ยามนี้ใกล้พลบค่ำแล้วแต่บุรุษผู้นั้นยังคงนอนแน่นิ่งไม่มีท่าทีว่าจะฟื้นขึ้นมา นางที่เอาแต่นั่งเฝ้าอยู่ตลอดทั้งจึงรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย
สุดท้ายแล้ว หลี่จื่อหนิงจึงตัดสินใจออกมาเรือนไปสำรวจบริเวณรอบๆ จวนแทน พอเหล่าสาวใช้เห็นหลี่จื่อหนิงออกมาจากเรือนต่างพากันจับกลุ่มซุบซิบนินทาทันที นับตั้งแต่ที่นายท่านและฮูหยินจากไปนั้น คุณหนูก็ถูกคุณชายตามใจจนเสียคน ไม่เคยถูกว่ากล่าวหรือลงโทษแม้เพียงสักครั้งทั้งที่มักจะวุ่นวายไว้ให้คุณชายต้องตามเก็บกวาด ทว่าเมื่อวานนี้กลับต่างออกไป… ผู้ใดต่างก็รู้ว่า พักหลังมานี้คุณหนูมักเอาแต่วิ่งไล่ตามติดคุณชายเฉิงอี้หยางไม่ต่างจากเงา แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะพาบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งเข้าจวนทั้งที่ยังเป็นดรุณีน้อยที่มิได้ออกเรือน! เกรงว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูชาวบ้าน เกรงว่าคงถูกครหาว่าเป็นสตรีใจง่ายทำให้ตระกูลต้องอับอายขายหน้า บิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วคงต้องตายตาไม่หลับแน่! และแม้ว่าคุณชายจะดูไม่พอใจอยู่เจ็ดส่วนแต่ก็แน่แท้ว่าคงไม่อาจกล้าลงโทษน้องสาวให้ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ “หากคิดจะนินทาข้าดังปานนั้นก็พูดออกมาต่อหน้าเลย”เสียงหวานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ หลี่จื่อหนิงยกจอกชาขึ้นจิบ สายตาพลางทอดมองสวนดอกไม้ตรงหน้าอย่างผ่อนคลาย “คุ…คุณหนู!” สาวใช้เหล่านั้นสะดุ้งโหยงก่อนจะรีบพุ่งเข้ามาคุกเข่ากับพื้นจนเกิดเสียงดัง “บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ!” พวกนางต่างเร่งรีบปฏิเสธด้วยความหวาดกลัวเกรงว่าจะถูกลงโทษเอาได้ หลี่จื่อหนิงวางจอกน้ำชาลงก่อนปรายตามองพวกนาง “ข้ายังไม่ได้ว่าอะไรพวกเจ้า…เหตุใดถึงทำตัวตื่นตระหนกราวกับข้าจะตวัดดาบพาดคอกัน” นางเอ่ยออกมาเสียงเรียงไร้อารมณ์ใดๆ ว่ากันตามตรงแล้ว หลี่จื่อหนิงเองก็ไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไรดี ในเมื่อในนิยายแทบไม่ได้กล่าวถึงสตรีที่ผู้นี้เอาไว้ว่ามีนิสัยใจคอเป็นอย่างไรกัน นอกจากคำพูดที่นางได้ยินจากปากของบุรุษผู้นั้น หลี่จื่อหนิงน้องสาวเพียงผู้เดียวของหลี่จางเหว่ย นางเองก็อยากจะถามไถ่ให้มากกว่านี้แต่พอเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่เร่งรีบก็ไม่ได้รั้งไว้ คิดว่าอย่างไรก็มีเวลา ในขณะเดียวกันนั้นเหล่าสาวใช้ยังคงมีท่าทางลุกลี้ลุกลน พากันพึมพำขอโทษไม่หยุด หลี่จื่อหนิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “อย่างไรแล้วนินทาผู้เป็นนายลับหลังเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี คราวหลังหากมีข้อข้องใจสิ่งใดก็มาถามข้าโดยตรงเสียจะดีกว่า…” เพล้ง! เสียงของตกแตกดังลั่นออกมาจากเรือน พอหลี่จื่อหนิงได้ยินจึงชะงักหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะปรายสายตากลับไปมองยังเรือนที่เดินออกมา เฝิงอวี่เซี่ยนรึ!? หลี่จื่อหนิงพลางละความสนใจจากสาวใช้ตรงหน้าจึงรีบยกชายกระโปรงก้าวเท้ากลับไปยังเรือน ในขณะเดียวกันนั้นหัวใจของนางพลันเต้นระรัวขึ้นมาอย่างไรสาเหตุ ไม่รู้ว่าควรดีใจที่เขาฟื้นขึ้นมาแล้วหรือควรตื่นเต้นที่กำลังจะได้เผชิญหน้ากับพ่อตัวร้ายในนิยายอีกครั้งกันแน่! “คุณชาย! บุรุษผู้นี้ฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!” เสียงร้องดังขึ้นจากสาวใช้ก่อนที่เสียงฝีเท้าจะเร่งรุดเข้ามาใกล้ ความทรงจำสุดท้ายของเฝิงอวี่เซี่ยนคือความเจ็บแปลบจากคมมีดที่แทงลึกในร่าง เลือดอุ่นรินไหลจนไร้เรี่ยวแรงหายไปหมดสิ้น ในห้วงสติเลือนรางเขายังจำได้ถึงสัมผัสอ่อนโยนที่โอบประคองร่างเอาไว้ในอ้อมกอดสตรีผู้นั้นและน้ำเสียงของเจียงชุนหลินที่เรียกขานชื่อเขาอย่างร้อนรนด้วยความเป็นห่วง… เปลือกตาของเฝิงอวี่เซี่ยนค่อยๆ ลืมขึ้นรับแสงสลัวในห้อง เขาพยายามประคองกายลุกขึ้นทว่าเพียงแค่ขยับมือกลับไปปัดโดนกาต้มสมุนไพรที่วางอยู่ข้างเตียงจนหล่นแตกกระจายพลันส่งกลิ่นสมุนไพรอบอวลไปทั่วห้อง... สายตาคมกริบกวาดมองภายในเรือนแล้วก็ต้องพลันขมวดคิ้วมุ่นเกิดคำถามขึ้นมาในใจ เขายังไม่ตายหรือ!? “เฝิงอวี่เซี่ยน! ท่านยังไม่ตายจริงๆ ด้วย” เหตุใดน้ำเสียงถึงฟังแล้วถึงได้คุ้นหูนัก… เฝิงอวี่เซี่ยนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงบานประตูเปิดดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงของสตรีผู้หนึ่งที่ตะโกนร้องลั่นห้อง ใบหน้าคนงามระบายยิ้มกว้าง นัยน์ตาเมล็ดซิ่งฉายแววความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด นางยกชายกระโปรงพุ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างไร้มารยาท สายตาและมือเรียวพลางเอื้อมมาแตะราวกับว่ากำลังสำรวจว่าเขายังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ “ข้านึกว่าป่านนี้ท่านคงกำลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่งอยู่แน่ ๆ” หลี่จื่อหนิง!? เหตุใดถึงเป็นสตรีผู้นี้กัน เฝิงอวี่เซี่ยนขมวดคิ้วมุ่นย่ำแย่ ดวงตาดำขลับจับจ้องใบหน้าของนางอย่างเย็นชาราวกับไม่อยากเชื่อสายตาเกรงว่าคงเป็นเขาที่ตาฝาดพร่ามัวไปเองกระมัง ว่ากันตามตรงแล้ว หากเขาไม่ตายและฟื้นตื่นขึ้นมาผู้ที่ควรอยู่ข้างกายในตอนนี้สมควรเป็นเจียงชุนหลินมิใช่หรือ…แต่เหตุใดสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับเป็นหลี่จื่อหนิงไปได้กัน สตรีผู้นี้คิดวางแผนจะทำอันใดกันแน่ เฝิงอวี่เซี่ยนปรายสายตามด้วยความไม่เข้าใจก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา “ออกไปให้ห่างจากข้า” พอได้ยินถ้อยคำนี้แล้วนางชะงักไปครู่หนึ่ง “อะไรกัน…?” “ข้าบอกให้ออกไป” น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบขึ้นอีก ทว่าแววตาที่ผิดหวังเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน เขาคาดหวังว่าตื่นขึ้นมาแล้วจะเจอแม่ดอกบัวขาวงั้นหรือ!? หลี่จื่อหนิงเบะปากพลางยกมือขึ้นกอดอกมองเขาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ “ข้าช่วยชีวิตท่าน ยื้อวิญญาณท่านกลับมาจากปรโลกแต่พอตื่นขึ้นมากลับปฏิบัติอย่างเย็นชาเช่นนี้…มิสู้ปล่อยให้ตายไปเสียยังดีกว่าหรือ” เฝิงอวี่เซี่ยนมองสตรีตรงหน้านิ่ง ๆ สายตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สตรีน่ารำคาญผู้นี้กล้ามาทำตัวสนิทสนมกับเขาถึงเพียงนี้ “ข้าตายไปยังดีกว่าเป็นหนี้บุญคุณของเจ้า…หลี่จื่อหนิง” มองดูอย่างไรแล้ว สตรีผู้นี้ก็คงทำไปเพราะหวังผลตอบแทนคิดจะใช้เขาให้เป็นประโยชน์แน่ “มองออกด้วยงั้นหรือ” นางเลิกคิ้วเอ่ยถาม ในเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาตรงๆ ก็ดีเช่นกัน นางจะไม่ได้เสียพูดอ้อมค้อมไปมาให้มากความ หลี่จื่อหนิงยังคงสบตาจ้องเข้าไปด้วยความคมกริบของอีกฝ่ายที่เอาแต่มองนั้นด้วยสายตาแปลกประหลาด นางกล่าวออกมา “เฝิงอวี่เซี่ยน…นับจากนี้ชีวิตท่านเป็นของข้าแล้ว” พอได้ยินประโยคนี้เฝิงอวี่เซี่ยนพลันแค่นเสียงออกมาทันที มุมปากหนาโค้งขึ้นยกยิ้มเยาะ ด้วยนิสัยของสตรีผู้นี้…เขาคาดการณ์เอาไว้แล้วไม่ผิดว่านางทำลงไปเพื่อหวังผลตอบแทน “เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่หลี่จื่อหนิง” “ชีวิตของท่าน” หากชีวิตเขาเป็นของนางแล้ว นับจากนี้ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ย่อมต้องให้มือนางเป็นผู้ชี้แนะ…เช่นนั้นชีวิตของเฝิงอวี่เซี่ยนก็จะรอดพ้นจากความตายไม่เป็นเสมือนตอบจบในนิยาย ทั้งสายตาและน้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยจริงจัง ทันใดนั้น เพียงชั่วอึดใจเฝิงอวี่เซี่ยนพลันยกมือขึ้นและบีบคอหลี่จื่อหนิงอย่างรุนแรง สายตาคมกริบของเขาฉายแววแข็งกร้าวและดุดัน กลิ่นอายของความโหดเหี้ยมแผ่ออกมาจากตัวเขา อึก! นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเบิกโพลงกว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย หลงลืมไปชั่วขณะว่าแท้จริงแล้วบุรุษตรงหน้านี้คือตัวร้ายผู้หนึ่ง “เฝิงอวี่เซี่ยน!” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นราวกับไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านและไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมา “ข้าช่วยชีวิตท่านไว้…แล้วท่านกลับคิดจะฆ่าข้าหรือ” นางไม่ได้คิดจะทวงบุญคุณตั้งแต่แรกทว่าเป็นเขาต่างหากที่บีบบังคับนางให้ต้องเอาตัวรอด หลี่จื่อหนิงยิ้มเยาะก่อนจะใช้มือที่ยื่นออกไปทุบเข้ากับบาดแผลของเขาอย่างแรง “อย่าคิดจะข่มขู่ข้า!” ตุบ! “อึก!...” เฝิงอวี่เซี่ยนกระอักเลือดออกมาทันที ก่อนจะปล่อยมือจากคอหลี่จื่อหนิงจากนั้นจึงยกมือขึ้นมากุมบาดแผลอย่างรวดเร็วด้วยความเจ็บ บาดแผลที่ยังไม่ทันจะสมานดีก็พลันปริแตกอีกครั้ง สายตาคมกริบเหลือบมองสตรีตรงหน้า เขากัดฟันกรอด “หลี่จื่อหนิง!” “เหอะ! เฝิงอวี่เซี่ยน ชีวิตท่านเป็นของข้าแล้ว…อย่าได้คิดจะมาข่มขู่ข้าอีก”ภายในเรือนหอประดับประดาตกแต่งอย่างงดงาม โคมไฟสีและแสงเทียนสีแดงส่องแสงวูบไหวสะท้อนเงาลวดลายมงคลบนผ้าปูเตียงลายคู่นกยวนยาง ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นของกำยานหอมจางๆ ราวกับพรให้กับคู่บ่าวสาวที่พึ่งแต่งงานใหม่เฝิงอวี่เซี่ยนยืนอยู่เบื้องหน้าม่านสีแดงสด…เขาสวมใส่อาภรณ์สีแดงเข้มมงคลที่ปักลวดลายอย่างประณีต ท่าทางสงบนิ่งดังเดิมทว่าภายในดวงตาคมกริบกลับสะท้อนแววอ่อนโยนออกมาอย่างปิดไม่มิดในยามนี้หลี่จื่อหนิงนั่งอยู่หลังม่าน ใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงใบหน้าของนางร้อนผ่าวเล็กน้อย จู่ๆ หัวใจก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาแม้จะพยายามสงบอารมณ์ให้เป็นปกติก็ตามนางไม่รู้ว่าด้านนอกเขากำลังทำสีหน้าเช่นไรและไม่รู้ว่าเขาจะก้าวเข้ามาหานางเมื่อใด…หลี่จื่อหนิงฟังแต่เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความประหม่า“วันนี้ทำเจ้าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่เบื้องหน้า เฝิงอวี่เซี่ยนค่อยๆ ก้าวเดินอย่างแผ่วเบานางเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาเบาๆ“อืม...” วันนี้นางเหนื่อยมาจริงๆ หลี่จื่อหนิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดสนิทมิหนำซ้ำแล้ว ตลอดทั้งวันนางยังถูกพิธีการต่างๆ เคี่ยวกรำอย่างหนักกว่าจะได้พักผ่อนก็เ
เนิ่นนานหลายปีกว่าเฝิงอวี่เซี่ยนจะลบคำกล่าวหาได้…แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่ได้ลงไปคุกเข่าต่อบรรพชนสกุลเฝิงที่ปรโลกแล้วอย่างไรกัน แต่ทว่าในตอนนี้มีสภาพย่ำแย่แม้แต่ขุดหลุมหนียังทำไม่ได้“นายท่านเจ้าคะ...คุณหนูหลี่มาขอพบเจ้าค่ะ”เสียงสาวใช้ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด มือที่กำลังตวัดพู่กันอย่างสงบนิ่งพลันชะงัก เฝิงอวี่เซี่ยนวางพู่กันลงบนแท่นหมึกอย่างไม่รีบร้อนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง“นางมาแล้วหรือ”ใบหน้าที่เรียบเฉยมาตลอดทั้งวัน ทว่าบัดนี้กลับปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเหล่าสาวใช้ที่เฝ้ามองนายท่านของตนลอบขนลุกไม่น้อย แม้ว่าพวกนางจะคุ้นชินกับสีหน้าดังกล่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลัง แต่ก็ยังอดรู้สึกแปลกประหลาดมิได้คงมีเพียงแต่คุณหนูหลี่เท่านั้นกระมังที่นายท่านยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเช่นนี้“อวี่เซี่ยน!”น้ำเสียงหวานเจื้อยแจ้วดังขึ้นด้านนอกเรือน เฝิงอวี่เซี่ยนลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงก้าวออกไปหาอีกฝ่าย สายตาคมกริบเต็มไปด้วยความคะนึงหาหลี่จื่อหนิงเข้าออกจวนสกุลเฝิงราวกับเป็นจวนของอีกหลังของตนเอง และไม่มีผู้ใดกล้าปริปากห้ามปราม ใบหน้างามของนางประดับด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ดวงตากลมโตกวาดมองสอดส
เกรงว่าคงเป็นนางที่ตาฝาดไปเองกระมัง…หลี่จื่อหนิงหรี่สายตาลงเพ่งมองบุรุษตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าพลางกระพริบตาถี่ๆ อย่างไม่อยากเชื่อสายตาราวกับว่าตาฝาดมองเห็นผิดเพี้ยนไปเหตุใดบุรุษผู้นี้ถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้กัน…!?นางกำลังนอนหลับอย่างสบายใจ ทว่าสะดุ้งตื่นเมื่อสาวใช้เข้ามาปลุกบอกว่ามีคุณชายผู้หนึ่งมาหาถึงจวน เดิมทีหลี่จื่อหนิงขี้เซาไม่น้อยกว่าจะลืมตาตื่นลุกขึ้นมาจากเตียงได้ก็ใช้เวลาอยู่นานเอาแต่พลิกกายบิดขี้เกียจซ้ำแล้วซ้ำเล่าทว่าพอได้ยินสาวใช้กล่าวเช่นนั้น นางก็พลันตื่นเต็มตา ลุกพรวดขึ้นจากทันทีนางจะรู้จักผู้ใดได้อีกเล่านอกจากเฝิงอวี่เซี่ยน!แล้วเหตุใดจึงบุกมาหานางถึงจวนแต่เช้าตรู่เช่นนี้อย่างเร่งร้อนราวกับมีเรื่องด่วน…หรือเขาถูกทางการตามจับได้แล้ว?“มาหาข้ามีเรื่องอันใดกัน” นางเอ่ยถามด้วยเสียงแข็ง พลางเชิดใบหน้าขึ้นเล็กน้อยราวกับมิได้ใส่ใจ ทั้งที่ในใจนั้นกลับร้อนรนอยากจะเค้นความจากปากอีกฝ่ายออกมาตอนนี้ให้ได้หลี่จางเหว่ยซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พอได้ยินประโยคก่อนหน้าจึงเอ่ยแทรกขึ้นทันที “เช้าปานนี้ต่อให้เป็นฮ่องเต้…จวนสกุลหลี่ก็ปิดประตูไม่รับแขก” เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบ“เจ้าค่ะ”เหล่าส
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เจียงชุนหลินเอาแต่ทำตัววุ่นวายคอยหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าหรือไม่แม้แต่จะสบตาเฉิงอี้หยางเพียงแวบเดียวเลยด้วยซ้ำ…นางโกรธเขาไม่น้อยทว่าในใจก็สับสนว้าวุ่นเสียจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป“แม่…กลายเป็นภาระของเจ้าหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนล้าของเจียงฮูหยินขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมากอบกุมมือของบุตรสาวไว้แน่น ดวงตาของนางฉายแววเวทนาตนเองไม่น้อยเจียงชุนหลินได้ยินแล้วพลางเงยหน้ามองมารดา นางเม้มฝีปากแน่นภาระหรือ…?ยามนี้ จวนสกุลเจียงที่เคยสูงศักดิ์กลับร่วงหล่นลงมาเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปจนไม่หลงเหลือสิ่งใดภายหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนนั้น บิดาของนางพลันถูกเรียกตัวเข้าวังกะทันหันถึงขั้นส่งทหารจากวังหลวงมาตามถึงที่จวนสกุลเฉิงเพื่อสอบสวนคดีทุจริตในราชสำนัก ซึ่งเป็นการตรวจสอบย้อนหลังไปหลายสิบปี ตั้งแต่ยามที่ท่านพ่อรับราชการเป็นขุนนางครั้งแรกมิใช่ว่าที่ผ่านมานางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยแต่ทว่า…ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาบิดาพยายามชุบตัวให้ใสสะอาดเสมือนสายน้ำแต่ภายในกลับเป็นน้ำที่ตกตะกอนเพียงแค่มีผู้ยื่นมือไปกวนก็พลันขุ่นมัวขึ้นมาที่ผ่านมาล้วนกล่าวได้ว่าสวรรค์บังตาหรือเห็นใจกันแน่ถึง
ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เจียงชุนหลินเอาแต่ทำตัววุ่นวายคอยหลีกเลี่ยงที่จะพบหน้าหรือไม่แม้แต่จะสบตาเฉิงอี้หยางเพียงแวบเดียวเลยด้วยซ้ำ…นางโกรธเขาไม่น้อยทว่าในใจก็สับสนว้าวุ่นเสียจนไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรต่อไป“แม่…กลายเป็นภาระของเจ้าหรือไม่?”น้ำเสียงอ่อนล้าของเจียงฮูหยินขึ้นพร้อมกับเอื้อมมือมากอบกุมมือของบุตรสาวไว้แน่น ดวงตาของนางฉายแววเวทนาตนเองไม่น้อยเจียงชุนหลินได้ยินแล้วพลางเงยหน้ามองมารดา นางเม้มฝีปากแน่นภาระหรือ…?ยามนี้ จวนสกุลเจียงที่เคยสูงศักดิ์กลับร่วงหล่นลงมาเพียงชั่วพริบตาทุกสิ่งทุกอย่างสูญสิ้นไปจนไม่หลงเหลือสิ่งใดภายหลังเหตุการณ์ไฟไหม้ในคืนนั้น บิดาของนางพลันถูกเรียกตัวเข้าวังกะทันหันถึงขั้นส่งทหารจากวังหลวงมาตามถึงที่จวนสกุลเฉิงเพื่อสอบสวนคดีทุจริตในราชสำนัก ซึ่งเป็นการตรวจสอบย้อนหลังไปหลายสิบปี ตั้งแต่ยามที่ท่านพ่อรับราชการเป็นขุนนางครั้งแรกมิใช่ว่าที่ผ่านมานางไม่รู้เลยแม้แต่น้อยแต่ทว่า…ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาบิดาพยายามชุบตัวให้ใสสะอาดเสมือนสายน้ำแต่ภายในกลับเป็นน้ำที่ตกตะกอนเพียงแค่มีผู้ยื่นมือไปกวนก็พลันขุ่นมัวขึ้นมาที่ผ่านมาล้วนกล่าวได้ว่าสวรรค์บังตาหรือเห็นใจกันแน่ถึง
หลี่จื่อหนิงเงยหน้ามองเฝิงอวี่เซี่ยนตาปริบๆ คล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นัยน์ตาเมล็ดซิ่งหรี่ลงราวกับกำลังจับผิดอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยออกมา “เหอะ! ข้าจะเชื่อได้อย่างไร”เพียงแค่แม่ดอกบัวขาวนางนั้นปรากฏตัวขึ้น…เขาก็รีบตามติดราวกับสุนัขที่เจอเจ้าของแล้ว!ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเฝิงอวี่เซี่ยนจึงต้องสนใจความรู้สึกของนางนัก มุมปากหนาโค้งยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นแล้วก้าวมายืนอยู่ตรงหน้า สายตาคมกริบเพ่งมองหลี่จื่อหนิงจากนั้นจึงโน้มใบหน้าลงมาใกล้“แล้วต้องทำอย่างไรเล่าเจ้าถึงจะเชื่อข้า” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าพูดอย่างแผ่วเบาหลี่จื่อหนิงส่ายหน้าไปมา “ช่างเถอะ…ท่านจะชอบผู้ใดแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า”หากว่ากันตามตรงแล้ว เรื่องความรู้สึกของจิตใจปล่อยให้เขาจัดการเองเถอะ นางหาได้สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือสร้างความวุ่นวายให้…ขอเพียงเฝิงอวี่เซี่ยนมีชีวิตรอดอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ก็พอ!!!ทว่าในจังหวะเดียวกันนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวหลี่จื่อหนิงยังไม่ทันได้ตั้งตัวกลับต้องสะดุ้งด้วยความตกใจทันที ฝ่ามือหนาเอื้อมมาประคองใบหน้าคนงามอย่างอ่อนโยน นิ้วโป้งลูบผ่านแก้มนุ่มนิ่มราวกับสำรวจความรู้สึกของนางก่อนที่จู่ๆ เฝิงอวี่เ