นับจากนี้ไปจะไม่มีคุณตาของเธอในบ้านหลังนี้อีกแล้ว...พินอินปาดน้ำตากลั้นเสียงสะอื้นขณะเดินจูงคุณยายเข้าไปในบ้าน จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในครัว จัดการนำนมสดออกจากตู้เย็นไปอุ่นให้ร้อนแล้วหยิบขนมเค้กที่ ป้าแก้วซื้อใส่ตู้ไว้ให้ เพราะทราบว่าคุณยายโปรดขนมฝรั่งมาก และวันนี้ท่านก็แทบไม่ได้แตะต้องอาหารเลย เธอเลยหยิบเค้กเตรียมจะนำไปให้คุณยายรับประทานก่อนแล้วค่อยส่งท่านเข้านอน แต่เมื่อเดินออกจากครัวกลับมาในห้องโถงก็ไม่เห็นคุณยายเสียแล้ว จึงเดาว่าท่านน่าจะเข้าไปในนอนแล้ว พินอินจึงถือขนมกับเครื่องดื่มเดินเลยไปหาท่านที่ห้อง
“ดื่มนมอุ่น ๆ กับเค้กสักชิ้นนะคะคุณยาย ตั้งแต่พินมาถึง ยังไม่เห็นคุณยายแตะอาหารเลย”
พินอินนั่งลงข้าง ๆ คุณยายแล้วยื่นแก้วนมส่งให้ท่าน พอท่านรับไปเธอก็ตักเค้กพอดีคำคะยั้นคะยอให้ท่านรับประทาน ท่านยอมให้เธอป้อนได้เกือบครึ่งก็ปฏิเสธแล้วยกแก้วนมขึ้นดื่มไปเพียงนิดเดียวก็ส่งคืนให้ เธอมองนมในแก้วที่เหลือกว่าครึ่งก็ถอนใจแต่สีหน้าหม่นหมองของคุณยายทำให้เธอไม่อยากเซ้าซี้ท่านนัก เธอจึงนำภาชนะไปเก็บก่อนจะกลับเข้ามานอนข้าง ๆ ท่าน กอดท่านแน่น ๆ
“ทำไมคุณตาถึงจากเราไปกะทันหันเหลือเกินคะ ทำไมคุณตาไม่รอให้พินกลับมาดูใจท่านก่อน” เธอถามเสียงสะท้านแผ่วเบาอยู่กับอกของคุณยาย
“ตาเขาคงไม่อยากเห็นน้ำตาของพิน ตาคงจะรู้ว่าถ้าเขาไปตอนที่พิน อยู่ด้วย พินก็คงร้องไห้เป็นเผ่าเต่าแบบนี้นะสิ”
คุณยายจิตตอบน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างสะเทือนใจ ฝ่ามือเหี่ยวย่น ลูบไล้ศีรษะหลานสาวอย่างปลอบประโลม ขณะที่คนผ่านโลกมาเกินครึ่งชีวิตอย่างท่านเข้าใจสัจธรรมของโลกจึงเข้มแข็งมากกว่าหลานสาวทำให้ไม่มีหยดน้ำตาแม้แต่หยดเดียวจากดวงตาแห้งผากคู่นี้
“พินคิดถึงคุณตาเหลือเกินค่ะ ขาดคุณตาไป พินรู้สึกเหมือนโลกเหลือแค่ครึ่งใบเท่านั้นเอง”
“ตาเขาอยู่กับเราเสมอพินเอ๊ย...บ้านหลังนี้ยังเป็นโลกทั้งใบของเรา เพราะที่นี่มีตาอยู่กับเราไม่เคยจากไปไหน ความรักของเขายังโอบล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวเราเสมอ เข้มแข็งนะลูกนะ เมื่อถึงเวลาพวกเราทุกคนก็ต้องไปอยู่ในที่ที่เดียวกับตาและแม่ของหลาน แต่ก่อนจะถึงวันนั้นเราต้องอยู่อย่างเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ตากับแม่เราเขาเป็นกังวล เข้าใจไหมลูก...” คุณยายเอ่ยปลอบใจหลานและตัวเองแผ่วเบา
“ค่ะ พินจะต้องเข้มแข็ง พินจะดูแลคุณยายแทนคุณตากับแม่เอง”
เธอกอดตอบแล้วคืนนั้นเธอก็นอนกอดท่านไว้แน่น มีเพียงอ้อมกอดของกันและกันแทนกำลังใจกับคำปลอบโยน ความเหนื่อยล้าจากการทำงานประกอบกับความโศกสลดทำให้เธอหลับไปทั้งคราบน้ำตาในอ้อมกอดของคุณยาย
คุณตาเปี่ยมของพินอินเป็นที่รักของทุกคนในหมู่บ้าน ในคืนสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย ศาลาวัดจึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เดินทางมากันอย่างเนืองแน่น หลังส่งแขกคนสุดท้ายเรียบร้อย พินอินจึงพาคุณยายของเธอเดินทางกลับบ้านด้วยความรู้สึกหม่นมัว
เธอส่งคุณยายเข้าห้องนอนแล้วจึงออกมาปิดบ้าน ตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งและตั้งใจจะเดินไปห้องนอนของตน แต่นึกเป็นห่วงคุณยายขึ้นมา เกรงท่านจะนอนไม่หลับ เธอจึงแวะไปดูท่านอีกรอบ พินอินค่อย ๆ แง้มประตูอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนหากคุณยายของเธอกำลังสวดมนต์ไหว้พระอยู่
เธอมองผ่านรอยแยกระหว่างประตูที่เปิดแง้มนิด ๆ เห็นคุณยายกำลังค้นหาบางอย่างในตู้ไม้สักกรุกระจกมุมห้อง ท่าทีเป็นกังวลเมื่อท่านหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา สีหน้าหม่นหมองของคุณยายทำให้พินอินมองอย่างสนใจเธอมั่นใจว่าเอกสารที่ท่านลุกขึ้นมาค้นหากลางดึกต้องเป็นเอกสารสำคัญ และมันคงเป็นปัญหาหนักอกที่ทำให้ท่านเครียดจนนอนไม่หลับอย่างแน่นอน
พินอินค่อย ๆ ดึงประตูปิดแล้วทำทีเป็นเข้านอน รอจนแน่ใจว่าคุณยายหลับลึกจึงเดินกลับมาที่ห้องของท่านอีกครั้ง และค่อย ๆ ย่องไปที่ตู้เพื่อหยิบเอกสาร เธอเอี้ยวตัวมองไปทางเตียงนอนของคุณยายอย่างระมัดระวังพลางควานหากุญแจหลังตู้ ไขตู้อย่างเบามือแล้วหยิบซองเอกสารออกมาจากนั้นก็ค่อย ๆ ย่องออกมาจากห้องนอนของคุณยายเงียบ ๆ
พินอินถือซองเอกสารเดินกลับเข้ามาในห้องนอนตนเอง เปิดไฟกลางห้องแล้วดึงแผ่นกระดาษข้างในออกมาดู สัญญาจำนองที่ดินระบุระยะเวลา 5 ปี เธอไล่ดูวันเดือนปีในสัญญาจำนองจึงรู้ได้ทันทีว่าเหตุใดคุณตากับคุณยายของเธอจึงต้องเอาที่ดินและบ้านหลังนี้ไปจำนอง
คุณตากับคุณยายของเธอมีรายได้แค่เงินบำนาญหลังเกษียณอายุราชการ แม้จะไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้มากอะไรนัก แต่เธอก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าท่านทั้งสองมีความจำเป็นต้องเอาบ้านกับที่ดินไปจำนอง เอาเงินทั้งหมดมาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำศพมารดาและยังต้องส่งเธอเรียนในระดับมหาวิทยาลัย คุณตาคุณยายต้องใช้เงินจำนวนมากจึงมียอดหนี้สินเป็นเงินกว่าหนึ่งล้านบาท และกำลังจะถึงกำหนดชำระคืนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นั่นเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณยายของเธอกังวลและทุกข์ใจ
พินอินเงยหน้า กระพริบตาปริบ ๆ ใส่สามีแล้วถามขึ้นอย่างประหลาดใจ ขณะที่คนถูกถามรีบส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธว่าตนเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน ความสงสัยใคร่รู้ของพินอินทำให้คีแรนเดือดร้อนอย่างหนัก เพราะคำสั่งของภรรยาสาวที่สั่งให้เขาเข้าไปเรียบเคียงสืบข่าวมาจากพิมพ์พรโดยข่มขู่เขาว่าหากทำไม่สำเร็จ นำข่าวมาบอกเธอไม่ได้ คืนนี้เธอจะไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัวเธออย่างเด็ดขาดเจ้าบ่าวทำหน้าเซ็งนิด ๆ ที่ถูกเจ้าสาวแก้แค้นเอาคืน ใช้เขาเข้าไปสอดแนมเรื่องของเพลงพิณ เหมือนอย่างที่เขาเคยใช้เงินหว่านล้อมจ้างให้เธอทำแบบเดียวกันกับสองแม่ลูกพินอินกวาดตามองรอบบ้านที่เต็มไปด้วยภาพความทรงจำแสนอบอุ่นอย่างตื้นตัน รู้สึกปลาบปลื้มที่เธอสามารถรักษาสมบัตินี้ไว้ได้ เธอมองกรอบรูปของแม่ที่แขวนอยู่ต่ำกว่ากรอบรูปของคุณตาซึ่งติดอยู่เหนือหิ้งสำหรับวางโกฐกระดูก กระถางธูป แจกันดอกไม้บนผนังตามอย่างที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่ถือปฏิบัติกันถ้าแม่กับคุณตายังอยู่กับหนูที่นี่ แม่กับคุณตาก็ไม่ต้องห่วงหนูกับคุณยายอีกแล้วนะคะ วันนี้หนูมีความสุขมาก คีแรนเขาสัญญาว่าจะดูแลหนูกับคุณยายแทนคุณตากับแม่เอง เรามีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งแล้วนะคะ พว
“ดีเลียนโตอีกหน่อย ยายแก้วเขาคงจะอุ้มไปอวดทั่วเมืองแน่ ๆ” คุณยายจิตเอ่ยกลั้วหัวเราะชอบใจ“แค่ตอนนี้ดิฉันยังอยากจะอุ้มไปอวดคุณพลเธอเสียเลยค่ะป้าจิต” หญิงกลางคนเอ่ย“ไม่ต้องค่ะ” พินอินเผลอห้ามป้าแก้วเสียงแข็ง หน้าตาบึ้งตึงทันทีที่ได้ยินชื่อบุตรชายอาจารย์นิพนธ์เสียงขึงขังกับสีหน้าบึ้งตึงของพินอินทำให้ทุกคนหันมองเธออย่างสนใจ คีแรนสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของพินอิน เขาจึงตั้งใจจะเก็บไว้ถามเธอเมื่ออยู่ด้วยกันลำพังว่าป้าแก้วพูดอะไรให้เธอขัดเคืองใจ“ขอโทษค่ะป้าแก้ว พินหวงลูกมากไปหน่อย พินคิดว่าตาหนูยังเล็กเลยยังไม่อยากจะพาแกไปไหนค่ะ”หญิงกลางคนยิ้มเจื่อนและรีบส่งทารกน้อยคืนให้กับพินอินที่ยื่นมือออกมาขอตัวลูกของเธอคืน ราวกับกลัวว่าคนสูงวัยจะพาลูกชายของเธอไปไหน“ป้าก็พูดไปอย่างนั้นเองแหละค่ะ”“พินขอตัวพาลูกไปนอนก่อนนะคะ”เธอกล่าวก่อนจะอุ้มลูกชายเดินตรงไปที่ห้องนอนของตน โดยมีคีแรนเดินตามไม่ห่างท่ามกลางสายตางงงันของป้าแก้วกับคุณยายจิต และทันทีที่วางลูกชายลงบนที่นอนเรียบร้อย คีแรนก็ถามเธอทันที“ป้าแก้วพูดอะไรให้เธอไม่พอใจอย่างนั้นรึ” เขาไม่เข้าใจบทสนทนาภาษาไทยระหว่างเธอกับป้าแก้วแต่จับน้
“ฉันอยากเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นเหลือเกินคาร์ล อยากรู้ว่าส่วนไหนของเธอที่ทำให้คุณคลั่งไคล้ได้ยาวนานขนาดนี้ แล้วคุณไม่เคยพบกับเธออีกเลยเหรอคะ” พินอินรอฟังคำตอบจากเขาอย่างจดจ่อ“เธอได้เห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่ทุกวันอยู่แล้วคารา” เขากุมหน้าของเธอไว้พลางเอ่ยเฉลยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“หื้ม...” เธอกระพริบตาเบา ๆ อย่างไม่เข้าใจ“เธอจำวันนั้นไม่ได้สินะ วันที่เธอช่วยเหลือเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกลางหิมะ เด็กผู้หญิงที่กำลังหิวโซแต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากใครนอกจากเธอพินอิน”ความทรงจำในอดีตหมุนวนตีกลับขึ้นเป็นภาพที่แสนพร่าเลือนอยู่ในหัวของพินอิน ขนอ่อนทั่วร่างกายของเธอลุกชันด้วยความตื่นกระจ่าง ดวงตากลมวาวเบิกโพลงขึ้นอย่างตื่นตะลึงทันทีที่ระลึกขึ้นได้ เด็กสาวที่เขาพูดถึงแท้จริงก็คือตัวเธอเองอย่างนั้นรึ...“โอ้...คาร์ล มันเป็นไปได้ยังไง”“มันคือพรหมลิขิต สวรรค์กำหนดให้เธอเกิดมาเพื่อเป็นของฉันคารา ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ตอนที่เห็นเธอหลับอยู่บนเตียงของฉันวันที่เราได้พบกันที่เมืองไทยเป็นวันแรก” เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน ไล้แก้มนุ่มด้วยปลายนิ้วและอดใจไม่ให้จูบเธอไม่ไหวจูบของคีแรนแผ่วเบาดุจขนนก พ
การเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ทำให้เขานึกอยากจะหยุดงานก็หยุดเฉยๆ เพื่อมาคอยเฝ้าอารักขาเธอยิ่งกว่าเป็นเทวดาประจำตัว ไม่ว่าพินอินจะขยับตัวไปทางไหนคีแรนต้องปรี่เข้าไปประคอง เธอจะหยิบจับทำอะไร เขาก็กุลีกุจอเข้ามาทำแทนราวกับกลัวเธอจะเป็นลมล้มพับกลางอากาศไปอีก เพราะตั้งแต่คราวนั้น คีแรนก็ไม่ยอมให้เธอทำขนมอีก เขาดูแลเธอยิ่งกว่าไข่ในหินด้วยเกรงว่าหากเธอหมดสติคราวนี้คงไม่โชคดีเหมือนคราวก่อนและอาจทำให้เกิดอันตรายกับตัวเธอเองและลูกในท้องได้ ดังนั้นแค่เธอเดินสะดุด คีแรนก็รีบเดินเข้ามาอุ้มเธอแล้วคุณยายของเธอกับแม่กาบก็พลอยเห็นดีเห็นงามให้คีแรนดูแลเธออย่างใกล้ชิด ทั้งสองเป็นคนแก่ที่ค่อนข้างหัวสมัยใหม่จึงไม่ตะขิดตะขวงใจกับการที่คีแรนย้ายตัวเองเข้ามานอนในห้องของพินอิน ทำตัวประหนึ่งเป็นคู่สามีภรรยา ทั้งที่เขากับเธอยังไม่ได้จัดการทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี“เราไปจดทะเบียนสมรสกันที่สถานทูตก่อนดีไหมคารา ส่วนพิธีแต่งงานรอให้คุณคลอดลูกของเราเสียก่อนค่อยจัดที่โบสถ์ดีไหม” เขาปรึกษาเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะลูบไล้หน้าท้องแข็งนูนของเธอ หยอกเย้ากับลูกน้อยในครรภ์ของเธอเล่นอยู่อย่างเพลิดเพลิน“คุณจะแต่งงานกั
“คุณอยากแต่งงานกับฉันจริง ๆ หรือเพราะยากได้ลูกของฉันกันแน่คะคาร์ล” คนอ่อนไหวยังหวาดระแวง“ฉันต้องการลูกแต่ฉันก็ต้องการเธอด้วยพินอิน” เขาพูดเบา ๆ ขณะมองเธออย่างลึกซึ้ง “ฉันรู้แล้วว่าวันเวลาที่ไม่มีเธอมันอ้างว้างและหม่นหมองแค่ไหน ฉันรักเธอพินอิน”เธอกุมใบหน้าเขาด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง มองลึกลงไปในดวงตาของเขาอย่างค้นคว้า “พิสูจน์สิคะคาร์ล ว่าคุณรักฉันมากแค่ไหน” เขาวางมือทับฝ่ามือของเธอและกุมมือเธอไว้ “ด้วยร่างกายและวิญญาณของฉันคารา ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าฉันรักและภักดีต่อเธอคนเดียวพินอิน”คีแรนจูบเธออย่างดูดดื่มและเคลื่อนไหวสำรวจความเปลี่ยนแปลงทุกส่วนของเธอด้วยมือ ปากและลิ้น มือกว้างเอื้อมปลดบราเซียของเธอโยนลงข้างเตียงขณะคลอเคลียริมฝีปากดื่มด่ำอยู่กับทรวงอกเต็มตึงที่ปรารถนา ทุกความเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างกลมกลืนและอ่อนโยน พินอินครางเบา ๆ เมื่อเขาเคลื่อนตัวลงต่ำ จูบผ่านหน้าท้องกลมนูนเหมือนดังจะแวะทักทายชีวิตน้อย ๆ ที่ขยับตัวอย่างเกียจคร้านตอบสนองสัมผัสของเขามาจากข้างในท้องเธอ พอเขาทักทายลูกจนหนำใจแล้วก็เคลื่อนย้ายริมฝีปากลงต่ำแล้วหยุดเพื่อเปลื้องเสื้อผ้าของเขาเองก่อนจะเริ่มใหม่อีกรอบเขาลูบไล
คีแรนทนดูพินอินกับยายของเธอช่วยกันทำขนมไปฝากขายที่ร้านอาหารของแม่กาบอย่างไม่ชอบใจนัก เขาไม่อยากเห็นทั้งสองคนลำบากจึงพยายามหว่านล้อมพินอินขอเป็นคนดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเธอกับ คุณยาย แต่ไม่ว่าคีแรนจะพยายามอย่างไร พินอินก็ไม่ยอมรับเงินของเขา ถึงจะอ้างว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลลูกในครรภ์เธอ พินอินก็ไม่ยอมแตะเงินเขาแม้แต่สตางค์แดงเดียวพินอินทำให้คีแรนหัวเสียกับความดื้อรั้นของเธอ แต่เขาก็ยอมรับว่าความดื้อรั้นและเด็ดเดี่ยวของพินอินเป็นอีกหนึ่งความมีเสน่ห์ของเธอที่ผูกมัดหัวใจของเขาไว้ที่เธอคีแรนหอบข้าวของออกจากหลังรถพะรุงพะรัง เมื่อพินอินปฏิเสธไม่ยอมรับเงินของเขา คีแรนเลยเปลี่ยนวิธีมาเป็นคนจัดการดูแลซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเธอกับคุณยายให้แทน เขากำลังใช้หลังดันประตูบ้านเพราะมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ขนซื้อมาเมื่อได้ยินเสียงแก้วกระทบพื้นดังออกมาจากในห้องครัวเขารู้ว่าพินอินอยู่บ้านตามลำพัง พอได้ยินเสียงแก้วแตกเขาจึงตกใจและคิดไปล่วงหน้าแล้วว่าอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับหญิงสาว เขาทิ้งข้าวของในมือเกลื่อนกระจัดกระจายเพราะเป็นห่วงพินอินและรีบวิ่งเข้