ยามนี้ใกล้พลบค่ำแล้วแต่บุรุษผู้นั้นยังคงนอนแน่นิ่งไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา นางที่เอาแต่นั่งเฝ้าอยู่ตลอดทั้งจึงรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย
สุดท้ายแล้ว หลี่จื่อหนิงจึงตัดสินใจออกมาเรือนไปสำรวจบริเวณรอบๆ จวนแทน พอเหล่าสาวใช้เห็นหลี่จื่อหนิงออกมาจากเรือนต่างพากันจับกลุ่มซุบซิบนินทาทันที นับตั้งแต่ที่นายท่านและฮูหยินจากไปนั้น คุณหนูก็ถูกคุณชายตามใจจนเสียคน ไม่เคยถูกว่ากล่าวหรือลงโทษแม้เพียงสักครั้งทั้งที่มักจะวุ่นวายไว้ให้คุณชายต้องตามเก็บกวาด ทว่าเมื่อวานนี้กลับต่างออกไป… ผู้ใดต่างก็รู้ว่า พักหลังมานี้คุณหนูมักเอาแต่วิ่งไล่ตามติดคุณชายเฉิงอี้หยางไม่ต่างจากเงา แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะพาบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งเข้าจวนทั้งที่ยังเป็นดรุณีน้อยที่มิได้ออกเรือน! เกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูชาวบ้าน เกรงว่าคงถูกครหาว่าเป็นสตรีใจง่ายทำให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้า บิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วคงต้องตายตาไม่หลับแน่! และแม้ว่าคุณชายจะดูไม่พอใจอยู่เจ็ดส่วนแต่ก็แน่แท้ว่าคงไม่อาจกล้าลงโทษน้องสาวให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ “หากคิดจะนินทาข้าดังปานนั้นก็พูดออกมาต่อหน้าเลย”เสียงหวานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ หลี่จื่อหนิงยกจอกชาขึ้นจิบ สายตาพลางทอดมองสวนดอกไม้ตรงหน้าอย่างผ่อนคลาย “คุ…คุณหนู!” สาวใช้เหล่านั้นสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบพุ่งเข้ามาคุกเข่ากับพื้นจนเกิดเสียงดัง “บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ!” พวกนางต่างเร่งรีบปฏิเสธด้วยความหวาดกลัวเกรงว่าจะถูกลงโทษเอาได้ หลี่จื่อหนิงวางจอกน้ำชาลงก่อนปรายตามองพวกนาง “ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรพวกเจ้า…เหตุใดถึงทำตัวตื่นตระหนกราวกับข้าจะตวัดดาบพาดคอกัน” นางเอ่ยออกมาเสียงเรียงไร้อารมณ์ใดๆ ว่ากันตามตรงแล้ว หลี่จื่อหนิงเองก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไรดี ในเมื่อในนิยายแทบไม่ได้กล่าวถึงสตรีที่ผู้นี้เอาไว้ว่ามีนิสัยใจคอเป็นอย่างไรกัน นอกจากคำพูดที่นางได้ยินจากปากของบุรุษผู้นั้น หลี่จื่อหนิงน้องสาวเพียงผู้เดียวของหลี่จางเหว่ย นางเองก็อยากจะถามไถ่ให้มากกว่านี้แต่พอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่เร่งรีบก็ไม่ได้รั้งไว้ คิดว่าอย่างไรก็มีเวลา ในขณะเดียวกันนั้นเหล่าสาวใช้ยังคงมีท่าทางลุกลี้ลุกลน พากันพึมพำขอโทษไม่หยุด หลี่จื่อหนิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “อย่างไรแล้วนินทาผู้เป็นนายลับหลังเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี คราวหลังหากมีข้อข้องใจสิ่งใดก็มาถามข้าโดยตรงเสียจะดีกว่า…” เพล้ง! เสียงของตกแตกดังลั่นออกมาจากเรือน พอหลี่จื่อหนิงได้ยินจึงชะงักหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะปรายสายตากลับไปมองยังเรือนที่เดินออกมา เฝิงอวี่เซี่ยนรึ!? หลี่จื่อหนิงพลางละความสนใจจากสาวใช้ตรงหน้าจึงรีบยกชายกระโปรงก้าวเท้ากลับไปยังเรือน ในขณะเดียวกันนั้นหัวใจของนางพลันเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไรสาเหตุ ไม่รู้ว่าควรดีใจที่เขาฟื้นขึ้นมาแล้วหรือควรตื่นเต้นที่กำลังจะได้เผชิญหน้ากับพ่อตัวร้ายในนิยายอีกครั้งกันแน่! “คุณชาย! บุรุษผู้นี้ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงร้องดังขึ้นจากสาวใช้ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะเร่งรุดเข้ามาใกล้ ความทรงจำสุดท้ายของเฝิงอวี่เซี่ยนคือความเจ็บแปลบจากคมมีดที่แทงลึกในร่าง เลือดอุ่นรินไหลจนไร้เรี่ยวแรงหายไปหมดสิ้น ในห้วงสติเลือนรางเขายังจำได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนที่โอบประคองร่างเอาไว้ในอ้อมกอดสตรีผู้นั้นและน้ำเสียงของเจียงชุนหลินที่เรียกขานชื่อเขาอย่างร้อนรนด้วยความเป็นห่วง… เปลือกตาของเฝิงอวี่เซี่ยนค่อยๆ ลืมขึ้นรับแสงสลัวในห้อง เขาพยายามประคองกายลุกขึ้นทว่าเพียงแค่ขยับมือกลับไปปัดโดนกาต้มสมุนไพรที่วางอยู่ข้างเตียงจนหล่นแตกกระจายพลันส่งกลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั่วห้อง... สายตาคมกริบกวาดมองภายในเรือนแล้วก็ต้องพลันขมวดคิ้วมุ่นเกิดคำถามขึ้นมาในใจ เขายังไม่ตายหรือ!? “เฝิงอวี่เซี่ยน! ท่านยังไม่ตายจริงๆ ด้วย” เหตุใดน้ำเสียงถึงฟังแล้วถึงได้คุ้นหูนัก… เฝิงอวี่เซี่ยนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงบานประตูเปิดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของสตรีผู้หนึ่งที่ตะโกนร้องลั่นห้อง ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้าง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด นางยกชายกระโปรงพุ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างไร้มารยาท สายตาและมือเรียวพลางเอื้อมมาแตะราวกับว่ากำลังสำรวจว่าเขายังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ “ข้านึกว่าป่านนี้ท่านคงกำลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่งอยู่แน่ ๆ” หลี่จื่อหนิง!? เหตุใดถึงเป็นสตรีผู้นี้กัน เฝิงอวี่เซี่ยนขมวดคิ้วมุ่นย่ำแย่ ดวงตาดำขลับจับจ้องใบหน้าของนางอย่างเย็นชาราวกับไม่อยากเชื่อสายตาเกรงว่าคงเป็นเขาที่ตาฝาดพร่ามัวไปเองกระมัง ว่ากันตามตรงแล้ว หากเขาไม่ตายและฟื้นตื่นขึ้นมาผู้ที่ควรอยู่ข้างกายในตอนนี้สมควรเป็นเจียงชุนหลินมิใช่หรือ…แต่เหตุใดสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับเป็นหลี่จื่อหนิงไปได้กัน สตรีผู้นี้คิดวางแผนจะทำอันใดกันแน่ เฝิงอวี่เซี่ยนปรายสายตามด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า” พอได้ยินถ้อยคำนี้แล้วนางชะงักไปครู่หนึ่ง “อะไรกัน…?” “ข้าบอกให้ออกไป” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบขึ้นอีก ทว่าแววตาที่ผิดหวังเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน เขาคาดหวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะเจอแม่ดอกบัวขาวงั้นหรือ!? หลี่จื่อหนิงเบะปากพลางยกมือขึ้นกอดอกมองเขาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “ข้าช่วยชีวิตท่าน ยื้อวิญญาณท่านกลับมาจากปรโลกแต่พอตื่นขึ้นมากลับปฏิบัติอย่างเย็นชาเช่นนี้…มิสู้ปล่อยให้ตายไปเสียยังดีกว่าหรือ” เฝิงอวี่เซี่ยนมองสตรีตรงหน้านิ่ง ๆ สายตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สตรีน่ารำคาญผู้นี้กล้ามาทำตัวสนิทสนมกับเขาถึงเพียงนี้ “ข้าตายไปยังดีกว่าเป็นหนี้บุญคุณของเจ้า…หลี่จื่อหนิง” มองดูอย่างไรแล้ว สตรีผู้นี้ก็คงทำไปเพราะหวังผลตอบแทนคิดจะใช้เขาให้เป็นประโยชน์แน่ “มองออกด้วยงั้นหรือ” นางเลิกคิ้วเอ่ยถาม ในเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาตรงๆ ก็ดีเช่นกัน นางจะไม่ได้เสียพูดอ้อมค้อมไปมาให้มากความ หลี่จื่อหนิงยังคงสบตาจ้องเข้าไปด้วยความคมกริบของอีกฝ่ายที่เอาแต่มองนั้นด้วยสายตาแปลกประหลาด นางกล่าวออกมา “เฝิงอวี่เซี่ยน…นับจากนี้ชีวิตท่านเป็นของข้าแล้ว” พอได้ยินประโยคนี้เฝิงอวี่เซี่ยนพลันแค่นเสียงออกมาทันที มุมปากหนาโค้งขึ้นยกยิ้มเยาะ ด้วยนิสัยของสตรีผู้นี้…เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วไม่ผิดว่านางทำลงไปเพื่อหวังผลตอบแทน “เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่หลี่จื่อหนิง” “ชีวิตของท่าน” หากชีวิตเขาเป็นของนางแล้ว นับจากนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมต้องให้มือนางเป็นผู้ชี้แนะ…เช่นนั้นชีวิตของเฝิงอวี่เซี่ยนก็จะรอดพ้นจากความตายไม่เป็นเสมือนตอบจบในนิยาย ทั้งสายตาและน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยจริงจัง ทันใดนั้น เพียงชั่วอึดใจเฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือขึ้นและบีบคอหลี่จื่อหนิงอย่างรุนแรง สายตาคมกริบของเขาฉายแววแข็งกร้าวและดุดัน กลิ่นอายของความโหดเหี้ยมแผ่ออกมาจากตัวเขา อึก! นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย หลงลืมไปชั่วขณะว่าแท้จริงแล้วบุรุษตรงหน้านี้คือตัวร้ายผู้หนึ่ง “เฝิงอวี่เซี่ยน!” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นราวกับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านและไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมา “ข้าช่วยชีวิตท่านไว้…แล้วท่านกลับคิดจะฆ่าข้าหรือ” นางไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณตั้งแต่แรกทว่าเป็นเขาต่างหากที่บีบบังคับนางให้ต้องเอาตัวรอด หลี่จื่อหนิงยิ้มเยาะก่อนจะใช้มือที่ยื่นออกไปทุบเข้ากับบาดแผลของเขาอย่างแรง “อย่าคิดจะข่มขู่ข้า!” ตุบ! “อึก!...” เฝิงอวี่เซี่ยนกระอักเลือดออกมาทันที ก่อนจะปล่อยมือจากคอหลี่จื่อหนิงจากนั้นจึงยกมือขึ้นมากุมบาดแผลอย่างรวดเร็วด้วยความเจ็บ บาดแผลที่ยังไม่ทันจะสมานดีก็พลันปริแตกอีกครั้ง สายตาคมกริบเหลือบมองสตรีตรงหน้า เขากัดฟันกรอด “หลี่จื่อหนิง!” “เหอะ! เฝิงอวี่เซี่ยน ชีวิตท่านเป็นของข้าแล้ว…อย่าได้คิดจะมาข่มขู่ข้าอีก”เรื่องบางเรื่องในใต้หล้านี้ หากพลาดไปแล้วก็พลาดไปเลย ไม่สามารถหวนคืนย้อนกลับไปแก้ไขได้…ความรู้สึกของนางเองก็เช่นกันแม้วันนั้นเฉิงอี้หยางจะเอ่ยปากขอโทษจากใจจริงแล้วทว่าอย่างไรกัน มันจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?เจียงชุนหลินให้อภัยได้แต่ไม่สามารถลืมลงได้ ความรู้สึกที่ฝังลึกในใจมันยากที่จะขจัดออกไป “ทำอันใดอยู่หรือ” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะสวมกอดภรรยาจากทางหลัง ใบหน้าของเฉิงอี้หยางฉายแววหมองคล้ำออกมาอย่างชัดเจน ภายในใจเต็มไปด้วยความหนักอึ้งที่ไม่สามารถระบายออกมาเป็นคำพูดได้ถึงแม้เจียงชุนหลินจะพูดคุยกับเขาเช่นเดิมแล้วอย่างไรกันแต่เฉิงอี้หยางกลับรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิมเจียงชุนหลินตกใจสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนปรายสายตาเหลียวไปมองก่อนน้ำเสียงหวานเอ่ยแผ่วเบา “ท่านทำอันใดหรือ”“ข้ากอดภรรยาไม่ได้งั้นหรือ”ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้รู้สึกอึดอัดเช่นนี้กันนางวางผ้าที่กำลังปักลงจากนั้นจึงค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย นัยน์ตาของนางสบเข้ากับดวงตาคมกริบของเขาอย่างเย็นชา “คราวหน้าหากทำให้ข้าตกใจแบบนี้อีก…เกรงว่าข้าคงต้องโดนเข็มทิ่มตำจนเลือดออกแน่”เฉิงอี้หยางได้ยินแล้วรู้สึกแปลกใจ
“อืม…ชาดี”หลี่จื่อหนิงยกจอกน้ำชาขึ้นจิบอย่างละเมียดละไม ไม่ทันได้สังเกตว่ามีสายตาคมกริบคู่หนึ่งจับจ้องมองอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนจะวางจอกน้ำชาลงอย่างเชื่องช้า จากนั้นจึงหยิบขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงกวนขึ้นมากัดหนึ่งรสชาติหวานมันละลายในปาก จนใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้างออกมาจนถึงดวงตาเฝิงอวี่เซี่ยนมองดูภาพตรงหน้าด้วยแววตาลึกล้ำไม่ได้ปริปากเอ่ยอันใดออกมาแม้แต่สักครึ่งคำ ราวกับว่ากำลังสังเกตอีกฝ่าย“มีอีกหรือไม่…?” หลี่จื่อหนิงเอ่ยถาม น้ำเสียงไม่ชัดเจน ในขณะที่ยังเคี้ยวขนมเต็มปากอย่างไร้มารยาท แก้มทั้งสองตุ้ยอัดแน่นเต็มไปด้วยขนมขนมรสเลิศถึงเพียงนี้... นางอยากห่อกลับบ้านเสียจริง!เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”แม้ว่าเฝิงอวี่เซี่ยนพอจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนางของสตรีตรงหน้านี้อยู่บ้างทว่ากลับไม่เคยพูดคุยเลยแม้แต่สักครึ่งคำ น่าแปลกนักเหตุใดนางถึงรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนไฉนถึงได้มายุ่งข้องเกี่ยววุ่นวายกับเขา…!?ใบหน้าหล่อเหล่าของเฝิงอวี่เหว่ยขมวดคิ้วมุ่นเต็มไปด้วยความสงสัย…สตรีผู้นี้ไว้วางใจได้และไร้เดียงสาอย่างที่ตาเห็นจริงๆ งั้นหรือพอได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ นางพลางเคี้ยวขนมก่อนกลืนจะลงคอแล
หานมู่เฉินพลันมองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งเดินพ้นขอบประตูเข้ามา ใบหน้าคมของเขาขมวดคิ้วแน่นท่าทางครุ่นคิด สายตาทอดมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เหตุใดเขาถึงมองเห็นเป็นบุรุษผู้นั้นกันหรือคงตาฝาดไปเองทว่าในจังหวะนั้น…หานมู่เฉินกลับลุกพรวดขึ้นทันที เขาเร่งฝีเท้าก้าวเดินด้วยความเร่งรีบพุ่งตรงเข้าไปหาเฝิงอวี่เซี่ยนด้วยท่าทีร้อนรน“ข้านึกว่าเจ้าตายไปแล้วเสียอีก” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น แฝงความรู้สึกปะปนระหว่างตื่นเต้นกับโล่งอกเอาไว้หานมู่เฉินไล่สายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่บนลงล่างคล้ายกับสำรวจอีกฝ่ายให้แน่ใจ และเมื่อเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เพิ่มเติมจึงถอนหายใจโล่งอกออกมาแม้ว่าเหตุการณ์ที่เฝิงอวี่เซี่ยนถูกเฉิงอี้หยางใช้คมดาบแทงลึกจนแทบเอาชีวิตไม่รอดในคืนวันแต่งงาน แม้จะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นล่วงรู้และหลังจากนั้นจู่ๆ บุรุษผู้นี้ก็พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยหานมู่เฉินก็ทำใจไว้แล้วว่า รออีกวันสองวันคงต้องขุดหลุมฝังโลงเปล่าไว้รอรับร่างของเฝิงอวี่เซี่ยน ว่ากันตรงแล้วมีผู้ใดบ้างไม่ต้องการหมายจะเอาชีวิตคนผู้นี้ยิ่งเขามีสภาพอ่อนแอไร้หนทางสู้ก็เสมือนกับว่าโอกาสรอดยิ่งริบหรี่แม้แต่บุรุษผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มั
ณ จวนสกุลเฉิงภายหลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนางกลับยิ่งห่างเหินกว่าตอนจะก่อนแต่งงานเสียอีกเจียงชุนหลินที่เอาแต่ปักผ้าตลอดทั้งวันไม่สนใจสิ่งใด ในขณะที่เฉิงอี้หยางที่เอาแต่นอนออกจากเรือนตั้งแต่ยามรุ่งสาง คล้ายกับกำลังจงใจหลบหน้านาง กว่าจะกลับจวนอีกครั้งก็พลบค่ำ นางก็เข้าเรือนนอนไปแล้วความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นเช่นนี้มาหลายวัน จนกระทั่งบ่าวรับใช้ในเรือนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วนจะขยับตัวทำสิ่งใดก็รู้สึกหวาดระแวงไปเสียหมด“ข้าขอโทษ…เป็นเพราะวันนั้นข้าใช้อารมณ์มากเกินไปจึงพูดจาเช่นนั้นออกมา” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาแผ่วเบาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเขาไม่ชอบที่ต้องเห็นนางเป็นเช่นนี้วันนี้เฉิงอี้หยางจงใจรั้งอยู่ที่จวน เขาตื่นสายกว่าทุกวันเล็กน้อยเพื่อจะพูดคุยกับภรรยาทว่าเมื่อเห็นนางตื่นขึ้นมาเอาแต่ล้างหน้า บ้วนปาก และเปลี่ยนอาภรณ์ไม่ปริปากพูดอันใดออกมา จนกระทั่งมื้อเช้าเสร็จสิ้น เขากลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อนสายตาคมกริบเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆพอได้ยินถ้อยคำนี้ เจียงชุนหลินกำลังจะตักโจ๊กเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยพลางวางช้อนลงบ
หลายวันผ่านไป…ไม่ว่าเขาจะย่างกรายไปที่ใดหรือแม้แต่ทำสิ่งใดก็มักจะรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องอยู่ตลอดเวลา คราแรกเขานั้นรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นความเฉยชาหากสตรีผู้นี้คิดอยากจะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้นางทำไปเถอะ เขาหาได้ใส่ใจไม่เฝิงอวี่เซี่ยนนอนเอนกาย หลับตาลงผ่อนคลาย ก่อนที่ความคิดบางอย่างจะผุดขึ้นมา...นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้?เกรงว่าคงเกือบสิบปีได้แล้วกระมัง นับตั้งแต่จวนสกุลเฝิงประสบเคราะห์อันน่าหวาดกลัวนับตั้งแต่นั้นมาเฝิงอวี่เซี่ยนใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ไร้พ่อแม่ให้พึ่งพิง ไร้ญาติสนิทมิตรสหายที่จริงใจ ผู้คนรอบกายล้วนถือมีดซ่อนไว้เบื้องหลังหากเขาพลาดเมื่อไหร่ก็พร้อมจะลงมือ สายตานับสิบคู่จับจ้องเขาอยู่ทุกฝีก้าวและแม้ว่าจะได้กินอิ่มแต่ไม่อาจข่มตานอนหลับได้อย่างสบายใจจนกระทั่งสองสามปีมานี้…ราวกับสวรรค์ลิขิตให้เขาได้พบเจียงชุนหลิน นางคือคนผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างเขาโดยมิได้คาดหวังสิ่งมดทั้งสิ้น ทว่าหากสวรรค์ลิขิตให้พานพบแล้ว…ไฉนจึงมิได้ลิขิตเส้นด้ายแดงเส้นวาสนาให้แก่กันด้วยเล่าเหอะ! ท่าทางเคลิบเคลิ้มเช่นนี้ เกรงว่าบุรุษผู้นี้คง
บาดแผลจากรอยแทงของเฝิงอวี่เซี่ยนนับว่าสาหัสอยู่มาก ตอนที่เชิญท่านหมอมารักษายังเอ่ยปากว่า บุรุษผู้นี้ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าสู่ปรโลกแล้ว หากจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาที่สวรรค์ลิขิตยามนี้นั้น ผ้าพันแผลสีขาวที่พันรอบเริ่มซึมไปด้วยโลหิตสีแดงฉานคาดว่าบาดแผลคงปริแตกแล้ว“เฝิงอวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานร้องด้วยความตกใจ นัยน์ตาเมล็ดซิ่งมองเลือดที่ไหลทะลักออกมาไม่หยุดนางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาเจ็บหนักกว่าเดิมแต่ผู้ใดใช้ให้เขาบีบคอนางจนแทบหมดหนทางหายใจเล่า!เฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือกุมบาดแผลพลันกระอักเลือดออกมาอีกครา ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างปิดไม่มิดก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า”หลี่จื่อหนิงยื่นมือออกไปหมายจะตรวจดูบาดแผล ทว่าจู่ๆ มือหนากลับปัดออกอย่างไม่ไยดี“ข้าขอดูหน่อย” นางกล่าวขึ้นอย่างร้อนใจเฝิงอวี่เซี่ยนเหลือบมองสตรีตรงหน้า สายตาคมกริบฉายด้วยความแข็งกร้าว มุมปากหนาโค้งยกยิ้ม “ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณผู้ใดอีก”พอได้ยินประโยคนี้ นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าสบตากับอีกฝ่ายทันที หลี่จื่อหนิงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวเสียงความหนักแน่น “ชีวิตของท่าน