื่อหนิงลุกขึ้นยืน กอดอกปรายสายตามองราวกับว่าถือไพ่ในมือเหนือกว่าทั้งนางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ชีวิตข้าเป็นของเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ…นึกไม่ถึงว่าคำพูดนั้นจะเป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น” เฝิงอวี่เซี่ยนย้อนกลับ อย่างไรเสีย หากไม่ตายครานี้เขาก็ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเอาคืนอีกฝ่ายอย่างสาสม หลี่จื่อหนิงได้ยินแล้วถอดหายใจออกมา ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ “เช่นนั้นท่านก็ยืนยันแล้วว่าชีวิตของท่านหาใช่ของท่านอีกต่อไปเฝิงอวี่เซี่ยน…แต่เป็นของข้า” หลี่จางเหว่ยกลับถึงจวนอีกครั้งก็ยามพลบค่ำแล้ว ทันทีที่ก้าวข้ามพ้นหน้าประตูจวนก็พลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นับว่าเป็นเรื่องดีไม่น้อยที่วันนี้ไม่มีสาวใช้วิ่งแจ้นเข้ามารายงานเรื่องวุ่นวายเฉกเช่นทุกวัน ทว่าความรู้สึกผ่อนคลายนั้นอยู่ได้ไม่นาน จื่อจางเหว่ยกลับต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เกรงว่านางคงไม่ได้เอาแต่นั่งเฝ้าบุรุษผู้นั้นทั้งวันกระมัง พอนึกถึงเรื่องนี้ จื่อจางเหว่ยก็พลันหมุนตัวเดินไปอีกทางโดยทันที ฝีเท้าของเขาหนักแน่นทุกย่างก้าว แผ่นหลังเหยียดตรง แววตาฉายความเยือกเย็นออกมาอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางของจื่อจางเหว่ยในยามนี้บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาไม่พอใจอยู่มาก นางช่างสรรคหาเรื่องให้เขาไม่พ้นในแต่ละวันจริงๆ! หลี่จางเหว่ยเดินดุ่มๆ ไปข้างหน้าโดยไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบตัว สายตาของเขาจับจ้องไปยังเรือนหลักเพียงอย่างเดียวทว่าในระหว่างทางผ่านห้องโถงนั้นก็พลันได้ยินน้ำเสียงหวานคุ้นหูของสตรีผู้หนึ่งพลันดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนต้องหยุดชะงักฝีเท้า ปรายสายตาหันไปมองดู “พี่ชาย!” “…” “ท่านพี่!” “…” “พี่ชายข้าทางนี้!” เหอะ! เหตุใดถึงไม่มีความเป็นกุลสตรี เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้เลยแม้แต่น้อย! หลี่จื่อหนิงมองเห็นเงาดำของใครบางคนเดินผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจแต่พอมองให้ชัดก็พบว่าเป็นพี่ชายของนางเอง เกรงว่าเขาคงมองไม่เห็นกระมังถึงได้เดินเลยผ่านไปเฉยๆ น้ำเสียงหวานเจื้อยแจ้วของนางตะโกนร้องดังลั่นพร้อมกับโบกไม้โบกมือให้แก่อีกฝ่าย ใบหน้าของนางระบายรอยยิ้มอารมณ์ดี จื่อจางเหว่ยพลางขมวดคิ้วมุ่น หรี่สายตาเพ่งมองนางก่อนจะเบนไปยังบุรุษอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจถึงเจ็ดส่วน “เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หลี่จื่อหนิง!” คนผู้นั้นยังไม่ตายอีกงั้นหรือ!? หึ! เกรงว่าแม้แต่ปรโลกก็ยังไม่อยากได้ชีวิตคนผู้นี้กระมัง “เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หลี่จื่อหนิง!” “ข้ากำลังกินมื้อค่ำกับเฝิงอวี่เซี่ยน…หากท่านไม่รังเกียจ อยากจะร่วมวงด้วยกันหรือไม่” นางพลันตะโกนโต้ตอบกลับมา พอได้ยินประโยคนี้ จื่อจางเหว่ยถึงกับถอนหายใจออกมาอีกครั้ง สายตาของเขาปรายมองเหล่าบ่าวรับใช้ในจวนทว่าพวกนั้นกลับหลบสายตาไม่มีใครกล้าสบตาเขาแม้แต่ผู้เดียว สตรีผู้นี้โง่เขลาได้ถึงเพียงนี้เลยหรือไร!? นางคิดว่าตัวเองเป็นสตรีออกเรือนกลายเป็นภรรยาของบุรุษผู้นั้นไปแล้วหรืออย่างไรกัน “ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าอย่างทำตัววุ่นวาย” !!! นางทำอันใดวุ่นวายกัน…หลี่จื่อหนิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่นฉายแววความไม่เข้าใจออกมาอย่างชัดเจน “ท่านคิดมากเกินไปแล้วกระมังพี่ชาย” “…” หลี่จางเหว่ยไม่เอ่ยคำพูดใดออกมา เขาเดินพุ่งตรงไปยังห้องโถงทันทีก่อนที่เพียงชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้านาง สายตาปรายมองเฝิงอวี่เซี่ยนเพียงแวบหนึ่งจากนั้นจึงหันกลับมา หลี่จื่อหนิงแทน น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง “ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าบุรุษผู้นี้ไม่สมควรจะข้องเกี่ยว” “เขาสมควรต้องกินข้าว…” รักษาชีวิตของพ่อตัวร้ายเอาไว้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด กว่าหลี่จื่อหนิงจะตามท่านหมอมาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เฝิงอวี่เซี่ยนเสร็จสิ้นก็ใช้เวลานานพอสมควรแล้วยังต้องพาเขาออกมากินข้าวอีก นี่ไม่ต่างจากการหาภาระใส่ตัวเองเลยไม่แต่น้อย! หลี่จื่อหนิงกระพริบตาปริบๆ เอ่ยออกมาเสียงเรียบ “ข้าไม่อาจปล่อยให้คนของข้าต้องอดตายได้” คนของนาง? หมายความว่าอย่างไรกัน! ถ้อยคำนั้นทำให้หลี่จางเหว่ยต้องหยุดชะงัก สายตาคมกริบเบิกกว้างราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เกรงว่าคงเป็นเขาที่หูฝาดได้ยินผิดเพี้ยนไปเองกระมัง “คนของเจ้าหรือ?” หลี่จางเหว่ยเลิกคิ้วเอ่ยถามราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ยามนี้ใบหน้าของเขาขมวดคิ้วมุ่นย่ำแย่ไม่น้อย เฝิงอวี่เซี่ยนนั่งอยู่ที่โต๊ะยังคงใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ใดๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเหลือบตามองหลี่จางเหว่ยแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ “ชีวิตของข้าเป็นของนางแล้ว...ไม่ว่านางเอ่ยอันใดข้าย่อมไม่อาจขัดขืนได้” หมายความว่านางบังคับเขางั้นหรือ? พอได้ยินประโยคนี้นางหันขวับมองตาขวางทันที เหตุใดกลับกลายเป็นว่านางใจร้ายไปได้ทั้งที้หวังดีเพียงนี้! “หลี่จื่อหนิง!” หลี่จางเหว่ยปรายตามองน้องสาวตาขวาง แท้จริงแล้วสตรีผู้นี้คิดจะทำอันใดกันแน่ นางพยักหน้าหงึกๆ ด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “หากจะกินก็นั่งลงเถอะ…ปานนี้เย็นจืดชืดไม่น่ากินแล้ว” มีเหตุผลอันใดกันพี่ชายผู้นี้ของนางถึงได้หวาดระแวงไม่อยากข้องเกี่ยวกับเฝิงอวี่เซี่ยนมากเพียงนี้ ทั้งที่ชะตากรรมชีวิตของเขาน่าสงสารเวทนานัก “ข้าไม่เห็นด้วย!” ใบหน้าของหลี่จางเหว่ยเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด นางพลันปรายสายตาหันไปสบเข้ากับหลี่จางเหว่ยก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง “ข้าตัดสินใจไปแล้วไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้”เรื่องบางเรื่องในใต้หล้านี้ หากพลาดไปแล้วก็พลาดไปเลย ไม่สามารถหวนคืนย้อนกลับไปแก้ไขได้…ความรู้สึกของนางเองก็เช่นกันแม้วันนั้นเฉิงอี้หยางจะเอ่ยปากขอโทษจากใจจริงแล้วทว่าอย่างไรกัน มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?เจียงชุนหลินให้อภัยได้แต่ไม่สามารถลืมลงได้ ความรู้สึกที่ฝังลึกในใจมันยากที่จะขจัดออกไป “ทำอันใดอยู่หรือ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะสวมกอดภรรยาจากทางหลัง ใบหน้าของเฉิงอี้หยางฉายแววหมองคล้ำออกมาอย่างชัดเจน ภายในใจเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้ถึงแม้เจียงชุนหลินจะพูดคุยกับเขาเช่นเดิมแล้วอย่างไรกันแต่เฉิงอี้หยางกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเจียงชุนหลินตกใจสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนปรายสายตาเหลียวไปมองก่อนน้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา “ท่านทำอันใดหรือ”“ข้ากอดภรรยาไม่ได้งั้นหรือ”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้กันนางวางผ้าที่กำลังปักลงจากนั้นจึงค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย นัยน์ตาของนางสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขาอย่างเย็นชา “คราวหน้าหากทำให้ข้าตกใจแบบนี้อีก…เกรงว่าข้าคงต้องโดนเข็มทิ่มตำจนเลือดออกแน่”เฉิงอี้หยางได้ยินแล้วรู้สึกแปลกใจ
“อืม…ชาดี”หลี่จื่อหนิงยกจอกน้ำชาขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม ไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาคมกริบคู่หนึ่งจับจ้องมองอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจอกน้ำชาลงอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงหยิบขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงกวนขึ้นมากัดหนึ่งรสชาติหวานมันละลายในปาก จนใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้างออกมาจนถึงดวงตาเฝิงอวี่เซี่ยนมองดูภาพตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำ ราวกับว่ากำลังสังเกตอีกฝ่าย“มีอีกหรือไม่…?” หลี่จื่อหนิงเอ่ยถาม น้ำเสียงไม่ชัดเจน ในขณะที่ยังเคี้ยวขนมเต็มปากอย่างไร้มารยาท แก้มทั้งสองตุ้ยอัดแน่นเต็มไปด้วยขนมขนมรสเลิศถึงเพียงนี้... นางอยากห่อกลับบ้านเสียจริง!เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”แม้ว่าเฝิงอวี่เซี่ยนพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนางของสตรีตรงหน้านี้อยู่บ้างทว่ากลับไม่เคยพูดคุยเลยแม้แต่สักครึ่งคำ น่าแปลกนักเหตุใดนางถึงรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนไฉนถึงได้มายุ่งข้องเกี่ยววุ่นวายกับเขา…!?ใบหน้าหล่อเหล่าของเฝิงอวี่เหว่ยขมวดคิ้วมุ่นเต็มไปด้วยความสงสัย…สตรีผู้นี้ไว้วางใจได้และไร้เดียงสาอย่างที่ตาเห็นจริงๆ งั้นหรือพอได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ นางพลางเคี้ยวขนมก่อนกลืนจะลงคอแล
หานมู่เฉินพลันมองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินพ้นขอบประตูเข้ามา ใบหน้าคมของเขาขมวดคิ้วแน่นท่าทางครุ่นคิด สายตาทอดมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เหตุใดเขาถึงมองเห็นเป็นบุรุษผู้นั้นกันหรือคงตาฝาดไปเองทว่าในจังหวะนั้น…หานมู่เฉินกลับลุกพรวดขึ้นทันที เขาเร่งฝีเท้าก้าวเดินด้วยความเร่งรีบพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงอวี่เซี่ยนด้วยท่าทีร้อนรน“ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น แฝงความรู้สึกปะปนระหว่างตื่นเต้นกับโล่งอกเอาไว้หานมู่เฉินไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่บนลงล่างคล้ายกับสำรวจอีกฝ่ายให้แน่ใจ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เพิ่มเติมจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาแม้ว่าเหตุการณ์ที่เฝิงอวี่เซี่ยนถูกเฉิงอี้หยางใช้คมดาบแทงลึกจนแทบเอาชีวิตไม่รอดในคืนวันแต่งงาน แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นล่วงรู้และหลังจากนั้นจู่ๆ บุรุษผู้นี้ก็พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหานมู่เฉินก็ทำใจไว้แล้วว่า รออีกวันสองวันคงต้องขุดหลุมฝังโลงเปล่าไว้รอรับร่างของเฝิงอวี่เซี่ยน ว่ากันตรงแล้วมีผู้ใดบ้างไม่ต้องการหมายจะเอาชีวิตคนผู้นี้ยิ่งเขามีสภาพอ่อนแอไร้หนทางสู้ก็เสมือนกับว่าโอกาสรอดยิ่งริบหรี่แม้แต่บุรุษผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มั
ณ จวนสกุลเฉิงภายหลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางกลับยิ่งห่างเหินกว่าตอนจะก่อนแต่งงานเสียอีกเจียงชุนหลินที่เอาแต่ปักผ้าตลอดทั้งวันไม่สนใจสิ่งใด ในขณะที่เฉิงอี้หยางที่เอาแต่นอนออกจากเรือนตั้งแต่ยามรุ่งสาง คล้ายกับกำลังจงใจหลบหน้านาง กว่าจะกลับจวนอีกครั้งก็พลบค่ำ นางก็เข้าเรือนนอนไปแล้วความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นเช่นนี้มาหลายวัน จนกระทั่งบ่าวรับใช้ในเรือนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนจะขยับตัวทำสิ่งใดก็รู้สึกหวาดระแวงไปเสียหมด“ข้าขอโทษ…เป็นเพราะวันนั้นข้าใช้อารมณ์มากเกินไปจึงพูดจาเช่นนั้นออกมา” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเขาไม่ชอบที่ต้องเห็นนางเป็นเช่นนี้วันนี้เฉิงอี้หยางจงใจรั้งอยู่ที่จวน เขาตื่นสายกว่าทุกวันเล็กน้อยเพื่อจะพูดคุยกับภรรยาทว่าเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมาเอาแต่ล้างหน้า บ้วนปาก และเปลี่ยนอาภรณ์ไม่ปริปากพูดอันใดออกมา จนกระทั่งมื้อเช้าเสร็จสิ้น เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนสายตาคมกริบเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆพอได้ยินถ้อยคำนี้ เจียงชุนหลินกำลังจะตักโจ๊กเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางวางช้อนลงบ
หลายวันผ่านไป…ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ใดหรือแม้แต่ทำสิ่งใดก็มักจะรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ตลอดเวลา คราแรกเขานั้นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นความเฉยชาหากสตรีผู้นี้คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้นางทำไปเถอะ เขาหาได้ใส่ใจไม่เฝิงอวี่เซี่ยนนอนเอนกาย หลับตาลงผ่อนคลาย ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นมา...นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้?เกรงว่าคงเกือบสิบปีได้แล้วกระมัง นับตั้งแต่จวนสกุลเฝิงประสบเคราะห์อันน่าหวาดกลัวนับตั้งแต่นั้นมาเฝิงอวี่เซี่ยนใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไร้พ่อแม่ให้พึ่งพิง ไร้ญาติสนิทมิตรสหายที่จริงใจ ผู้คนรอบกายล้วนถือมีดซ่อนไว้เบื้องหลังหากเขาพลาดเมื่อไหร่ก็พร้อมจะลงมือ สายตานับสิบคู่จับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าวและแม้ว่าจะได้กินอิ่มแต่ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจจนกระทั่งสองสามปีมานี้…ราวกับสวรรค์ลิขิตให้เขาได้พบเจียงชุนหลิน นางคือคนผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเขาโดยมิได้คาดหวังสิ่งมดทั้งสิ้น ทว่าหากสวรรค์ลิขิตให้พานพบแล้ว…ไฉนจึงมิได้ลิขิตเส้นด้ายแดงเส้นวาสนาให้แก่กันด้วยเล่าเหอะ! ท่าทางเคลิบเคลิ้มเช่นนี้ เกรงว่าบุรุษผู้นี้คง
บาดแผลจากรอยแทงของเฝิงอวี่เซี่ยนนับว่าสาหัสอยู่มาก ตอนที่เชิญท่านหมอมารักษายังเอ่ยปากว่า บุรุษผู้นี้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่ปรโลกแล้ว หากจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตยามนี้นั้น ผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบเริ่มซึมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานคาดว่าบาดแผลคงปริแตกแล้ว“เฝิงอวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานร้องด้วยความตกใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดนางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บหนักกว่าเดิมแต่ผู้ใดใช้ให้เขาบีบคอนางจนแทบหมดหนทางหายใจเล่า!เฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือกุมบาดแผลพลันกระอักเลือดออกมาอีกครา ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า”หลี่จื่อหนิงยื่นมือออกไปหมายจะตรวจดูบาดแผล ทว่าจู่ๆ มือหนากลับปัดออกอย่างไม่ไยดี“ข้าขอดูหน่อย” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจเฝิงอวี่เซี่ยนเหลือบมองสตรีตรงหน้า สายตาคมกริบฉายด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหนาโค้งยกยิ้ม “ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดอีก”พอได้ยินประโยคนี้ นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายทันที หลี่จื่อหนิงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวเสียงความหนักแน่น “ชีวิตของท่าน