เมื่อเห็นทุกคนรับปากอย่างแข็งขัน หญิงสาวจึงเล่าเรื่องมิติพิเศษให้ทุกคนฟังว่า
“ตอนที่ฉันสลบไปนั้น ฉันฝันเห็นชายชราคนหนึ่งเดินมาบอกว่ามีของพิเศษจะให้ แต่ต้องให้ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ ให้ทำดีตัวดี ๆ แล้วสร้างความดี”
“หมายความว่ายังไง” ย่าหลี่ถามขึ้นมาทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือก็มองมาอย่างรอคอยคำตอบเหมือนกัน หลี่ชิงเหยามองหน้าทุกคนแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะย่า หลังฟื้นขึ้นมาฉันก็เหมือนผ่านความตายมาแล้ว เลยเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างที่ทุกคนเห็น หลังกินมื้อเย็น ฉันกลับเข้าห้องก็พบสร้อยถักเส้นนี้” เธอพูดจบก็ชูสร้อยถักที่ข้อมือให้ทุกคนดู แต่ทว่า
“ไหน ไม่เห็นมีอะไรเลย” ย่าหลี่จับข้อมือหลานสาวมาดูแล้วถามขึ้นมาอย่างสงสัย เพราะทุกคนกลับไม่เห็นสร้อยอะไรเลยจึงพากันมองหน้าอย่างงุนงง
“ทุกคนไม่เห็นใช่ไหมคะ” หลี่ชิงเหยามองหน้าแต่ละคนแล้วถามขึ้นอีกครั้ง ทุกคนพากันส่ายหัวเป็นคำตอบ เธอจึงเข้าใจแล้วว่าสร้อยเส้นนี้เธอมองเห็นคนเพียงคนเดียว
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ คงมีแค่ฉันที่มองเห็น แบบนี้ก็น่าจะปลอดภัยดี” เธอพูดขึ้นมาอย่างสบายใจไปหนึ่งเรื่อง จากนั้นจึงเล่าต่อ
“พอฉันเอาสร้อยถักมาสวมไว้ ฉันก็พบกับมิติที่มีทุกอย่างให้เลือกใช้ ตอนแรกก็คิดว่าฝันไป แต่เมื่อเช้าฉันลองเอาเนื้อออกมาทำอาหาร ก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นนี่แหละ ตอนนี้ฉันรู้วิธีที่จะเอาของในนั้นออกมาใช้แล้ว”
“แล้วต้องแลกกับอะไรหรือไม่ ถ้าสิ่งที่แลกมาคือชีวิตของชิงเหยา พวกเราไม่ต้องการนะ” หลี่หยวนถามออกไปอย่างกังวลใจ เขากลัวว่าเรื่องมหัศจรรย์แบบนี้จะมีข้อแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อแน่ ๆ
“ไม่มีอะไรมากค่ะ ท่านขอแค่ให้ฉันเปลี่ยนตัวเองไปทางที่ดีขึ้น และหมั่นทำบุญแล้วก็ช่วยเหลือคนอื่นบ้างก็พอแล้วค่ะพ่อ แต่เรื่องที่ฉันมีของวิเศษนั้น ฉันไม่อยากให้ใครรู้อีกนะคะ มันอันตรายค่ะ อาจจะมีคนอยากจับตัวฉันไป แล้วบังคับให้ฉันเอาของออกมาให้เขาก็ได้” หญิงสาวพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง และยกความปลอดภัยของตัวเองขึ้นมาอ้าง
“คนอื่นไม่มีทางรู้เรื่องนี้เด็ดขาด พ่อให้สัญญา” หลี่หยวนพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่นจริงจังและหันไปถามอีกสามคนที่เหลือ ซึ่งทุกคนในบ้านต่างก็พยักหน้าเพื่อยืนยันทันที
“แต่ปัญหาของพวกเราอยู่ที่ว่า ฉันจะเอาของพวกนี้ออกมายังไงไม่ให้ชาวบ้านสงสัย ในมิติมีรถจักรยานสามล้อ และรถจักรยานด้วย แถมรูปลักษณ์ยังดูทันสมัยอีก แต่ฉันไม่กล้าเอาออกมา เพราะไม่รู้ว่าต้องจดทะเบียนหรือไปแจ้งที่ไหนหรือเปล่า”
หลี่ชิงเหยาพูดความกังวลที่กำลังกลัดกลุ้มอยู่ในใจออกมาให้ทุกคนฟัง
“อีกอย่าง อย่าลืมว่าบ้านหลี่ของเราไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรบ้าง จักรยานคันหนึ่งก็หลายร้อยหยวนไปแล้ว ยิ่งเป็นสามล้อด้วยแล้วไม่ต้องพูดถึงราคาเลย มันน่าจะอยู่สามถึงสี่ร้อยหยวนเลยล่ะ เห้อ กลุ้มใจจัง มีของดีแต่เอาออกมาไม่ได้”
พูดจบเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ
“อย่ากลุ้มใจไปเลย เดี๋ยวเราค่อยๆ ช่วยกันคิด”ย่าหลี่พูดขึ้นพร้อมกับจับมือหลานสาวไว้อย่างปลอบใจ
“ในเมื่อพวกเรามีวัตถุดิบอย่างนี้แล้ว เรื่องทำการค้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จะมีก็เรื่องรถสามล้อและรถจักรยานนี่แหละ
ที่จะหาข้ออ้างอย่างไรมาพูดกับชาวบ้านหากมีใครถาม” พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลี่หยวนก็มีสีหน้าคิดไม่ตกไม่ต่างจากลูกสาว“เรื่องนี้เดี๋ยวผมจะจัดการเอง พ่ออย่าลืมนะว่าบ้านเราแม้จะไม่ร่ำรวยมากแต่ก็ไม่ได้ขัดสนอะไร ทั้งผมกับพ่อก็ทำงานมาตั้งหลายปีแล้ว จะมีเงินเก็บบ้างก็ไม่แปลกอะไร พวกเราแค่บอกว่าซื้อมาจากในเมืองก็จบแล้ว ส่วนเรื่องขอจดทะเบียนใช้รถจักรยานและรถสามล้อ ผมจะเป็นคนจัดการเอง ผมพอจะมีคนรู้จักอยู่บ้าง”
หลี่เหวินนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา
เรื่องขอใบอนุญาตจักรยานกับรถสามล้อ หลี่เหวินคิดว่าตนเองทำได้ เนื่องจากเขาทำงานที่ตลาดมืดมานาน พอจะรู้จักกลุ่มคนพวกนี้ จึงไม่ยากที่จะใช้เส้นสายที่มีจัดการเรื่องนี้
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยพี่ใหญ่ วันนี้พี่แสร้งทำทีเข้าไปในเมืองกับฉันก็แล้วกัน พอไปถึงเราก็หาที่หลบสายตาคนอื่น แล้วเอารถสามล้อออกมา ส่วนเรื่องขอทะเบียนนั้น พี่จะได้ไปจัดการวันนี้ให้เสร็จสิ้น เมื่อได้รถแล้วเราจะได้ไปดูที่ทำเลขายของหน้าโรงงานเลย ไม่แน่อาจจะทำอะไรได้มากกว่าขายไข่ต้มชาแล้ว เพราะตอนนี้เรามีวัตถุดิบแบบไม่จำกัด” หญิงสาวพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
เมื่อทุกอย่างมีพร้อมแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างอาชีพให้กับครอบครัว เพราะตอนนี้ทางรัฐก็ไม่ได้ปิดกั้นชาวบ้านค้าขายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“แล้วมีอะไรให้ย่าช่วยไหม” ย่าหลี่ถามออกมาอย่างอยากมีส่วนร่วมด้วย
“นั่นสิ แม่ก็อยากช่วยนะ” ฟางเหนียงก็ถามขึ้นมาบ้าง
ย่าหลี่กับฟางเหนียงอยากช่วยด้วยจึงยกมือขันอาสา
“แม่กับย่ารอช่วยฉันทำอาหารดีกว่าค่ะ หรือไม่ก็ลองช่วยฉันคิดดูสักหน่อยเถอะว่า นอกจากไข่ต้มชาแล้วฉันสามารถขายอะไรควบคู่กันได้อีก ส่วนพี่ใหญ่ ฉันขอดูของในมิติอีกสักหน่อย ฉันจะให้พี่ลองเอาสินค้าในมิติไปขายทางใต้หรือนำไปขายในตลาดมืดดู พวกเราจะได้หาเงินทุนเพื่อนำมาเปิดร้านของครอบครัวยังไงละคะ
ช่วงนี้เราจะต้องกอบโกยไว้ให้มาก ๆ เพราะแม้ว่าตอนนี้มิติจะอยู่กับฉัน แต่ไม่รู้ว่ามันจะหายไปเมื่อไร ฉันจึงคิดว่าพวกเรามองหาลู่ทางกิจการที่จับต้องได้ดีกว่า ต่อไปเราอาจจะต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น”
หญิงสาวพูดออกมาอย่างที่ตั้งใจไว้ เธออยากใช้ของในมิติมาเพื่อสร้างตัวให้มั่นคงให้เร็วที่สุด เพราะไม่รู้ว่ามิติจะอยู่กับเธอตลอดไปหรือเปล่า
พอได้ยินแบบนี้ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยเหมือนกัน ก่อนที่
หลี่เหวินจะพูดขึ้นมา “อย่างนั้นก็รีบกินข้าวเถอะ เราสองคนจะได้รีบเข้าไปในเมือง พี่จะช่วยน้องสร้างตัวเพื่อครอบครัวของเราเอง”“ค่ะพี่ใหญ่” หญิงสาวก็รีบรับคำทันที แล้วทุกคนก็ลงมือกินข้าวเช้าทันที
หลังจากจบมื้ออาหาร หลี่เหวินและหลี่ชิงเหยาก็เดินเท้าเข้ามาในเมือง เพื่อไปสำรวจสถานที่ขายของว่าควรจะเป็นที่ไหนดี
“ชิงเหยาคิดไว้ไหมว่าจะขายของที่ไหน พี่ว่าน่าจะไปขายที่ตลาดนะ” หลี่เหวินถามน้องสาวและเสนอความคิดออกไป เขาคิดว่าว่าควรจะไปขายที่ตลาดเพราะที่นั่นคนพลุกพล่านดี
“ฉันหมายตาตลาดในเมืองกับหน้าโรงงานเย็บผ้าไว้น่ะ สองที่นั่นฉันคิดว่าคนน่าจะซื้อเยอะแน่ แต่ถ้าที่ตลาดมืดฉันยังไม่กล้าเสี่ยง เพราะพวกเรามีทั้งรถ มีทั้งเตาไฟ หากโดนทหารแดงรวบไปมันจะซวยเอาได้ แต่หากจะเข้าไปขายของที่ถือได้สะดวก ฉันไม่มีปัญหานะ แล้วฉันจะไปเลือกสินค้ามาให้พี่เอาไปขายก็แล้วกัน”
“อย่างนั้นเรารีบไปเถอะ อย่ามัวเดินเล่นอยู่เลย” ชายหนุ่มรีบบอกก่อนจะเดินนำน้องสาวไป
สองพี่น้องเดินมาจนถึงหน้าโรงงานเย็บผ้า ซึ่งตรงนี้มีแม่ค้ามาขายของและอาหารไม่น้อยเลย แต่ยังไม่มีใครขายไข่ต้มชา
แล้วหน้าโรงงานแห่งนี้ไม่เก็บค่าเช่าด้วย“อาเหวิน มาอะไรที่นี่เหรอ” ผู้จัดการโรงงานกำลังเดินเข้าโรงงานพอดี เมื่อเห็นหลี่เหวินจึงเดินเข้ามาทักทายเพราะชายหนุ่มเคยมารับจ้างขนผ้าให้กับโรงงานนี้
“สวัสดีครับผู้จัดการหู ผมกับน้องสาวมาดูที่ทางขายอาหารเช้าน่ะครับ” หลี่เหวินทักทายกลับอย่างสุภาพ แล้วไม่คิดจะปิดบังเรื่องที่เขาและหลี่ชิงเหยามาที่โรงงานแห่งนี้ทำไม
“จริงเหรอ มาสิ ยินดีต้อนรับเลยล่ะ ถ้าเป็นไปได้ทำอาหารมาขายช่วงเที่ยงด้วยสิ เพราะพนักงานโรงงานหลายร้อยชีวิตก็ออกมาหาซื้ออาหารด้านหน้านี่แหละ” ผู้จัดการบอกอย่างใจดี อีกอย่างหน้าโรงงานแห่งนี้เจ้าของไม่เก็บค่าเช่า ขอแค่รักษาความสะอาดให้ดีและไม่สร้างเรื่องวุ่นวายก็พอแล้ว
“ขอบคุณมากครับผู้จัดการ นี่ชิงเหยาน้องสาวของผมครับ เธอจะมาอาหารที่นี่โดยมีผมเป็นผู้ช่วยครับ” หลี่เหวินรีบขอบคุณผู้จัดการ แล้วแนะนำน้องสาวให้อีกฝ่ายรู้จัก
“สวัสดีชิงเหยา ตัวแค่นี้แต่ขยันอย่างนี้ อีกไม่นานจะต้องได้เป็นเถ้าแก่เนี้ยแน่เลย” ผู้จัดการหูหันไปมองหญิงสาวแล้วทักทายและเอ่ยปากชมขึ้นมา
“สวัสดีค่ะผู้จัดการหู ขอบคุณสำหรับคำอวยพรนะคะ” หญิงสาวก็ทักทายกลับและโค้งศีรษะให้เล็กน้อยอย่างมีมารยาท
หลังจากทักทายกันหอมปากหอมคอแล้ว สองพี่น้องจึงขอตัวกลับ และบอกว่าพรุ่งนี้จะทำไข่ต้มชามาขายก่อน แต่ไม่แน่อาจจะมีอาหารอย่างอื่นขายด้วย
พอออกมาจากโรงงานแล้ว หลี่ชิงเหยาจึงยิ้มหน้าบานเพราะได้ที่ขายของที่เธอพอใจแล้ว
“พี่ใหญ่รู้จักผู้จัดการคนนั้นได้ยังไงคะ ดูแล้วเขาใจดีจัง” เธอถามอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าพี่ชายจะรู้จักคนระดับผู้จัดการโรงงานด้วย ปกติคนยุคนี้มักชอบแบ่งชนชั้นในการคบหากันนี่นา
“อย่าลืมว่าพี่ใช้แรงงานมาหลายปีแล้ว ย่อมต้องรู้จักคนมากมายเป็นธรรมดา ยังมีกลุ่มพ่อค้าทั้งทางเหนือและทางใต้ด้วยนะที่พี่รู้จัก จะเป็นอะไรไหม หากพี่จะลองติดต่อพ่อค้ากลุ่มนั้นเพื่อช่วยหาช่องทางการค้าให้เธอน่ะ”
หลี่เหวินตอบกลับมาพร้อมกับเสนอแนวทางในการขยายการค้าให้กับน้องสาวด้วย เขาคิดว่าแม้จะไม่มีช่องทางการติดต่อ แต่หากจะบอกเพื่อนในสายงานเดียวกันไว้ว่าให้มาตามเขาที่หน้าโรงงานเมื่อกลุ่มพ่อค้าเหล่านั้นมาที่ตลาดมืด เผื่อว่าจะช่วยน้องสาวหาเงินได้บ้าง
หลี่ชิงเหยาครุ่นคิดเล็กน้อย ‘การที่จะเอาของออกมาขายนั้นเป็นเรื่องดี เพราะจะได้หาเงินเร็วขึ้น แต่ฉันไม่ได้ลงทุนอะไรเลย แบบนี้จะเป็นการดีใช่ไหมนะ แต่เอาออกมาแค่ช่วงที่สร้างตัวก็คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้งนะ’ เธอคิดไปคิดมาถึงผลดีผลเสียในที่สุดเธอก็พยักหน้าตอบตกลงกลับมา แล้วพูดออกมาอย่างที่เธอตั้งใจ
“อืม ตกลง พี่ลองดูว่ากลุ่มพ่อค้าที่พี่เคยไปช่วยขนของให้เขาขายสินค้าประเภทไหนและทางนั้นอยากได้สินค้าอะไร ของในมิติมีทั้งของยุคนี้และยุคที่ดูล้ำสมัย อย่างพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีนะ แต่การที่พี่จะเอาออกมาขาย เราต้องมีหน้าร้านหรือเปล่า”
นี่คือสิ่งที่เธอกังวล เพราะอย่างน้อยต้องมีตัวอย่างให้คนพวกนั้นได้เห็น ก่อนจะดวงตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้
‘แต่เดี๋ยวนะ ในมิติมีกล้องถ่ายรูปนี่นา สมัยนี้ก็มีร้านอัดภาพแล้ว แบบนี้ก็ไม่ต้องมีหน้าร้านก็ได้’ เธอคิดอย่างดีใจ
“ฉันนึกออกแล้ว เมืองนี้มีร้านอัดภาพนี่น่า ถ้าเราถ่ายภาพสินค้าออกมาแล้วนำไปให้กลุ่มพ่อค้าพวกนั้นดู ถ้าเขาสนใจสินค้าตัวไหนเราค่อยเอาตัวอย่างไปให้ดู แบบก็น่าจะดีนะพี่ ช่วงนี้เราไม่ต้องหาหน้าร้านให้ยุ่งยาก อีกอย่างเรื่องขนส่ง เราก็ไม่ต้องส่งเองเพราะเราจะนัดสถานที่ให้เขามารับสินค้าที่ไหนก็ได้” หญิงสาวพูดแนวทางในการขายสินค้าให้พี่ชายรับรู้ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ใช่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้คนสงสัย พี่คิดว่าเรายังจำเป็นต้องมีหน้าร้านอยู่ ถ้าอย่างนั้นขายส่งสักครั้งสอง ก็น่าจะพอมีทุนสักก้อนเพื่อเปิดร้าน เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งขายอาหารหรือไข่ต้มชาที่หน้าโรงงานให้เหนื่อยอีก” ชายหนุ่มพูดสิ่งที่เขาคิดออกมาให้น้องสาวรับรู้เช่นกัน
นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มคิด อะไรก็ได้ที่ทำให้น้องสาวสบายและไม่เหนื่อย เขายินดีทำทั้งนั้น
“ฉันอยากพาพี่เข้ามิติมากเลย อยากให้พี่เห็นสินค้าในนั้น เพราะพี่น่าจะรู้ถึงความต้องการของพ่อค้าพวกนั้นมากกว่าฉัน” หลี่ชิงเหยาคิดอย่างนั้นจริง ๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปหามุมอับที่ไม่มีคนดีกว่า ฉันจะลองพาพี่เข้าไปในมิติดู หากพี่เข้าไปได้ ทุกคนในบ้านก็จะต้องเข้าไปได้เหมือนกัน แบบนี้เราจะได้ช่วยกันได้เยอะ ๆ”
“ไปสิ ถ้าน้องให้พี่ทำอะไร พี่ก็พร้อมสนับสนุนเสมอ”
ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างยินดีจากนั้นทั้งสองจึงรีบเดินเพื่อหาที่หลบสายตาคน
เพื่อทดลองว่าหลี่เหวินนั้นจะสามารถเข้ามิติของน้องสาวได้ไหมบทส่งท้าย ฉันไม่ใช่นางร้ายที่โง่เขลาอีกแล้วหนึ่งเดือนต่อมา...วันนี้คือฤกษ์ดีของบ้านหลี่และบ้านหยาง แม้ว่าการย้ายเข้าบ้านใหม่นั้นจะเอาฤกษ์ที่สะดวก แต่สำหรับการเปิดร้านค้าทั้งสองร้านนั้น ย่าหลี่บอกว่าต้องดูวันที่ฤกษ์ดี ๆ เสียหน่อยเพื่อความเจริญรุ่งเรือง เลยทำให้วันนี้เป็นวันเปิดร้านทั้งสองของพวกเขาวันนี้นายท่านเจียงถูกเชิญมาเป็นแขกผู้มีเกียรติ“ยินดีด้วยนะเฟยฟลง ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง หากมีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยเหลือก็ไปบอกได้เลย ฉันถือนายเป็นน้องชายคนหนึ่ง หากใครคิดจะมีเรื่องกับนาย ก็เท่ากับมีเรื่องกับฉันด้วย”นายท่านเจียงพูดอวยพรเสียงดัง จากนั้นก็ส่งของขวัญให้หลี่ชิงเหยา“ขอบคุณครับพี่เจียง” หยางเฟยหลงพูดขอบคุณและเรียกอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองนั่นทำให้เหล่าบรรดาพ่อค้าที่พอจะมีอิทธิพลและเส้นสาย ที่ตั้งใจจะกลั่นแกล้งร้านที่เปิดใหม่กลับต้องหน้าเสีย เพราะไม่คิดว่าเจ้าของร้านเปิดใหม่แห่งนี้ จะรู้จักกับนายท่านเจียงด้วยหลังจากนั้นไม่นานนายท่านเจียงก็เดินทางกลับไปทันที เพราะคนอย่างเขาไม่ปรากฏตัวอยู่ข้างนอกนานเกินความจำเป็นหลังจากนายท่านเจียงกลับไปไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินเข้ามาแส
บทที่ 33 ในที่สุดพระเอกก็มีจุดจบหน้าหมู่บ้าน อี้หยางตงรีบมาที่จุดนัด ตอนนี้เขาแค้นใจมากเพราะรู้ข่าวว่าหลี่ชิงเหยาได้จดทะเบียนสมรสกับหยางเฟยหลงแล้ว“หึ แอบไปจดทะเบียนกันโดยไม่สนใจฉัน ต่อไปก็ไม่จำเป็นที่จะต้องการรักษาน้ำใจเธออีกแล้วนะชิงเหยา เป็นแบบนี้ฉันก็ไม่ต้องปิดบังแล้วเหมือนกันว่าที่ฉันอยากได้เธอมาก็เพราะเงินของเธอ และหากว่าเธอตกเป็นของฉันแล้ว ฉันจะบังคับให้เธอหย่าแล้วมาแต่งกับฉัน แล้วฉันรีดไถเงินมาใช้ให้หมดเลย”อี้หยางตงพูดออกมาอย่างแค้นใจ เขาตั้งใจว่าเมื่อแผนการทุกอย่างจบสิ้นลง เขาจะให้หลี่ชิงเหยาหย่าขาดจากหยางเฟยหลงแล้วมาแต่งงานกับเขาแทน “ว่ายังไง พวกนั้นมาหรือยัง” ตงหมิ่งถามอี้หยางตงเมื่อเห็นเขามาถึงจุดนัดพบแล้ว“พวกมันออกมาจากหมู่บ้านกันแล้ว ว่าแต่พวกนายรู้ได้อย่างไรว่าพวกมันจะมาย้ายออกจากหมู่บ้านวันนี้” อี้หยางตงตอบกลับไป และขมวดคิ้วอย่างสงสัยจนอดที่จะถามไม่ได้ว่าคนพวกนี้รู้ได้อย่างไรว่าบ้านหลี่และบ้านหยางจะย้ายบ้านวันนี้“การสืบข่าวเรื่องแค่นี้ไม่ยากสำหรับฉัน หากฝีมือพวกฉันไม่มีดี จะกล้ารับค่าจ้างแพง ๆ ได้อย่างไรกันล่ะ” ตงหมิ่งพูดขึ้นมาอย่างโอ้อวด เขาพยายามพูดเบี่ยงเบนไป
บทที่ 32 ชี้เป้าหมายหลี่ชิงเหยามองหนังสือรับรองการจดทะเบียนด้วยตาเป็นประกาย เธอไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสแต่งงานจดทะเบียนเหมือนคนอื่น ก่อนจะเงยหน้ามองสามีหมาด ๆ ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น“เราแต่งงานกันแล้วนะคะสามี” หญิงสาวพูดออกไปอย่างหยอกเย้าพอได้ยินอย่างนั้น หยางเฟยหลงยิ้มเขินเล็กน้อย พร้อมกับใบหูที่แดงเถือก ก่อนจะพูดออกไปอย่างอบอุ่นไม่ต่างกัน“ครับภรรยา พี่รักชิงเหยานะครับ”“ฉันก็รักพี่ค่ะ” หลี่ชิงเหยายิ้มหวานให้สามีพร้อมกับคำบอกรักทั้งสองต่างสบตาให้กันอย่างมีความหมาย แม้ว่าตอนนี้ทั้งสองจะไม่มีงานแต่งงานก็ตาม“พี่ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่พี่ได้ครองรักกับชิงเหยา พี่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และขอบคุณภรรยาที่รักและยอมให้ชายคนนี้ดูแล ทั้งที่พี่ไม่มีอะไรเลย” เขาบอกเธออย่างอบอุ่นส่วนหลี่ชิงเหยาเองก็คิดในใจว่า‘ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้แต่งงานกับตัวประกอบของนิยายเรื่องนี้ที่อ่านไม่จบ หวังว่าสุดท้ายแล้วต่อจากนี้ ชีวิตของฉันและเขา รวมถึงครอบครัวจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่มีอะไรมากวนใจอีกแล้วนะ’แต่เธอตอบคนรักกลับไปอย่างอ่อนโยนว่า“ฉันไม่ได้มองคนที่เงินทองหรือว่าฐานะ และต้องขอโทษด้วยที่ก
บทที่ 31 วางแผนคิดร้าย“นี่ค่ะเงิน ลองนับดูนะคะว่าครบหรือเปล่า” เธอบอกด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม พอพนักงานรับเงินมานับ แล้วเห็นว่าเงินเกินมาหนึ่งร้อยหยวนจึงคืนให้อย่างซื่อสัตย์ พร้อมกับพูดว่า “คุณจ่ายเงินเกินมาหนึ่งร้อยหยวนค่ะคุณลูกค้า นี่คะ ฉันคืนให้นะคะ”หลี่ชิงเหยาเห็นแบบนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะรู้ว่าคนคนนี้เป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง มีทั้งความจริงใจและความซื่อสัตย์“ไม่เป็นไรค่ะ เงินส่วนนี้ฉันให้กับคุณเป็นพิเศษค่ะ”หลี่ชิงเหยาตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“แต่มันมากเกินไปนะคะ เงินตั้งหนึ่งร้อยหยวน อีกอย่างฉันก็ได้ค่านายหน้าจากการขายครั้งนี้มากทีเดียว” เว่ยเจียงจื่อพูดออกมาอย่างเกรงใจ เธอไม่ติดว่าลูกค้าจะซื้อแบบไม่ต่อรองราคาแบบนี้ ความจริงราคานี้สามารถลดจากค่านายหน้าของเธอได้อีกนิดหน่อย“ไม่มากเกินไปหรอกค่ะ รับไปเถอะ ขอบคุณมากที่ต้อนรับเราสามคนอย่างดี โดยไม่สนใจว่าพวกเราจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน คุณเป็นคนดีจริง ๆ ที่ไม่ตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก สมควรที่จะได้เงินหนึ่งร้อยหยวนนี้เป็นการตอบแทนแล้วค่ะ”หลี่ชิงเหยาตอบกลับเสียงดัง ก่อนจะปรายตามองพนักงานคนแรกเล็กน้อย“ขอบคุณนะคะ พวกคุณรอ
บทที่ 30 ซื้อบ้านและร้านค้าหลี่เหวินและหยางเฟยหลงเห็นท่าทางและสายตาแบบนั้นก็เตรียมจะพูดให้ชัดเจน แต่กลับถูกหลี่ชิงเหยายกมือห้ามไว้ก่อน จากนั้นเธอจึงไม่คิดเกรงใจพนักงานคนนี้อีก จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ซื้อได้หรือไม่นั้น คุณให้พวกเราดูบ้านก่อนสิ ยังไม่ทันรู้ราคาเลย แล้วบอกว่าเราไม่มีปัญญาซื้อได้อย่างไร”“จะดูทำไมให้เสียเวลา ใส่เสื้อผ้าแบบนี้หรือจะมีปัญญาซื้อบ้าน!” พนักงานสาวคนนี้ยังคงพูดจาดูถูกและเหยียดหยามทั้งสามคนไม่หยุด แถมยังแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียดอีกด้วยคราวนี้หลี่ชิงเหยาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอนำเงินมาซื้อบ้าน แต่ไม่คิดว่าพนักงานสาวคนนี้จะมาทำกิริยาแบบนี้ใส่ จึงทำท่าจะสวนกลับไปอย่างเจ็บแสบแต่ยังไม่ทันที่จะพูดสวนอะไรออกไป พนักงานอีกคนที่เคยขายโกดังให้กับหลี่เหวินก็เดินเข้ามาพอดี“อ้าว สวัสดีค่ะคุณหลี่ คุณหยาง”” พนักงานสาวคนนี้ทักทายชายหนุ่มทั้งสองออกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นกันเอง“สวัสดีครับคุณเว่ย” หลี่เหวินเห็นว่าเป็นพนักงานสาวที่เคยขายโกดังให้ตนเอง ก็ทักทายกลับไปอย่างเป็นกันเอง โดยที่หยางเฟยหลงก็พยักหน้ารับการทักทายเท่านั้น“รู้จักกันเหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็จัดก
บทที่ 29 พูดจาเรื่องแต่งงาน“ในเมื่อทุกคนตกลงในเรื่องนี้แล้ว ฉันกับพี่เฟยหลงมีอีกเรื่องจะพูดกับทุกคน” คราวนี้หลี่ชิงเหยาพูดขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อย พูดจบก็หันมาสบสายตากับคนรัก ก่อนที่ทั้งสองจะจับมือกันแน่น แล้วหยางเฟยหลงจึงได้พูดบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่า“ผมกับชิงเหยาตั้งใจว่าจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ผมอาจจะไม่มีเงินมาสู่ขอเธอเหมือนคนอื่น แต่ผมคิดว่าความรักที่ผมมีให้เธอนั้นมากมายกว่าเงินทอง และผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ชิงเหยาต้องเสียน้ำตาเพราะผมเด็ดขาด ย่าหลี่ พ่อ แม่ ได้โปรดอนุญาตให้เราแต่งงานกันด้วยนะครับ” ชายหนุ่มพูดยืนยันหนักแน่น พร้อมกับมองทุกคนอย่างขอความเห็นใจ“ในเมื่อตัดสินใจกันแล้ว พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ดีเสียอีกจะได้มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วตั้งใจว่าจะแต่งงานกันวันไหนล่ะ”หลี่หยวนได้ยินและได้เห็นท่าทางจริงจังนั้นก็พยักหน้ายอมรับ การที่หยางเฟยหลงกล้ามาพูดจาเรื่องสู่ขอนั้น เขาเชื่อว่าลูกสาวได้พูดคุยกับอีกฝ่ายมาแล้ว ในเมื่อลูกสาวยินยอม เขาก็พร้อมจะสนับสนุน“ความตั้งใจของฉันคืออยากจดทะเบียนสมรสก่อนเลยค่ะ ฉันยังไม่อยากมีงานแต่ง ขอแค่กินเลี้ยงภายในค