บทที่ 3
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เราตกลงกับฝ่ายชายแล้วว่าจะจัดงานแต่งงานเล็ก ๆ ภายในครอบครัว และจดทะเบียนสมรสกันก่อน รอให้น้องเรียนจบแล้วค่อยจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่อีกที”
“แล้วน้องนิ่มว่ายังไงบ้างคะ เธอยอมเหรอคะ” พี่สาวถามถึงน้องสาวเพียงคนเดียวที่อายุห่างกันถึงแปดปี
“เรื่องนั้น...” บิดาอ้ำอึ้ง รู้สึกหนักใจกับปัญหานี้มากกว่าทุกเรื่อง “พ่อยังไม่ได้คุยกับน้องเลยลูก”
“น้องยังไม่ครบยี่สิบเลยนะคะคุณพ่อ”
“กว่าจะถึงวันแต่งงานก็ครบยี่สิบพอดีแหละลูก” ความจริงเขาก็รู้ว่าลูกสาวคนเล็กยังเด็กเกินไป แต่เพื่ออนาคตและรากฐานที่มั่นคงของเธอ เขาจึงเห็นดีด้วยกับการแต่งงานนี้
“นุ่มไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ค่ะ น้องยังเด็กเกินไปที่จะแต่งงาน ถ้าต้องแต่งจริง ๆ นุ่ม..นุ่ม..จะแต่งแทนน้องเองค่ะ”
โชติมองหน้าลูกสาวคนโตด้วยอาการตื่นตกใจ ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เพราะมองเห็นความรู้สึกวังเวงสิ้นหวังซ่อนอยู่ในแววตาของเธอ
“เกิดอะไรขึ้นหนูนุ่ม บอกกับพ่อมาตรง ๆ สิลูก หรือว่าตระกูลเขามีคนอื่น” ท่านถามในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เพราะรู้จักคนรักของลูกสาวมานานหลายปี และเขาก็เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด
“ทำไมคุณพ่อถึงคิดว่าพี่กูลเขาเปลี่ยนใจล่ะคะ คุณพ่อไม่คิดว่านุ่มจะเปลี่ยนใจบ้างเหรอคะ” การกลั้นน้ำตาเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง แต่เธอก็สามารถทำได้ ถึงแม้น้ำเสียงจะสั่นเครือไปบ้าง
“พ่อไม่คิดอย่างนั้น ที่พ่อเชื่อมั่นที่สุดก็คือความรักของลูกกับตระกูล พ่อไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ”
“ถึงนุ่มจะรักพี่กูลมาก แต่ก็ยังรักน้อยกว่าน้อง น้อยกว่าครอบครัวของเราค่ะ คุณพ่อทำตามที่นุ่มขอร้องนะคะ ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับน้อง ส่วนพี่กูลนุ่มจะหาโอกาสบอกกับเขาเอง”
“มันจะดีเหรอลูก” ผู้เป็นบิดารู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ทำลายความรักของลูก
“คุณพ่ออย่าคิดมากสิคะ คนเราถ้าไม่ใช่เนื้อคู่กัน ต่อให้คบกันเป็นสิบ ๆ ปีก็คือไม่ใช่ แต่ถ้าใช่ เราจะต้องได้กลับมาเป็นคู่กันอีกแน่ค่ะ” แต่สำหรับเธอมันคงไม่มีวันนั้นอีกแล้วในชาตินี้
ร้านตัดเสื้อ
“อะไรนะคะคุณแม่!” หญิงสาวที่เพิ่งผ่านวัยบรรลุนิติภาวะมาหมาด ๆ หน้าตาของเธอน่ารักน่าเอ็นดู จนทุกคนต้องเหลียวมองยามได้พบเจอ ถามมารดาด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจดังลั่น
“เบา ๆ หน่อยสิลูก ทุกคนหันมามองกันหมดแล้วเห็นไหม” สุริสาเอ็ดลูกสาวคนเล็กเบา ๆ ขณะที่กำลังยืนให้ช่างตรวจชุดที่ตัดเย็บ เพื่อใส่ในวันแต่งงานของลูกสาวคนโต
“ก็หนูนิ่มตกใจนี่คะคุณแม่ ทำไมไม่เห็นมีใครบอกเรื่องนี้กับหนูนิ่มเลยล่ะคะ” โชติรสในวัยยี่สิบที่อยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง ไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองตัวเองด้วยสายตาเช่นไร เพราะเรื่องที่ได้ยินจากปากของมารดา มันทำให้เธอร้อนอกร้อนใจไปหมดแล้วตอนนี้
“แม่ก็บอกหนูแล้วนี่ไง ตอนนี้หนูควรจะเลือกชุดสวย ๆ สักชุดสองชุด เพื่อใส่ในงานแต่งงานของพี่นุ่มเขานะ” สตรีวัยห้าสิบนิดๆ นึกโกรธไปถึงสามีที่โยนภาระนี้มาให้
“พี่คะ รบกวนพี่ออกไปก่อนนะคะ นิ่มขอคุยเรื่องส่วนตัวกับคุณแม่สักครู่” เจ้าของหน้าตาน่ารักจับจิตอย่างเป็นธรรมชาติ บอกกับช่างตัดเสื้ออย่างอ่อนน้อม
“ค่ะ” ช่างตัดเสื้อโค้งศีรษะรับอย่างมีมารยาทและเดินออกไป
โชติรสมองมารดาอย่างตัดพ้อเมื่อหนทางปลอดโปร่ง “คุณแม่ใจร้าย คุณแม่ไม่รักพี่นุ่มแล้วใช่ไหมคะ ถึงได้ทำร้ายจิตใจพี่นุ่มด้วยวิธีนี้ คุณแม่ก็ทราบนี่คะว่าพี่นุ่มรักอยู่กับพี่กูลมาตั้งหลายปี ครอบครัวของพี่เขาก็ทราบเรื่องนี้ ถึงฤดูผลไม้เขาก็ส่งมาให้บ้านเราไม่เคยขาด คัดแต่ลูกใหญ่ ๆ สวย ๆ เกรดส่งนอกมาให้เรากินก่อนตลอด คุณแม่กับคุณพ่อไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเหรอคะ”
“ยายนิ่ม!” สุริสาตวาดลูกสาวคนเล็กด้วยน้ำเสียงเบาแต่ดุดัน “ไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดดีกว่า นึกว่าพ่อกับแม่สบายใจเหรอที่ต้องทำแบบนี้”
“ไม่สบายใจแล้วทำทำไมล่ะคะ หรือว่าความรวยของไอ้ว่าที่เจ้าบ่าวของพี่นุ่ม มันมีมากจนลบล้างความดีของพี่กูลไปจนหมดสิ้น”
“แม่ว่าเรากลับไปคุยกันที่บ้านพร้อมคุณพ่อดีกว่านะ” มารดาจนใจจะรับมือกับอารมณ์โมโห และความเอาแต่ใจของลูกสาวคนเล็ก
“ดีค่ะ นิ่มไปรอที่รถนะคะ” หญิงสาวคว้ากระเป๋าสะพายแล้วเดินออกไปทันที ความโมโหทำให้เธอไม่ยอมรอมารดา
คฤหาสน์อัครวัตร
“คุณพ่อตอบนิ่มมาสิคะ ว่าทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ด้วย”
“ทำไมลูกต้องโวยวายใหญ่โตด้วยล่ะลูกนิ่ม” โชติถูกภรรยาโยนภาระชิ้นใหญ่มาให้ทันทีที่กลับมาถึงบ้าน
สุริสาได้แต่นั่งฟังสามีไขข้อข้องใจของลูกสาวคนเล็กอย่างสงบ เพราะไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา และลูกสาวคนโตตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“คุณพ่อเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้จนลืมนึกถึงจิตใจของพี่นุ่มแบบนี้ คุณพ่อจะให้นิ่มยิ้มรับเหรอคะ”
“มันเป็นความต้องการของพี่นุ่มเขาเองนะลูก พ่อไม่ได้บังคับพี่เขาเลยนะ”
“นิ่มไม่เชื่อ พี่นุ่มกับพี่กูลรักกันมากแค่ไหนเราก็เห็น ๆ กันอยู่นี่คะ แล้วอยู่ดี ๆ พี่นุ่มจะไปแต่งงานกับคนอื่นเพื่ออะไร”
บุรุษวัยหกสิบปีที่ยังดูดีและแข็งแรง อยากจะบอกลูกสาวคนเล็กเหลือเกินว่าทั้งหมดก็เพราะเธอนั่นแหละ แต่ก็ติดตรงที่รับปากกับลูกสาวคนโตเอาไว้แล้ว ว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เพราะถ้าพูดออกไป รับรองได้เลยว่าเธอคนนี้ทวงเอาตำแหน่งว่าที่เจ้าสาวคืนแน่ ๆ ไม่ใช่เพราะอยากแต่งงาน แต่เพราะอยากให้พี่สาวได้แต่งงานกับคนรักของเธอต่างหาก
“จะเพื่ออะไรมันก็เรื่องของพี่ หนูนิ่มไม่ควรไปโวยวายใส่คุณพ่อแบบนั้นนะ” โชติกากลับมาถึงบ้าน เพราะมารดาส่งข้อความไปบอก และเธอก็มาได้เวลาประจวบเหมาะพอดี
หญิงสาวที่ทุกคนในบ้านต่างก็รักและตามใจมาตลอด หันไปทางต้นเสียง “พี่นุ่ม”
“เรื่องนี้พี่เป็นคนตัดสินใจเอง คุณพ่อกับคุณแม่แค่ทำตามความต้องการของพี่เท่านั้น ถ้านิ่มอยากรู้อะไรนิ่มควรมาถามพี่ดีกว่านะ”
“ถ้าอย่างนั้นนิ่มขอถามเลยก็แล้วกันค่ะ พี่นุ่มรักกับพี่กูลแล้วพี่นุ่มไปแต่งงานกับคนอื่นทำไม”
“พี่คุยเรื่องนี้กับพี่กูลเขาแล้ว เขากับพี่ไม่ใช่คนรักกันอีกแล้ว ตอนนี้เราอยู่ในฐานะของคนรู้จักเท่านั้น ดังนั้นพี่จะแต่งงานกับใครก็ได้” หัวใจของเธอเจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องทำแบบนี้ แต่มันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ไม่ว่ากับน้องสาวที่เธอรักมากที่สุด กับบิดามารดาที่เธออยากตอบแทนพระคุณ หรือกับชายคนรักที่ดีเสมอต้นเสมอปลายมาตลอดหลายปี
“ก็แค่สงสัยว่ามันหายไปไหนหมด ทำไมถึงเหลือแค่นี้เอง” เธอแกล้งชูสองนิ้วประกบกันแล้วคลี่ยิ้มทะเล้น“มันไม่ได้หายไปไหนหรอก มันกำลังจะตื่นตามเจ้าของ” เขาไม่ได้ล้อเล่นแต่มันเป็นอย่างที่พูดจริง ๆ ทั้งหมดนี้ต้องโทษเธอที่กระตุ้นมัน ไม่อย่างนั้นมันก็คงได้นอนพักอีกสักสองสามชั่วโมงอยู่หรอก สิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ทำให้หญิงสาวที่มองเจ้าเอ็นน้อยพองตัวเป็นเอ็นยักษ์รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย และใจของเธอก็เริ่มเต้นรัวตามมา เมื่อเห็นมือใหญ่หยอกเย้ากับมันอย่างเอ็นดู “คุณหลงรักมันแล้วใช่ไหม” เขาถามเธอที่เอาแต่มองทั้งที่ใบหน้านั้นแดงก่ำด้วยความขัดเขิน “แน่นอน ก็มันทั้งน่ารักทั้งเก่ง” เธออายแต่ก็ยอมรับความจริง “ฉันรักมัน” “คนที่เก่งกว่าคือผมต่างหาก ถ้าคุณรักมันคุณก็ต้องรักเจ้าข
เมื่อมั่นใจว่าสะอาดเอี่ยมดีแล้วจึงหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาซับตัวให้แห้งแล้วชโลมครีมทาผิวทาจนทั่วเรือนร่าง ยืนทำใจด้วยความกระดากอายอยู่สักพักจึงตัดสินใจหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่ที่เล็กกว่าผืนแรกมาพันรอบกายอย่างหมิ่นเหม่ แล้วรีบเปิดประตูออกไปก่อนที่ความอายจะสั่งให้หยุดทำการยั่วยวนเขา เธอข่มความอายเดินไปหาเขาที่เตียง“คุณจะนอนแบบนี้เลยเหรอ”คนถูกถามรีบขยับตัวขึ้นนั่งด้วยหัวใจเต้นรัว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่ที่ติดมากับเรือนร่างระหงเกือบเปลือย ปลุกความกำหนัดที่เขาเพิ่งปลอบให้สงบตั้งชันขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว“ไปอาบน้ำสิ เสร็จแล้วจะได้มานวดขาให้ฉันหน่อย ตอนนี้ฉันปวดขามากเพราะยืนทำงานเกือบทั้งวัน” เขาเอาแต่มองจ้องไม่ยอมพูด เธอจึงพูดซะเอง“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับด้วยความตื่นเต้น ลุกขึ้นถอดเสื้อผ้าออกจากร่างแล้วตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำ“ฟู่!” หญิงสาวผ่อนลมหายด้วยความโล่งอก ที่สามารถยั่วยวนเขาสำเร็จในขั้นแรก เธออาศัยเวลาที่เขากำลังอาบน้ำทาครีมลงบนใบหน้านวลและหวีผม พยายามทำทุกอย่างให้เป็นปกติเหมือนตอนที่อยู่คนเดียว แต่เวลาผ่านไ
ได้ยินเพียงแค่นี้เขาก็รู้แล้วว่าใจของเธอตรงกับของเขาแล้ว เขาดีใจเหลือเกินที่ตัวเองเข้าใจเธอผิดไป“คิดถึงแล้วทำไมถึงหนีผมมาแบบนี้ล่ะยอดรัก รู้ไหมว่าผมรู้สึกสิ้นหวังแค่ไหนที่คุณหนีมาแบบนี้” แล้วจูบปากอวบอิ่มเพื่อให้มั่นใจว่าเธอคือสิ่งมีค่าที่สุดของเขาจริง ๆ “ใช่คุณจริง ๆ ด้วย” เขาทั้งจูบทั้งหอมเพื่อทดแทนความรู้สึกคิดถึงที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ “ผมตามหาคุณทั้งฮ่องกงจนแทบจะหมดหวังอยู่แล้วรู้บ้างหรือเปล่า”“รู้สิ” เพราะรู้ถึงได้สมัครงานที่ร้านกาแฟแห่งนั้น เพราะถึงแม้อยากจะตัดใจลืมเขาให้ได้ แต่เมื่อรู้ว่าเขากำลังตามหาจึงตั้งใจปักหลักเพื่อรอคอย แม้โอกาสมันจะน้อยนิดก็ยังหวังว่าเขาจะตามเจอ “คุณพ่อเล่าให้ฉันฟังหมดแล้ว”“คุณพ่อของคุณใจร้ายมาก ปล่อยให้ผมทรมานเพราะความคิดถึงคุณอยู่คนเดียว” ไม่ต้องบอกเขาก็รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก“คุณพ่อแค่อยากลองใจคุณ ส่วนฉันก็อยากลองใจตัวเองด้วยเหมือนกัน ฉันว่ามันก็ดีนะ ที่เราจะได้ทดสอบตัวเองไปด้วย”“ไม่เห็นจะดีตรงไหน ทรมาน
“มีคนมองเห็นความน่ารักของฉันด้วยเหรอคะ ฉันนึกว่ามันหมองไปหมดตั้งแต่มาอยู่กับคุณแล้วซะอีก” เธอโน้มไปใกล้ ๆ “เพราะคุณน่ารักกว่าฉันมาก” เธอไม่ได้ยกยอแต่รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ สำหรับเธอแล้วซูซี่เป็นอาหมวยที่หน้าตาน่ารักมาก แถมนิสัยก็ดีอีกต่างหาก“สาวหมวยเต็มตัวอย่างฉันจะน่ารักเหมือนสาวลูกผสมได้อย่างไรกัน แต่ฉันก็ยินดีรับคำชมนะ” เจ้าของร้านหัวเราะเบา ๆ หลังจากนั้นก็บอกให้ลูกจ้างสาวเตรียมตัวกลับบ้านพร้อมกับเธอ เพราะเธอต้องแวะไปหาเพื่อนย่านนั้นพอดี“ไม่เป็นไรค่ะซูซี่ เดี๋ยวฉันกลับเองก็ได้”“กลับด้วยกันนี่แหละค่ะ จะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถ” เธอไม่รู้หรอกว่าลูกจ้างสาวพักอยู่ตรงไหนของย่านที่เธอจะผ่านไป แต่เมื่อไปแล้วก็อยากให้เธอกลับด้วยเพื่อความสะดวกสบาย“ก็ได้ค่ะ รอฉันไม่เกินห้านาทีค่ะ” แล้วเธอก็รีบเดินไปเปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็วด้วยความเกรงใจคนที่ต้องรอประมาณสิบนาทีต่อมาโชติรสก็มาถึงปากทางเข้าหอพัก เธอลงจากรถของเจ้านายผู้ใจดีแล้วกล่าวขอบคุณ“คุณแน่ใจนะว่าจะเดินเข้าไปเอง”
“ที่นี่มีคนไทยมาเที่ยวเยอะไหมครับ”“สวัสดีค่ะ ขอบคุณค่ะ รับอะไรดีคะ กาแฟอร่อยไหมคะ มาเที่ยวอีกนะคะ” หญิงสาวพูดภาษาไทยให้อีกฝ่ายฟัง “ร้านกาแฟของฉันต้องรับพนักงานคนไทยเอาไว้ ก็เพราะคนไทยมาที่นี่เยอะมากค่ะ ก่อนที่คุณจะเดินเข้ามาพนักงานคนไทยของฉันเพิ่งจะกลับไปเอง เธอน่ารักมาก ถ้ามีโอกาสแวะมาที่นี่อีกคุณก็ลองมาคุยกับเธอดูสิคะ” หญิงสาวเจ้าของร้านคุยอวดอีกฝ่าย เพราะเข้าใจว่าเขาน่าจะชอบความเป็นไทยไบรอันคิดจะหยิบรูปของโชติรสออกมาสอบถามเธอ แต่เมื่อได้ยินอย่างนั้นจึงเปลี่ยนใจ เก็บเอาไว้ถามกับพนักงานคนไทยของเธอน่าจะได้คำตอบที่ดีกว่า“ถ้ามีโอกาสผมจะแวะมาใหม่ ขอบคุณมากนะครับ” เขาจิบกาแฟดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน มองผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเดินผ่านไปมาอยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง จึงลุกจากไปตามเส้นทางเดิมที่เดินมาเขากลับถึงโรงแรมที่อยู่ห่างจากย่านนั้นประมาณสิบห้านาที อาบน้ำเรียบร้อยแล้วจึงโทรศัพท์ถึงมารดาเลี้ยงที่แคนาดา(เจอโรสหรือยังไบรอัน) มารดาของเขาถามถึงหญิงสาวทันทีที่รับสาย“ยังเลยครับ”(แม
“ใช่ค่ะ ร้านนี้เป็นร้านของฉันเองค่ะ เพิ่งเปิดมาได้หกเดือนเท่านั้น” เจ้าของร้านตอบอย่างภาคภูมิใจ“หน้าตาคุณยังดูเด็กมากเลยค่ะ เหมือนนักศึกษามากกว่า”“ใช่ค่ะ ฉันเป็นนักศึกษาเรียนอยู่ปีสุดท้าย บังเอิญว่าเจ้าของร้านคนเก่าเขาต้องการขายที่นี่เพราะจะย้ายไปอยู่กับสามีที่ต่างประเทศ ฉันเองก็เป็นลูกค้าประจำของเขาอยู่แล้ว พอรู้เรื่องก็สนใจมาก ๆ เพราะคิดอยู่ว่าถ้าเรียนจบอยากจะทำธุรกิจเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง ก็เลยเจียดเวลาจากการเรียนไปเรียนบาริสต้า และเรียนทำขนม แล้วก็มาเปิดร้านนี่แหละค่ะ”“น่าอิจฉาจังเลยค่ะ มีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วทำไมคุณถึงใส่ชุดพนักงานล่ะคะ” โชติรสรู้สึกพอใจกับนิสัยที่เป็นกันเองของอีกฝ่ายมาก“เพราะพนักงานของฉันลาออกกะทันหันค่ะ ฉันก็เลยต้องมาทำหน้าที่นี้จนกว่าจะหาคนใหม่ได้ ถ้าคุณมีเพื่อนสนใจงานพาร์ตไทม์ก็แนะนำมาที่ร้านนี้นะคะ ทำงานตั้งแต่สี่โมงเย็นถึงสี่ทุ่ม ค่าแรงชั่วโมงละสี่สิบดอลลาร์ฮ่องกง ถ้าเป็นช่วงเทศกาลจ่ายให้ชั่วโมงหกสิบดอลลาร์ฮ่องกง”“ฉันสนใจค่ะ ฉันทำได