หลี่หยวนปาดน้ำตาเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหลี่ชิงเหยาเปลี่ยนไปและโตขึ้นแล้วจริง ๆ ส่วนหลี่เหวินไม่คิดว่าน้องสาวจะพูดคำนี้ออกมาก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน ชายหนุ่มมองหน้าน้องสาวด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นอะไรหรอก แค่นี้พี่ยังไหว งานไม่ได้หนักอะไรเลย”
“พี่อย่ามาโกหก มือพี่ทั้งหยาบกร้านและพองแบบนั้น วันนี้คงยกของหนักมาใช่ไหม เชื่อฉันเถอะนะ พ่อ พี่ใหญ่” เธอพูดออกมาอย่างจริงจังและมองพ่อกับพี่ชายอย่างขอร้อง
“แม้ว่าการขายไข่ต้มชาจะเป็นกิจการเล็ก ๆ ที่ใครหลายคนมองข้าม แต่ฉันเชื่อว่าสักวันเราจะต้องลืมตาอ้าปากได้ ดีกว่าให้พี่ใหญ่และพ่อทำงานหนักแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เชื่อฉันนะคะ” เธอพูดย้ำอีกที
“เอาเถอะ หากหลานบอกว่าดี ย่าก็ว่าดี แล้วไข่ต้มชาที่หลานบอกจะต้องใช้เงินทุนเยอะไหม ย่าพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง เอาเงินของย่าไปก่อนนะ” หญิงชราพูดขึ้นมาอย่างใจดี เพราะไม่ต้องการขัดใจหลานสาว เลยคิดจะไปเอาเงินเก็บออกมาให้หลานสาวนำไปลงทุน แต่กลับโดนลูกชายอย่างหลี่หยวนห้ามไว้เสียก่อน
“ไข่แผงละไม่เท่าไรหรอก ห้าหยวนน่าจะพออยู่นะครับแม่ เดี๋ยวเอาเงินที่ฟางเหนียงเถอะ”
หลี่หยวนพูดขึ้นมาอย่างเกรงใจ เนื่องจากบ้านหลี่มีแค่
ย่าหลี่เท่านั้น และนางก็เคยบอกว่าเงินของทุกคนที่หามาได้ไม่ต้องนำเข้ากองกลางเพื่อเป็นกงสี แต่ลูกชายกับหลานชายเมื่อหาเงินได้ ก็มักจะแบ่งให้หญิงชราของบ้านเสมอนางจึงมีเงินเก็บอยู่ไม่น้อย แต่หลี่หยวนคิดว่าในเมื่อเรื่องนี้ลูกสาวอยากทำกิจการของตัวเอง เขาจึงจะเอาเงินของตัวเองที่หามาได้ให้กับลูกสาวเพื่อไปลงทุนจะดีกว่า“ห้าหยวนก็เยอะพอแล้วค่ะพ่อ พรุ่งนี้ฉันจะไปลองดูว่าถ้าจะซื้อไข่สามสิบฟองต้องใช้เงินเท่าไร พวกสมุนไพรและของที่ต้องใช้ในการปรุงก็คงราคาไม่เหมา” หญิงสาวพูดออกมาหลังจากลองคำนวณดูอยู่ในใจ เงินห้าหยวนสำหรับการลงทุนยังไงก็พอ เนื่องจากตอนนี้ไข่ไก่ไม่ได้แพงเหมือนช่วงก่อนปรับเปลี่ยนประเทศ
“เงินห้าหยวนที่พ่อให้มา น่าจะซื้อของได้ไม่น้อยเลยทีเดียวนะคะ” หญิงสาวพูดย้ำอีกทีเมื่อทุกคนมองมาเหมือนไม่แน่ใจ
“เอาเถอะ ห้าหยวนก็ห้าหยวน ไม่ว่าลูกอยากจะทำอะไร พ่อและทุกคนในบ้านก็ยินดีที่จะช่วยและสนับสนุนลูกเสมอ”
หลี่หยวนพยักหน้าตอบรับอย่างพึงพอใจ ในเมื่อนี่คือความต้องการของลูกสาว เขาก็พร้อมจะให้เงินลูกไปทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าเงินนั้นจะจำนวนเท่าไร ขอแค่ให้ลูกมีความสุขก็พอ อีกอย่างสองพี่น้องจะได้ช่วยกันทำงานและสร้างตัวไปด้วยกัน
“พี่ใหญ่ พี่ต้องช่วยฉันด้วยนะ เพราะเราต้องเข็นรถเข้าเมืองไปขายที่หน้าโรงงาน หรือไม่ก็ไปขายที่ตลาดนัด หรือพี่อยากให้น้องสาวตัวเล็ก ๆ แถมยังบอบบางอย่างฉันไปขายของเพียงลำพัง”
หญิงสาวพูดกับพี่ชายพร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ อย่างออดอ้อนให้กับเขาด้วย ที่เธออยากให้เขาไปช่วย ก็เพราะเธอมองว่าหากขายของหมดในแต่ละวัน อาจจะได้กำไรมากกว่าที่พี่ชายต้องไปรับจ้างขนของที่ตลาดมืดเสียอีก อีกอย่างเธอไม่อยากให้เขาทำงานหนักอีกแล้ว
หลี่เหวินสบตาของน้องสาว เขาเห็นประกายตาของเธอดูจริงจังมาก จึงพยักหน้าให้พร้อมกับตอบรับ
“อืม พี่จะช่วยเธอเอง”
พอได้ยินอย่างนั้น หลี่ชิงเหยาก็ยิ้มกว้างออกมาอย่างพึงพอใจ ที่คำตอบจากพี่ชายอย่างที่ตนเองต้องการ
“ขอบคุณนะคะ เอานี่ ฉันคีบปลาให้พี่นะ” หญิงสาวขอบคุณด้วยรอยยิ้มและคีบอาหารใส่จานให้พี่ชายอย่างประจบเอาใจ
“เธอก็กินเยอะ ๆ ต่อไปจะต้องเป็นเถ้าแก่เนี้ยแล้วนะ”
หลี่เหวินคีบอาหารให้น้องสาวและพูดกับเธออย่างหยอกล้อจากนั้นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็มีแต่เสียงพูดคุยอย่างอบอุ่นสลับกับเสียงหัวเราะจากทุกคน
หลังจากจบอาหารมื้อเย็น หญิงสาวจึงเดินออกมานั่งรับลมที่หน้าบ้าน โดยมีหลี่เหวินเดินตามออกมาด้วย สองพี่น้องเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่มีใครพูดคุยอะไรอยู่พักใหญ่ สุดท้ายแล้วก็เป็นหลี่เหวินที่ถามขึ้นมาก่อน
“เรื่องทำการค้านั่น น้องมั่นใจแล้วใช่ไหม ไม่ใช่พี่ไม่เชื่อใจเธอนะ แต่เมื่อลงทุนแล้วจะล้มเลิกกลางคันไม่ได้”
“ฉันเข้าใจพี่นะพี่ใหญ่ และรู้ดีว่าเงินห้าหยวนสำหรับบ้านเรานั้นมันสำคัญมาก แต่พี่เชื่อใจฉันได้เลย ฉันไม่มีทางเอาเงินก้อนนี้ไปละเลงกับแม่น้ำเด็ดขาดให้มันสูญเปล่า ตอนนี้พี่อาจจะไม่เชื่อทั้งหมด แต่ในไม่ช้านี้ ฉันจะทำให้เห็นเอง” หญิงสาวพูดออกไปอย่างมั่นใจอีกครั้ง
เธอไม่คิดโกรธเคืองพี่ชายเลยที่เขายังไม่เชื่อใจเธอในตอนนี้ เพราะร่างเดิมทำร้ายคนในครอบครัวขณะนั้น จะให้มาเชื่อถือคำพูดของเธอเพียงแค่ชั่วข้ามคืนคงเป็นไปไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอจะทำให้พวกเขาเห็นเองว่า หลี่ชิงเหยาคนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
“พี่ดีใจนะที่น้องสาวของพี่โตเสียที พี่ไปพักก่อนนะ”
เขาพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลูบศีรษะเธอเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปเพื่อพักผ่อน เนื่องจากวันนี้เหนื่อยจากการทำงานมามากพอสมควรส่วนหลี่ชิงเหยานั้นยังนั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่ตรงนี้อีกพักใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าบ้านไปเหมือนกัน
เมื่อกลับเข้ามาในห้องตัวเอง เธอก็พบกับสร้อยข้อมือถักที่ชายชราคนนั้นมอบให้วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
“เอ๊ะ!! นั่นมันสร้อยข้อมือที่ลุงคนนั้นมอบให้นี่นา ทำไมถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะ” เธอพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจ
‘สร้อยนี่ฉันได้มันมาตั้งแต่อยู่ในอีกชาติภพนี่ จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือว่ามันจะตามฉันมาด้วย’ เธอคิดสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็หยิบมันขึ้นมาดูแล้วก็ใส่ไว้ที่ข้อมือข้างซ้ายเหมือนเดิม
ขณะนั้นเธอก็ลูบสร้อยถักอย่างผ่อนคลายพร้อมกับคิดในใจว่า ‘ถ้าฉันมีห้างสรรพสินค้าเหมือนนางเอกนิยายคนอื่นๆ ก็ดีน่ะสิ’ จากนั้นเธอก็ต้องประหลาดใจเมื่อมีแสงสว่างส่องจ้าเข้ามาทำให้แสบตา จนเธอต้องหลับตาลง พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่าตนเองยืนอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
“เอ๊ะ นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย ทำไมเหมือนห้างสรรพสินค้าที่ฉันเคยเดินไปซื้อของบ่อย ๆ ในยุคที่จากมาเลยล่ะ” เธอหันมองไปรอบๆ แล้วพูดกับตัวเองอย่างแปลกใจ
ไม่รอให้ตัวเองสงสัยนาน หลี่ชิงเหยาจึงเดินผ่านประตูไปเพื่อสำรวจห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ทำให้คิดว่านี่คือมิติของตัวเองที่คงจะได้รับเหมือนนางเอกในนิยายที่เคยอ่าน
“แบบนี้ก็ดีมากเลยน่ะสิ การค้าที่จะทำไม่ต้องมีต้นทุน ต่อไปนี้ฉันจะทำให้ทุกคนอยู่ดีกินดีได้อย่างแน่นอน ว่าแต่ในห้างสรรพสินค้ามีรถเข็นขายของไหมนะ”
หญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างดีใจ ก่อนจะเดินมองหาทั่วทั้งห้าง เพราะต้องการรถเข็นขายของเอามาไว้เปิดร้านขายของ แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ
“เห้อ ห้างใหญ่ขนาดนี้แต่ไม่มีรถเข็นขายของนี่นะ เรื่องนี้คงต้องให้พ่อกับพี่ชายทำให้แล้วล่ะ” หญิงสาวถอนหายใจออกมาก่อนจะบ่นกับตัวเองเบา ๆ และมองไปรอบๆ อีกครั้ง จนสะดุดตาเข้ากับของบางอย่างก็รีบปรี่เข้าไปหาทันที
“เอ๊ะนี่มันรถจักรยานนี่ ถ้าเอาออกไปใช้จะมีปัญหาหรือเปล่านะ โอ๊ะ สามล้อก็มีด้วย เอาสามล้อออกน่าจะสะดวกกว่า
ทำได้ทั้งขนของและอาจจะทำเป็นร้านขายของได้เลยนะเนี่ย” หญิงสาวดวงตาเบิกกว้างเมื่อมองไปเห็นรถจักรยานและรถสามล้อ จึงคิดว่าน่าจะเอาทั้งสองอย่างออกไปใช้จากนั้นเธอก็ลองเข้าออกมิติและเอาของออกมาหลายครั้งซึ่งวิธีการก็ไม่ยาก แค่เธอลูบไปที่สร้อยถักแล้วนึกถึง เธอก็จะเห็นประตูห้างสรรพสินค้าอยู่ตรงหน้า พอเดินเข้าไปก็จะเหมือนเธอเดินอยู่ในห้างที่ไม่มีผู้คนแต่มีสินค้าอยู่เต็มไปหมด เวลากลับก็แค่เดินผ่านประตูห้างกลับมาก็จะมาอยู่ในสถานที่ที่เธอเดินเข้าไป ส่วนการนำสิ่งของออกจากมิติ ก็แค่เธอจับสร้อยไว้แล้วหลับตาลงนึกสิ่งที่อยากได้ สิ่งนั้นก็จะมาวางอยู่ตรงหน้าเธออย่างง่ายดาย
หญิงสาวกำลังละสายตากับของที่คิดว่าจะเอาออกมาเพื่อทำการค้าได้ แต่ก็คิดอะไรขึ้นมาจึงพูดออกมาคล้ายปรึกษากับตัวเอง “แต่เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าฉันเอาของออกไปแบบนี้ ทุกคนจะต้องสงสัยแน่เลย หรือว่าต้องบอกความจริงเรื่องนี้กับครอบครัวกันนะ”
นี่คือปัญหาใหญ่ที่หลี่ชิงเหยาคิดไม่ตก ถ้าหากไม่บอกกับครอบครัว ก็คงจะหาข้ออ้างที่ดีไม่ได้ ที่จะเอาของหลายสิ่งหลายอย่างออกมาไม่ได้แน่
“ฉันจะทำอย่างไรดีกับปัญหานี้ หรือจะบอกกับพี่ใหญ่ก่อนดี” หญิงสาวเดินวนไปวนมาแล้วพูดกับตัวเองไปด้วย
สุดท้ายแล้วเธอก็คิดถึงพี่ชายเป็นคนแรก ทั้งนี้ก็เพราะ
วัยใกล้เคียงกันและเธอได้ชักชวนเขามาทำการค้าด้วยกันแล้ว เขาจึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่เธอจะยอมเปิดเผยความจริงเรื่องมิติ จากนั้นก็อาจจะบอกทุกคนในครอบครัวหลี่ชิงเหยาไม่รู้จะขจัดปัญหานี้อย่างไร จึงได้ออกมาจากมิติก่อน แล้วค่อยคิดวิธีที่จะบอกกับครอบครัวในวันพรุ่งนี้
เช้าวันต่อมา…
เช้าวันนี้หญิงสาวตัดสินใจเอาเนื้อออกมาหนึ่งชิ้น เพื่อมาทำอาหารให้ทุกคนได้กิน เมื่อได้กลิ่นเนื้อโชยมา คนในบ้านต่างพากันแปลกใจไม่น้อย เพราะทุกคนรู้ดีว่าไม่มีใครซื้อเนื้อกลับมา
“อาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ ทุกคนมากินข้าวเช้ากันได้แล้ว” หลี่ชิงเหยาตะโกนบอกทุกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับโบกมือเรียกทุกคนให้มานั่งรวมกัน
“นี่มันอาหารจานเนื้อนี่ ใครไปซื้อเนื้อมาทำอาหารกันเหรอ” หลี่เหวินถามขึ้นมาอย่างสงสัย ปกติเหมือนเขาจะไม่สนใจอะไรมากนัก แต่เรื่องภายในบ้านเขาก็จำทุกอย่างได้ดี
“นั่นน่ะสิ เมื่อวานบ้านเรามีแค่ปลาในการทำอาหาร แล้วเช้านี้จะใครไปซื้อเนื้อมาตอนไหน ถึงได้มีอาหารจานเนื้อในบ้านเรา” ย่าหลี่เองก็ถามขึ้นมาอย่างแปลกใจและสงสัยว่า ทำไมวันนี้ถึงมีเนื้อในบ้าน ทั้งที่ไม่ได้ไปซื้อกับข้าวมาตุนไว้
“ทุกคนกินอาหารกันให้เสร็จก่อนเถอะค่ะ ฉันมีเรื่องจะบอก แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นความลับสำหรับครอบครัวเราได้ไหม” หลี่ชิงเหยาพูดออกมาอย่างสดใส
หลังจากนอนคิดทั้งคืนแล้ว เธอจึงตัดสินใจได้แล้วว่าเธอจะบอกทุกคนในครอบครัวเรื่องมิติ เพราะเธอรู้ว่าแม้หลี่ชิงเหยาคนเดิมจะร้ายกาจและขี้เกียจขนาดไหน แต่ทุกคนก็รักเธอมาก ในเมื่อตอนนี้เธอเป็นหลี่ชิงเหยาแล้ว เธอก็จะทำดีกับทุกคนเพื่อให้พวกเขารักเธอเหมือนกัน
ส่วนทั้งสามคนนั้น พอเจอคำพูดนี้ของหญิงสาวเข้าไปก็แทบจะกินอะไรไม่ลงเลยเพราะเริ่มกังวลใจเล็กน้อย
“มีอะไรก็พูดมาเถอะลูก อย่าทำให้พวกเราทุกคนเป็นกังวลเลยนะ เกิดอะไรกับชิงเหยาหรือเปล่า” หลี่หยวนถามขึ้นมาอย่างไม่สบายใจ เขาอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนกินข้าวเสียอีก แม้ว่าอาหารตรงหน้าจะเป็นจานเนื้อก็ตาม เนื่องจากดูท่าทางของลูกสาวแล้วเธอดูเป็นกังวลไม่น้อย
“ทุกคนฟังฉันนะคะ เมื่อคืนฉันกลับเข้าไปในห้องแล้วเจอของบางอย่าง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติมาก ๆ พ่อ แม่ ย่า พี่ใหญ่ หากฉันทำอะไรที่แปลกประหลาดให้ดู ทุกคนจะกลัวฉันไหม” เธอได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยๆ ถามออกมา เธอยังไม่กล้าบอกทั้งหมดเพราะกลัวว่าทุกคนจะรังเกียจและกลัวตนเอง
“ชิงเหยาจำไว้นะ ไม่ว่าหลานจะเป็นอะไร ชิงเหยาก็ยังเป็นหลานย่าอยู่เสมอนะลูก บอกย่าและทุกคนมาเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น หากเป็นเรื่องร้ายแรง พวกเราจะได้รีบช่วยกันหาทางแก้กันอย่างไรล่ะ” ย่าหลี่ยกมือขึ้นลูบศีรษะหลานสาวเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจใช้มือจับที่สร้อยถักพร้อมกับหลับตาลงแล้วนึกถึงเนื้อหมูสามชั้น จากนั้นก็มีเนื้อหมูมาวางอยู่ตรงหน้าของเธอและทุกคน
“โอ้...มันเกิดขึ้นได้อย่างไรชิงเหยา บอกพี่ได้ไหม พี่สัญญาว่าเรื่องนี้จะไม่มีใครรู้เด็ดขาด นอกจากพวกเราในครอบครัว” หลี่เหวินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ เขากล้าสาบานต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ให้คนอื่นได้รับรู้เด็ดขาด เขารู้ดีว่านี่คืออันตรายมากที่สุดสำหรับน้องสาวตนเอง หากมีคนอื่นรู้ความลับนี้
“ใช่ ๆ ย่าก็อยากรู้” ย่าหลี่พูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“แม่ก็อยากรู้” ฟางเหนียงก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“บอกพวกเรามาเถอะ พ่อสาบานว่าจะไม่ปริปากบอกใครในเรื่องนี้ ถ้าผิดคำพูดขอให้...”หลี่หยวนถึงกับพูดออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นสาบานเลยทีเดียว แต่เขายังพูดไม่จบก็ถูกลูกสาวจับมือลงและพูดแทรกขึ้นเสียงก่อน
“ไม่ต้องสาบานอะไรหรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าทุกคนจะไม่ทรยศฉัน ทุกคนจะช่วยปกป้องฉันใช่ไหมคะ” เธอถามออกไปอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ
“ใช่ พวกเราจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับไว้จนสิ้นลมหายใจ” หลี่เหวินพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่นจริงจัง
ส่วนคนอื่น ๆ ในบ้านก็พยักหน้าสนับสนุนคำพูดของลี่เหวิน ทุกคนยินดีที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยของหลี่ชิงเหยา
บทส่งท้าย ฉันไม่ใช่นางร้ายที่โง่เขลาอีกแล้วหนึ่งเดือนต่อมา...วันนี้คือฤกษ์ดีของบ้านหลี่และบ้านหยาง แม้ว่าการย้ายเข้าบ้านใหม่นั้นจะเอาฤกษ์ที่สะดวก แต่สำหรับการเปิดร้านค้าทั้งสองร้านนั้น ย่าหลี่บอกว่าต้องดูวันที่ฤกษ์ดี ๆ เสียหน่อยเพื่อความเจริญรุ่งเรือง เลยทำให้วันนี้เป็นวันเปิดร้านทั้งสองของพวกเขาวันนี้นายท่านเจียงถูกเชิญมาเป็นแขกผู้มีเกียรติ“ยินดีด้วยนะเฟยฟลง ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง หากมีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยเหลือก็ไปบอกได้เลย ฉันถือนายเป็นน้องชายคนหนึ่ง หากใครคิดจะมีเรื่องกับนาย ก็เท่ากับมีเรื่องกับฉันด้วย”นายท่านเจียงพูดอวยพรเสียงดัง จากนั้นก็ส่งของขวัญให้หลี่ชิงเหยา“ขอบคุณครับพี่เจียง” หยางเฟยหลงพูดขอบคุณและเรียกอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเองนั่นทำให้เหล่าบรรดาพ่อค้าที่พอจะมีอิทธิพลและเส้นสาย ที่ตั้งใจจะกลั่นแกล้งร้านที่เปิดใหม่กลับต้องหน้าเสีย เพราะไม่คิดว่าเจ้าของร้านเปิดใหม่แห่งนี้ จะรู้จักกับนายท่านเจียงด้วยหลังจากนั้นไม่นานนายท่านเจียงก็เดินทางกลับไปทันที เพราะคนอย่างเขาไม่ปรากฏตัวอยู่ข้างนอกนานเกินความจำเป็นหลังจากนายท่านเจียงกลับไปไม่นาน ก็มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินเข้ามาแส
บทที่ 33 ในที่สุดพระเอกก็มีจุดจบหน้าหมู่บ้าน อี้หยางตงรีบมาที่จุดนัด ตอนนี้เขาแค้นใจมากเพราะรู้ข่าวว่าหลี่ชิงเหยาได้จดทะเบียนสมรสกับหยางเฟยหลงแล้ว“หึ แอบไปจดทะเบียนกันโดยไม่สนใจฉัน ต่อไปก็ไม่จำเป็นที่จะต้องการรักษาน้ำใจเธออีกแล้วนะชิงเหยา เป็นแบบนี้ฉันก็ไม่ต้องปิดบังแล้วเหมือนกันว่าที่ฉันอยากได้เธอมาก็เพราะเงินของเธอ และหากว่าเธอตกเป็นของฉันแล้ว ฉันจะบังคับให้เธอหย่าแล้วมาแต่งกับฉัน แล้วฉันรีดไถเงินมาใช้ให้หมดเลย”อี้หยางตงพูดออกมาอย่างแค้นใจ เขาตั้งใจว่าเมื่อแผนการทุกอย่างจบสิ้นลง เขาจะให้หลี่ชิงเหยาหย่าขาดจากหยางเฟยหลงแล้วมาแต่งงานกับเขาแทน “ว่ายังไง พวกนั้นมาหรือยัง” ตงหมิ่งถามอี้หยางตงเมื่อเห็นเขามาถึงจุดนัดพบแล้ว“พวกมันออกมาจากหมู่บ้านกันแล้ว ว่าแต่พวกนายรู้ได้อย่างไรว่าพวกมันจะมาย้ายออกจากหมู่บ้านวันนี้” อี้หยางตงตอบกลับไป และขมวดคิ้วอย่างสงสัยจนอดที่จะถามไม่ได้ว่าคนพวกนี้รู้ได้อย่างไรว่าบ้านหลี่และบ้านหยางจะย้ายบ้านวันนี้“การสืบข่าวเรื่องแค่นี้ไม่ยากสำหรับฉัน หากฝีมือพวกฉันไม่มีดี จะกล้ารับค่าจ้างแพง ๆ ได้อย่างไรกันล่ะ” ตงหมิ่งพูดขึ้นมาอย่างโอ้อวด เขาพยายามพูดเบี่ยงเบนไป
บทที่ 32 ชี้เป้าหมายหลี่ชิงเหยามองหนังสือรับรองการจดทะเบียนด้วยตาเป็นประกาย เธอไม่คิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสแต่งงานจดทะเบียนเหมือนคนอื่น ก่อนจะเงยหน้ามองสามีหมาด ๆ ด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น“เราแต่งงานกันแล้วนะคะสามี” หญิงสาวพูดออกไปอย่างหยอกเย้าพอได้ยินอย่างนั้น หยางเฟยหลงยิ้มเขินเล็กน้อย พร้อมกับใบหูที่แดงเถือก ก่อนจะพูดออกไปอย่างอบอุ่นไม่ต่างกัน“ครับภรรยา พี่รักชิงเหยานะครับ”“ฉันก็รักพี่ค่ะ” หลี่ชิงเหยายิ้มหวานให้สามีพร้อมกับคำบอกรักทั้งสองต่างสบตาให้กันอย่างมีความหมาย แม้ว่าตอนนี้ทั้งสองจะไม่มีงานแต่งงานก็ตาม“พี่ไม่คิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่พี่ได้ครองรักกับชิงเหยา พี่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด และขอบคุณภรรยาที่รักและยอมให้ชายคนนี้ดูแล ทั้งที่พี่ไม่มีอะไรเลย” เขาบอกเธออย่างอบอุ่นส่วนหลี่ชิงเหยาเองก็คิดในใจว่า‘ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้แต่งงานกับตัวประกอบของนิยายเรื่องนี้ที่อ่านไม่จบ หวังว่าสุดท้ายแล้วต่อจากนี้ ชีวิตของฉันและเขา รวมถึงครอบครัวจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่มีอะไรมากวนใจอีกแล้วนะ’แต่เธอตอบคนรักกลับไปอย่างอ่อนโยนว่า“ฉันไม่ได้มองคนที่เงินทองหรือว่าฐานะ และต้องขอโทษด้วยที่ก
บทที่ 31 วางแผนคิดร้าย“นี่ค่ะเงิน ลองนับดูนะคะว่าครบหรือเปล่า” เธอบอกด้วยใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม พอพนักงานรับเงินมานับ แล้วเห็นว่าเงินเกินมาหนึ่งร้อยหยวนจึงคืนให้อย่างซื่อสัตย์ พร้อมกับพูดว่า “คุณจ่ายเงินเกินมาหนึ่งร้อยหยวนค่ะคุณลูกค้า นี่คะ ฉันคืนให้นะคะ”หลี่ชิงเหยาเห็นแบบนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะรู้ว่าคนคนนี้เป็นคนที่ใช้ได้คนหนึ่ง มีทั้งความจริงใจและความซื่อสัตย์“ไม่เป็นไรค่ะ เงินส่วนนี้ฉันให้กับคุณเป็นพิเศษค่ะ”หลี่ชิงเหยาตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“แต่มันมากเกินไปนะคะ เงินตั้งหนึ่งร้อยหยวน อีกอย่างฉันก็ได้ค่านายหน้าจากการขายครั้งนี้มากทีเดียว” เว่ยเจียงจื่อพูดออกมาอย่างเกรงใจ เธอไม่ติดว่าลูกค้าจะซื้อแบบไม่ต่อรองราคาแบบนี้ ความจริงราคานี้สามารถลดจากค่านายหน้าของเธอได้อีกนิดหน่อย“ไม่มากเกินไปหรอกค่ะ รับไปเถอะ ขอบคุณมากที่ต้อนรับเราสามคนอย่างดี โดยไม่สนใจว่าพวกเราจะใส่เสื้อผ้าแบบไหน คุณเป็นคนดีจริง ๆ ที่ไม่ตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก สมควรที่จะได้เงินหนึ่งร้อยหยวนนี้เป็นการตอบแทนแล้วค่ะ”หลี่ชิงเหยาตอบกลับเสียงดัง ก่อนจะปรายตามองพนักงานคนแรกเล็กน้อย“ขอบคุณนะคะ พวกคุณรอ
บทที่ 30 ซื้อบ้านและร้านค้าหลี่เหวินและหยางเฟยหลงเห็นท่าทางและสายตาแบบนั้นก็เตรียมจะพูดให้ชัดเจน แต่กลับถูกหลี่ชิงเหยายกมือห้ามไว้ก่อน จากนั้นเธอจึงไม่คิดเกรงใจพนักงานคนนี้อีก จึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ซื้อได้หรือไม่นั้น คุณให้พวกเราดูบ้านก่อนสิ ยังไม่ทันรู้ราคาเลย แล้วบอกว่าเราไม่มีปัญญาซื้อได้อย่างไร”“จะดูทำไมให้เสียเวลา ใส่เสื้อผ้าแบบนี้หรือจะมีปัญญาซื้อบ้าน!” พนักงานสาวคนนี้ยังคงพูดจาดูถูกและเหยียดหยามทั้งสามคนไม่หยุด แถมยังแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียดอีกด้วยคราวนี้หลี่ชิงเหยาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เธอนำเงินมาซื้อบ้าน แต่ไม่คิดว่าพนักงานสาวคนนี้จะมาทำกิริยาแบบนี้ใส่ จึงทำท่าจะสวนกลับไปอย่างเจ็บแสบแต่ยังไม่ทันที่จะพูดสวนอะไรออกไป พนักงานอีกคนที่เคยขายโกดังให้กับหลี่เหวินก็เดินเข้ามาพอดี“อ้าว สวัสดีค่ะคุณหลี่ คุณหยาง”” พนักงานสาวคนนี้ทักทายชายหนุ่มทั้งสองออกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเป็นกันเอง“สวัสดีครับคุณเว่ย” หลี่เหวินเห็นว่าเป็นพนักงานสาวที่เคยขายโกดังให้ตนเอง ก็ทักทายกลับไปอย่างเป็นกันเอง โดยที่หยางเฟยหลงก็พยักหน้ารับการทักทายเท่านั้น“รู้จักกันเหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็จัดก
บทที่ 29 พูดจาเรื่องแต่งงาน“ในเมื่อทุกคนตกลงในเรื่องนี้แล้ว ฉันกับพี่เฟยหลงมีอีกเรื่องจะพูดกับทุกคน” คราวนี้หลี่ชิงเหยาพูดขึ้นมาอย่างเขินอายเล็กน้อย พูดจบก็หันมาสบสายตากับคนรัก ก่อนที่ทั้งสองจะจับมือกันแน่น แล้วหยางเฟยหลงจึงได้พูดบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังว่า“ผมกับชิงเหยาตั้งใจว่าจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด ผมอาจจะไม่มีเงินมาสู่ขอเธอเหมือนคนอื่น แต่ผมคิดว่าความรักที่ผมมีให้เธอนั้นมากมายกว่าเงินทอง และผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ชิงเหยาต้องเสียน้ำตาเพราะผมเด็ดขาด ย่าหลี่ พ่อ แม่ ได้โปรดอนุญาตให้เราแต่งงานกันด้วยนะครับ” ชายหนุ่มพูดยืนยันหนักแน่น พร้อมกับมองทุกคนอย่างขอความเห็นใจ“ในเมื่อตัดสินใจกันแล้ว พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ ดีเสียอีกจะได้มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นครอบครัวเดียวกัน แล้วตั้งใจว่าจะแต่งงานกันวันไหนล่ะ”หลี่หยวนได้ยินและได้เห็นท่าทางจริงจังนั้นก็พยักหน้ายอมรับ การที่หยางเฟยหลงกล้ามาพูดจาเรื่องสู่ขอนั้น เขาเชื่อว่าลูกสาวได้พูดคุยกับอีกฝ่ายมาแล้ว ในเมื่อลูกสาวยินยอม เขาก็พร้อมจะสนับสนุน“ความตั้งใจของฉันคืออยากจดทะเบียนสมรสก่อนเลยค่ะ ฉันยังไม่อยากมีงานแต่ง ขอแค่กินเลี้ยงภายในค