บทที่ 4
“พี่นุ่มใจดำ พี่นุ่มใจร้าย พี่นุ่มเห็นแก่เงินจนลืมความรักความจริงใจของพี่กูล นิ่มอยากรู้นักว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันเป็นใคร”
“อาทิตย์หน้านิ่มได้รู้จักว่าที่พี่เขยของนิ่มแน่” อย่าว่าแต่น้องสาวเลยที่อยากเห็นชายหนุ่มคนนั้น แม้แต่เธอก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเขาแม้แต่ในรูปถ่าย เพราะไม่อยากพบอยากเห็นนั่นเอง แต่อาทิตย์หน้าก่อนที่จะถึงวันแต่งงาน ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายจะมีการนัดเจอกัน วันนั้นก็คงได้รู้จักกันเป็นครั้งแรก และอีกครั้งก็คือวันแต่งงานที่จะมีขึ้นหลังจากนั้นอีกสามวัน “เตรียมตัวทำความรู้จักเขาให้ดีก็แล้วกัน”
“นิ่มไม่อยากรู้จักเขา และขอบอกไว้เลยว่านิ่มจะไม่ญาติดีกับเขาด้วย”
“ถ้านิ่มอยากทำให้พ่อแม่และพี่เสียใจก็เชิญทำไปเลย เพราะนิ่มชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่แล้วนี่” โชติกากล่าวเสียงเครือและมีน้ำตาคลอเบ้า เจ็บปวดที่ต้องพูดจารุนแรงกับน้องสาวสุดที่รักเพียงคนเดียว เธอรีบหันหน้าหนีแล้วเดินจากไปก่อนที่น้ำตาจะไหลอาบแก้ม
“พี่นุ่ม” โชติรสเห็นแววเจ็บปวดในดวงตาคู่สวยของพี่สาวชัดเจน ขณะนั้นใจของเธอคิดทันทีว่าพี่สาวต้องมีความลับที่ปิดบังเอาไว้ แต่มันเรื่องอะไรกันล่ะ ที่ทำให้พี่สาวเธอถึงกับยอมแต่งงานกับคนที่ไม่เคยรู้จักกันง่าย ๆ แบบนี้ หรือว่ามันเกี่ยวกับตระกูล คิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบออกไปจากบ้าน เพื่อไปเค้นเอาความจริงจากคนรักของพี่สาว
ที่คอนโดของชายหนุ่มอนาคตไกลที่ชื่อตระกูล โชติรสได้แต่นั่งเป็นผู้ฟังที่ดี เมื่อเจ้าของห้องเอาแต่พูดเจื้อยแจ้วถึงพี่สาวของเธอไม่ยอมหยุด ทำให้เธอรู้ว่าเขายังไม่รู้เรื่องที่คนรักกำลังจะแต่งงานกับชายอื่น
“ทำไมพี่กูลไม่แวะไปที่บ้านบ้างเลยคะ” เธอเริ่มตั้งคำถามหยั่งเชิง และสงสัยว่าทำไมพี่สาวต้องโกหกเธอด้วย เธอกำลังปิดบังอะไรอยู่แน่
“ก็อยากจะไปเหมือนกันนะ แต่ช่วงนี้พี่ติดทำวิจัยสำคัญอยู่ แล้วพี่นุ่มก็ยุ่ง ๆ เรื่องงานที่จะร่วมทุนกับต่างชาติด้วย เราก็เลยได้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ เพราะยังไม่มีเวลาว่างตรงกัน” เขามองสาวน้อยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูด้วยความรักแบบบริสุทธิ์ใจ
คิ้วเรียวที่เรียงตัวสวยอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้เสริมแต่ง ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะคลายออกเพราะกลัวเขาจะสงสัย ฟังแค่นี้เธอก็รู้แล้วว่าพี่สาวยังรักชายหนุ่มผู้นี้อยู่ จึงได้ปกปิดเรื่องแต่งงานเอาไว้ และพวกเขาก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรกัน แล้วทำไม.. ทำไม...
“หนูนิ่มไม่เห็นพี่กูลแวะไปที่บ้าน ก็เลยคิดว่าพี่นุ่มกับพี่กูลมีปัญหากัน หนูนิ่มเลยแวะมาถามดูให้แน่ใจ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” เธออยากช่วยเขาจริง ๆ นะ แต่จะช่วยอย่างไร ในเมื่อเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังจะถูกทิ้ง
“พี่เนี่ยนะจะทะเลาะกับพี่นุ่มของเรา” เขาชี้ที่อกตัวเองแล้วกลั้วหัวเราะด้วยความขบขัน “พี่กับพี่นุ่มยังรักกันดีจ้ะหนูนิ่ม ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง”
“เป็นห่วงสิคะ เพราะหนูนิ่มไม่อยากได้คนอื่นเป็นพี่เขย นอกจากพี่กูลคนเดียว”
เขาหัวเราะพอใจกับคำตอบ “ขอบใจจ้ะ ว่าแต่ทำไมหนูนิ่มถึงมาถามเรื่องนี้กับพี่ล่ะ ทำไมไม่ถามกับพี่นุ่มเขา” ตระกูลตั้งคำถามด้วยความสงสัย
“คือ.. คือ..” เธอคิดหาคำตอบที่เหมาะที่ควร “คือหนูนิ่มกำลังงอนพี่นุ่มอยู่ค่ะ ก็เลยไม่อยากคุยด้วย”
คนที่นั่งฟังคลี่ยิ้มกว้าง ไม่แปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน เพราะรู้นิสัยขี้งอนของเธอดี “รอบนี้งอนพี่เขาเรื่องอะไรล่ะ”
“พี่นุ่มเขาพูดไม่ดีกับหนูนิ่มค่ะพี่กูล” เธอพูดไม่ดีจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ได้โกหก “แต่พี่กูลไม่ต้องถามพี่นุ่มนะคะ ไม่ต้องบอกเขาด้วยว่าหนูนิ่มมาที่นี่ นะคะพี่กูล”
“จ้ะ ไม่บอกก็ไม่บอก”
หญิงสาวในวัยยี่สิบคลี่ยิ้มพึงพอใจ เพราะเชื่อว่าเขาต้องรักษาสัญญา และเธอก็จะใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยนิด ทำให้พี่สาวเปลี่ยนใจให้ได้…
แต่ความตั้งใจของเธอก็ต้องพังลงอย่างไม่เป็นท่า เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านและขอคุยกับพี่สาวเป็นการส่วนตัวถึงในห้องนอน แต่ถูกย้อนกลับมาว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างเธอไม่ควรเข้ามายุ่ง และถูกไล่ออกจากห้องอย่างไม่ถนอมน้ำใจกันสักนิด
ดังนั้นในวันที่สองครอบครัวนัดพบกันในวันนี้ เธอจึงต่อต้านด้วยการไม่ไปร่วมงาน จึงไม่รู้ว่าว่าที่เจ้าบ่าวก็เบี้ยวนัดสำคัญนี้เหมือนกัน
และแล้ววันที่โชติรสไม่ปรารถนาจะให้เกิดก็มาถึงจนได้ งานแต่งงานเล็ก ๆ แบบเรียบหรูถูกเนรมิตขึ้นภายในคฤหาสน์อัครวัตร แขกที่ถูกเชิญให้มาร่วมงาน มีเพียงญาติและคนสนิทไม่กี่คนตามที่เจ้าสาวต้องการ แต่ภายในงานกลับไร้เงาของน้องเจ้าสาว
“เป็นอะไรของแกวะนิ่ม ถ้าไม่อยากนอนก็ลงไปจากเตียงเราเลย เราจะได้นอน” นวพลถามเพื่อนสนิทที่อยู่ในชุดนักศึกษา ที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยอนุบาล
“แฟรงค์!” ปรียากรถลึงตาใส่แฟนหนุ่มที่เป็นนักร้องขวัญใจวัยรุ่น แล้วมองหญิงสาวที่พลิกตัวไปมาอยู่บนที่นอนด้วยท่าทางกระสับกระส่าย “ปิ่นว่านิ่มทำไม่ถูกนะที่หนีมาแบบนี้ ถึงอย่างไรพี่นุ่มเขาก็เป็นพี่สาวนิ่มนะ” เธอคิดว่าเพื่อนกำลังสับสนจึงเอ่ยเตือน เผื่อบางทีหล่อนจะเปลี่ยนใจกลับไปร่วมงานแต่งงานของพี่สาว
“พี่นุ่มก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน ไม่ได้รักเขาแต่ไปแต่งงานกับเขา บ้าที่สุด”
“พี่นุ่มเขาก็คงมีเหตุผลของเขา”
“เหตุผลอะไร ทำไมไม่บอกให้ฉันรู้บ้างล่ะ ฉันจะได้เข้าใจเขาให้มากกว่านี้”
“เอางี้นะ” ชายหนุ่มที่นอนเท้าแขนอยู่ข้างเตียงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ แล้วเอาหมอนมากอด “สมมุติว่าคนที่ต้องแต่งงานวันนี้คือแก แกจะยอมแต่งไหม”
“เรื่องอะไรฉันจะยอม รักก็ไม่ได้รัก เห็นก็ไม่เคยเห็น เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ อ้อ ๆ ๆ มันเป็นฝรั่งเต็มตัว เพราะแม่ฉันเพิ่งบอกเมื่อวานนี้เอง ไอ้พวกฝรั่งหัวแดง ตาฟ้าตาเขียว ขนหน้าอกอย่างกับสนามหญ้า อี๋..” เธอเบ้ปากและเขย่าตัวด้วยความรู้สึกขยะแขยง “ฉันโคตรเกลียดเลยว่ะ”
“ก็แค่สงสัยว่ามันหายไปไหนหมด ทำไมถึงเหลือแค่นี้เอง” เธอแกล้งชูสองนิ้วประกบกันแล้วคลี่ยิ้มทะเล้น“มันไม่ได้หายไปไหนหรอก มันกำลังจะตื่นตามเจ้าของ” เขาไม่ได้ล้อเล่นแต่มันเป็นอย่างที่พูดจริง ๆ ทั้งหมดนี้ต้องโทษเธอที่กระตุ้นมัน ไม่อย่างนั้นมันก็คงได้นอนพักอีกสักสองสามชั่วโมงอยู่หรอก สิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ทำให้หญิงสาวที่มองเจ้าเอ็นน้อยพองตัวเป็นเอ็นยักษ์รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย และใจของเธอก็เริ่มเต้นรัวตามมา เมื่อเห็นมือใหญ่หยอกเย้ากับมันอย่างเอ็นดู “คุณหลงรักมันแล้วใช่ไหม” เขาถามเธอที่เอาแต่มองทั้งที่ใบหน้านั้นแดงก่ำด้วยความขัดเขิน “แน่นอน ก็มันทั้งน่ารักทั้งเก่ง” เธออายแต่ก็ยอมรับความจริง “ฉันรักมัน” “คนที่เก่งกว่าคือผมต่างหาก ถ้าคุณรักมันคุณก็ต้องรักเจ้าข
เมื่อมั่นใจว่าสะอาดเอี่ยมดีแล้วจึงหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาซับตัวให้แห้งแล้วชโลมครีมทาผิวทาจนทั่วเรือนร่าง ยืนทำใจด้วยความกระดากอายอยู่สักพักจึงตัดสินใจหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่ที่เล็กกว่าผืนแรกมาพันรอบกายอย่างหมิ่นเหม่ แล้วรีบเปิดประตูออกไปก่อนที่ความอายจะสั่งให้หยุดทำการยั่วยวนเขา เธอข่มความอายเดินไปหาเขาที่เตียง“คุณจะนอนแบบนี้เลยเหรอ”คนถูกถามรีบขยับตัวขึ้นนั่งด้วยหัวใจเต้นรัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ที่ติดมากับเรือนร่างระหงเกือบเปลือย ปลุกความกำหนัดที่เขาเพิ่งปลอบให้สงบตั้งชันขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว“ไปอาบน้ำสิ เสร็จแล้วจะได้มานวดขาให้ฉันหน่อย ตอนนี้ฉันปวดขามากเพราะยืนทำงานเกือบทั้งวัน” เขาเอาแต่มองจ้องไม่ยอมพูด เธอจึงพูดซะเอง“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับด้วยความตื่นเต้น ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกจากร่างแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ“ฟู่!” หญิงสาวผ่อนลมหายด้วยความโล่งอก ที่สามารถยั่วยวนเขาสำเร็จในขั้นแรก เธออาศัยเวลาที่เขากำลังอาบน้ำทาครีมลงบนใบหน้านวลและหวีผม พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติเหมือนตอนที่อยู่คนเดียว แต่เวลาผ่านไ
ได้ยินเพียงแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าใจของเธอตรงกับของเขาแล้ว เขาดีใจเหลือเกินที่ตัวเองเข้าใจเธอผิดไป“คิดถึงแล้วทำไมถึงหนีผมมาแบบนี้ล่ะยอดรัก รู้ไหมว่าผมรู้สึกสิ้นหวังแค่ไหนที่คุณหนีมาแบบนี้” แล้วจูบปากอวบอิ่มเพื่อให้มั่นใจว่าเธอคือสิ่งมีค่าที่สุดของเขาจริง ๆ “ใช่คุณจริง ๆ ด้วย” เขาทั้งจูบทั้งหอมเพื่อทดแทนความรู้สึกคิดถึงที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ “ผมตามหาคุณทั้งฮ่องกงจนแทบจะหมดหวังอยู่แล้วรู้บ้างหรือเปล่า”“รู้สิ” เพราะรู้ถึงได้สมัครงานที่ร้านกาแฟแห่งนั้น เพราะถึงแม้อยากจะตัดใจลืมเขาให้ได้ แต่เมื่อรู้ว่าเขากำลังตามหาจึงตั้งใจปักหลักเพื่อรอคอย แม้โอกาสมันจะน้อยนิดก็ยังหวังว่าเขาจะตามเจอ “คุณพ่อเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว”“คุณพ่อของคุณใจร้ายมาก ปล่อยให้ผมทรมานเพราะความคิดถึงคุณอยู่คนเดียว” ไม่ต้องบอกเขาก็รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก“คุณพ่อแค่อยากลองใจคุณ ส่วนฉันก็อยากลองใจตัวเองด้วยเหมือนกัน ฉันว่ามันก็ดีนะ ที่เราจะได้ทดสอบตัวเองไปด้วย”“ไม่เห็นจะดีตรงไหน ทรมาน
“มีคนมองเห็นความน่ารักของฉันด้วยเหรอคะ ฉันนึกว่ามันหมองไปหมดตั้งแต่มาอยู่กับคุณแล้วซะอีก” เธอโน้มไปใกล้ ๆ “เพราะคุณน่ารักกว่าฉันมาก” เธอไม่ได้ยกยอแต่รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ สำหรับเธอแล้วซูซี่เป็นอาหมวยที่หน้าตาน่ารักมาก แถมนิสัยก็ดีอีกต่างหาก“สาวหมวยเต็มตัวอย่างฉันจะน่ารักเหมือนสาวลูกผสมได้อย่างไรกัน แต่ฉันก็ยินดีรับคำชมนะ” เจ้าของร้านหัวเราะเบา ๆ หลังจากนั้นก็บอกให้ลูกจ้างสาวเตรียมตัวกลับบ้านพร้อมกับเธอ เพราะเธอต้องแวะไปหาเพื่อนย่านนั้นพอดี“ไม่เป็นไรค่ะซูซี่ เดี๋ยวฉันกลับเองก็ได้”“กลับด้วยกันนี่แหละค่ะ จะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถ” เธอไม่รู้หรอกว่าลูกจ้างสาวพักอยู่ตรงไหนของย่านที่เธอจะผ่านไป แต่เมื่อไปแล้วก็อยากให้เธอกลับด้วยเพื่อความสะดวกสบาย“ก็ได้ค่ะ รอฉันไม่เกินห้านาทีค่ะ” แล้วเธอก็รีบเดินไปเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็วด้วยความเกรงใจคนที่ต้องรอประมาณสิบนาทีต่อมาโชติรสก็มาถึงปากทางเข้าหอพัก เธอลงจากรถของเจ้านายผู้ใจดีแล้วกล่าวขอบคุณ“คุณแน่ใจนะว่าจะเดินเข้าไปเอง”
“ที่นี่มีคนไทยมาเที่ยวเยอะไหมครับ”“สวัสดีค่ะ ขอบคุณค่ะ รับอะไรดีคะ กาแฟอร่อยไหมคะ มาเที่ยวอีกนะคะ” หญิงสาวพูดภาษาไทยให้อีกฝ่ายฟัง “ร้านกาแฟของฉันต้องรับพนักงานคนไทยเอาไว้ ก็เพราะคนไทยมาที่นี่เยอะมากค่ะ ก่อนที่คุณจะเดินเข้ามาพนักงานคนไทยของฉันเพิ่งจะกลับไปเอง เธอน่ารักมาก ถ้ามีโอกาสแวะมาที่นี่อีกคุณก็ลองมาคุยกับเธอดูสิคะ” หญิงสาวเจ้าของร้านคุยอวดอีกฝ่าย เพราะเข้าใจว่าเขาน่าจะชอบความเป็นไทยไบรอันคิดจะหยิบรูปของโชติรสออกมาสอบถามเธอ แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงเปลี่ยนใจ เก็บเอาไว้ถามกับพนักงานคนไทยของเธอน่าจะได้คำตอบที่ดีกว่า“ถ้ามีโอกาสผมจะแวะมาใหม่ ขอบคุณมากนะครับ” เขาจิบกาแฟดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน มองผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินผ่านไปมาอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง จึงลุกจากไปตามเส้นทางเดิมที่เดินมาเขากลับถึงโรงแรมที่อยู่ห่างจากย่านนั้นประมาณสิบห้านาที อาบน้ำเรียบร้อยแล้วจึงโทรศัพท์ถึงมารดาเลี้ยงที่แคนาดา(เจอโรสหรือยังไบรอัน) มารดาของเขาถามถึงหญิงสาวทันทีที่รับสาย“ยังเลยครับ”(แม
“ใช่ค่ะ ร้านนี้เป็นร้านของฉันเองค่ะ เพิ่งเปิดมาได้หกเดือนเท่านั้น” เจ้าของร้านตอบอย่างภาคภูมิใจ“หน้าตาคุณยังดูเด็กมากเลยค่ะ เหมือนนักศึกษามากกว่า”“ใช่ค่ะ ฉันเป็นนักศึกษาเรียนอยู่ปีสุดท้าย บังเอิญว่าเจ้าของร้านคนเก่าเขาต้องการขายที่นี่เพราะจะย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ ฉันเองก็เป็นลูกค้าประจำของเขาอยู่แล้ว พอรู้เรื่องก็สนใจมาก ๆ เพราะคิดอยู่ว่าถ้าเรียนจบอยากจะทำธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ก็เลยเจียดเวลาจากการเรียนไปเรียนบาริสต้า และเรียนทำขนม แล้วก็มาเปิดร้านนี่แหละค่ะ”“น่าอิจฉาจังเลยค่ะ มีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วทำไมคุณถึงใส่ชุดพนักงานล่ะคะ” โชติรสรู้สึกพอใจกับนิสัยที่เป็นกันเองของอีกฝ่ายมาก“เพราะพนักงานของฉันลาออกกะทันหันค่ะ ฉันก็เลยต้องมาทำหน้าที่นี้จนกว่าจะหาคนใหม่ได้ ถ้าคุณมีเพื่อนสนใจงานพาร์ตไทม์ก็แนะนำมาที่ร้านนี้นะคะ ทำงานตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ค่าแรงชั่วโมงละสี่สิบดอลลาร์ฮ่องกง ถ้าเป็นช่วงเทศกาลจ่ายให้ชั่วโมงหกสิบดอลลาร์ฮ่องกง”“ฉันสนใจค่ะ ฉันทำได