“โทษฉันไม่ได้นะ ก็เธอมันเล่นตัว ตลอดเวลาที่เราคบกันอย่างมากเธอก็ให้ได้แค่จับมือ ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ก็ต้องอยากได้อะไรที่มันมากกว่านี้ แต่ในเมื่อเธอให้ไม่ได้ ฉันก็ต้องไปหาอะไรที่ดีกว่า แล้วลิลลี่เป็นอะไรที่สุดยอดมากสำหรับฉัน” สีหน้าที่ทำราวกับหลงอีกฝ่ายอย่างหัวปักหัวปำของโทบี้ ทำเอาชมพูแพรถึงกับกลอกตาไปมา แน่นอนว่าเธอให้สิ่งที่อีกฝ่ายขอไม่ได้แน่
“ก็ถ้าเขาเลิกกับแกเพราะเรื่องนี้ แกก็ไม่ควรคบกับผู้ชายพรรค์นี้อีก ขืนแกทนคบกันต่อไปก็มีแต่จะเสียใจ ผู้ชายแบบนี้ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษให้เห็นหรอก ปล่อยให้ผีเน่าไปอยู่กับโลงผุน่าจะเหมาะกว่า หญิงก็ร้ายชายก็เลวไม่มีอะไรให้น่าเสียดายสักนิด คนดีๆ อย่างแกหลุดพ้นออกมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว” แคทเทอรีนและจัสมินเพื่อนรักของชมพูแพรที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่นานสองนาน ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงออกมาปกป้องเพื่อนบ้าง
“เรื่องนี้เธอสองคนไม่เกี่ยว อย่าแส่” ลิลลี่หันมาขึ้นเสียงใส่ด้วยความไม่พอใจ
“ก็ถ้าเธอไม่เข้ามาแส่ก่อน พวกฉันสองคนก็ไม่อยากยุ่งเหมือนกัน” จัสมินตอกกลับในทันทีอย่างไม่ยอมน้อยหน้า
“แต่เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน ทำไมฉันจะยุ่งไม่ได้ ไม่เหมือนกับพวกเธอที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้เลย” ลิลลี่ยังคงต่อปากต่อคำกลับไปอย่างไม่ยอมลดละ
“อ๊ะๆๆ พูดผิดพูดใหม่ได้นะจ๊ะ ถ้าฉันสองคนไม่เกี่ยว เธอก็ต้องไม่เกี่ยวเหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องของพวกเขาสองคน ถ้ามันจะเลิกกันก็ให้พวกเขาคุยกันเองสิ คนมาทีหลังแล้วทำตัวเป็นนางมารร้ายชอบแย่งของคนอื่นอย่างเธอมีสิทธ์อะไรเข้ามาแส่ด้วย” ด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่ยอมใคร ทำให้จัสมินตอกกลับไปอีกครั้งอย่างไม่ยอมแพ้
“แก! คิดว่าพวกมากกว่า แล้วฉันจะยอมแพ้เหรอ ไม่มีวันซะล่ะ” จัสมินยักไหล่ บอกให้รู้ว่าเธอเองก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน
“อย่ามีเรื่องกันที่นี่เลยน่า ไม่อายกันบ้างรึไง เห็นไหมว่าคนมองกันเยอะแยะแล้ว กลับกันเถอะลิลลี่ ไหนเธอบอกว่าอยากจะไปช็อปต่อไม่ใช่เหรอ รีบไปสิจะเสียเวลาอยู่ตรงนี้ทำไม” โทบี้จับจูงให้ลิลลี่เดินตามออกไป ด้วยไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งร้านอีก ทำให้ลิลลี่ยอมเดินตามออกไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดในที่สุด คงเหลือก็แต่ชมพูแพรที่ยังนั่งซึมกระทือไม่ยอมพูดยอมจากับใครจนเพื่อนรักทั้งสองต้องรีบเข้าไปปลอบ
“เฮ้ย! ชมพู่แกไม่ต้องเศร้าไปหรอกน่า ผู้ชายพรรค์นั้นเลิกไปก็ดีแล้ว ถ้าขืนแต่งงานกับมันไปจริงๆ แกคงต้องนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่ กะอีแค่ผู้ชายห่วยๆ คนนึง อย่าเอามาคิดให้รกสมองเลยน่า สวยๆ อย่างแก หาดีกว่านี้ได้ถมเถ เคยได้ยินไหม ผู้ชายไม่สิ้นไร้เท่าใบพุทรานะแก” แคทเทอรีนพยายามพูดปลอบใจให้เพื่อนคลายเศร้า แต่ชมพูแพรก็ไม่ได้มีท่าทีดีขึ้นมาเลย มิหนำซ้ำยังคว้ากระเป๋าสะพายใบเขื่องของตัวเองที่เธอมักจะพกมันไปไหนมาไหนด้วยเสมอๆ เดินออกไปจากตรงนั้น
“เฮ้ย! หรือว่ามันจะอาการหนักจนเพี้ยนไปแล้ว ฉันว่าเราตามไปดูมันหน่อยดีกว่า ฉันใจคอไม่ดีเลย” แคทเทอรีนหันไปบอกจัสมินเสียงเครียด แต่อีกฝ่ายกลับยังนิ่งเฉย ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนกับท่าทีของเพื่อนรักเลยแม้แต่น้อย
“ปล่อยให้มันไปจัดการกับความรู้สึกของตัวเองก่อนเหอะแคท ดีขึ้นเดี๋ยวมันก็กลับมาเองนั่นแหละ เชื่อฉันสิ แกก็รู้นี่ ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่ได้ดั่งใจ มันจะต้องทำอะไร” จัสมินบอกพร้อมกับนั่งลงด้วยท่าทีสบายๆ ต่างกับแคทเทอรีนที่ยังกังวลอยู่
“แต่ครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนกับทุกครั้งก็ได้นะแก ไม่เห็นเหรอว่าหน้ามันเศร้าขนาดไหน ฉันว่าเราไปดูมันสักหน่อยเถอะนะ ถ้ามันไม่เป็นอะไรก็ดีไป แต่ถ้าเกิดมันคิดสั้นขึ้นมา เราจะได้ช่วยมันทันไง นะมินนะไปดูมันหน่อยเถอะ ฉันไม่สบายใจจริงๆ อะแก” ท่าทางกังวลมากของแคทเทอรีน ทำให้จัสมินอ่อนอกอ่อนใจอยู่ไม่น้อย ด้วยรู้ดีว่าเพื่อนเป็นผู้หญิงอ่อนไหวง่าย เรียกว่าเปราะบางเลยล่ะกับเรื่องพวกนี้
“เออๆๆ ไปก็ไป” จัสมินลุกขึ้นเดินนำออกไปอย่างเสียไม่ได้ ก็อีกฝ่ายเล่นขอร้องกันขนาดนี้นี่
“มิน ทำไมไม่เห็นชมพู่มันเลยล่ะ หรือว่ามัน” แคทเทอรีนทำหน้าตื่น เมื่อเดินมายังห้องน้ำของร้านอาหารแต่กลับไม่พบเพื่อนอย่างที่ควรจะเป็น
“นี่แคท แกคิดว่าการระบายอารมณ์ของมันจะทำกันข้างนอก ตรงหน้ากระจกนี่ได้เลยรึไง ใครมาเห็นเข้าไม่ต้องแตกตื่นกันไปทั้งร้านรึไง โน่นมันอยู่ในห้องน้ำโน่น ห้องที่ปิดอยู่ไม่ห้องใดก็ห้องหนึ่งนั่นแหละ” จัสมินกลอกตาไปมากับอาการตีตนไปก่อนไข้ของเพื่อน พร้อมกับบุ้ยหน้าไปยังประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากห้องน้ำห้องหนึ่ง
“ปึก ปึก ปึก.............” สองสาวที่ยืนรออยู่หน้าห้องถึงกับหันมามองหน้ากันทันที ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าข้างในกำลังเกิดอะไรขึ้น จากนั้นไม่กี่อึดใจคนที่อยู่ข้างในก็เปิดประตูออกมาด้วยสภาพหัวเหอที่ดูยุ่งเหยิงไปหมด ผมก็ฟูจนแทบดูไม่ได้ และที่ดูไม่จืดเอาซะเลย ก็คือไอ้การที่ต้องเห็นเพื่อนเดินหิ้วหูกระต่ายตัวน้อยที่น่าสงสารออกมาในสภาพห้อยขาต่องแต่งด้วยนี่แหละ คิดแล้วก็อดสงสารกระต่ายตัวนี้ไม่ได้ ที่ต้องกลายเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของเพื่อนรักแบบนี้
“เฮ้อ! ฉันว่าแกเพลาๆ เรื่องการ์ตูนบ้างก็ได้นะ ดูๆ แกใกล้จะเหมือนไอ้โรคจิตเข้าไปทุกวันแล้ว” จัสมินส่ายหน้าไปมากับภาพที่ถ้าคนนอกมาเห็นเข้า คงเข้าใจว่าเพื่อนเป็นพวกโรคจิตแน่นอน คิดแล้วก็อดขำไม่ได้ ครั้งแรกที่เห็นชมพูแพรทำอะไรแบบนี้ เธอกลัวแทบตาย แต่เมื่อรู้ว่าเพื่อนทำไปเพื่อระบายอารมณ์เหมือนการ์ตูนเรื่องหนึ่งก็อดขำไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเปิดการ์ตูนที่ว่านั่นให้ดูแล้วก็ชักชวนให้ลองระบายอารมณ์แบบนั้นดูอีกต่างหาก ตั้งแต่นั้นมาเรื่องแบบนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกเธอ แต่กับคนอื่นก็ไม่แน่
“เอ่อ! แกโอเคไหมชมพู่” แคทเทอรีนทำหน้าแหยๆ อดคิดในใจไม่ได้ ‘ถ้าเพียงแต่เราเชื่อคำของมิน เราคงไม่ต้องมาเห็นอะไรนากลัวๆ แบบนี้หรอก ฮือ!...ติดตาไปอีกหลายวันเลย’
“ดูจากสภาพฉันแล้ว ดูโอเคไหมล่ะ” ชมพูแพรหันมาตอบ ทำเอาคนถามถึงกับถอยกรูดด้วยความตกใจ
“แต่ฉันว่า ดูจากจากสภาพกระต่ายน้อยของแกแล้ว แกน่าจะโอเคแล้วนะ แต่ที่ไม่โอเคอย่างแรง เห็นจะเป็นสภาพหน้าตาโทรมๆ ของแกนี่แหละ รีบๆ จัดการตัวเองซะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า เขาจะหาว่าพวกฉันสองคนมารุมตบแกในห้องน้ำ แบบนั้นฉันไม่โอเคนะจะบอกให้” พูดจบจัสมินก็เดินออกไป โดยมีแคทเทอรีนรีบวิ่งตามไปด้วยอีกคน ด้วยไม่อยากอยู่กับอีกคนที่ยังไม่อยู่ในสภาวะปกติสักเท่าไหร่ พูดง่ายๆ ว่ากลัวที่จะอยู่ในสภาพเดียวเดียวกับเจ้ากระต่ายตัวนั้นนั่นเอง
ดังนั้นตอนนี้จึงมีแค่ชมพูแพรที่จัดการกับตัวเองและเจ้ากระต่ายน้อยที่น่าสงสารตัวนั้น ก่อนจะเดินออกไปสมทบกับเพื่อนที่รออยู่ที่โต๊ะตัวเดิม
“เฮ้ย!” แล้วทั้งสามก็อุทานออกมาพร้อมกันอีก เมื่อตอนนี้เหล่ามนุษย์เมียนั่งอยู่ในร้านเดียวกับพวกเขา แต่เป็นคนละมุม ซึ่งแน่นอนว่าทางฝั่งนั้นมองไม่เห็นพวกเขาที่อยู่ทางฝั่งนี้ แต่ทางฝั่งนี้นี่เห็นเต็มสองตา ที่สำคัญไม่ได้เห็นแค่พวกเธอเท่านั้น แต่ยังเห็นหนุ่มๆ ที่จ้องจะขายขนมจีบให้เมียพวกเขาด้วย “ตายแน่มึง” ริคาโด้คำรามในลำคอ ตั้งใจจะไปจัดการกับผู้ชายพวกนั้นที่บังอาจมาเจ๊าะแจ๊ะกับเมียสุดที่รักของเขา แต่กลับถูกมาคัสห้ามเอาไว้ซะก่อน “เฮ้ย! ใจเย็นก่อน แกอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมมนุษย์เมียพวกนี้ถึงยังไม่ท้องสักที ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้ไปแอบฟังว่าพวกนั้นมีเกราะป้องกันอย่างที่แกว่ารึเปล่าล่ะ” มาคัสบอกอย่างมีแผนการ ในขณะที่อีกสองคนร่ำๆ จะทนไม่ไหวซะให้ได้ “แล้วแกจะปล่อยให้ไอ้หน้าละอ่อนพวกนั้นก้อร่อก้อติกกับเมียพวกเราแบบนั้นเหรอวะ” ริคาโด้ร่ำๆ จะหมดความอดทนซะให้ได้ ใครๆ ก็รู้นี่ว่าเขาหวงเมียยิ่งกว่าอะไรดี แล้วต้องมาทนดูภาพแบบนี้ (เอิ่ม! ความจริงก็แค่มีผู้ชายเข้ามาคุยกับพวกเธอเฉยๆ เองนะ ทำท่าอย่างกับมีใครจะมาแย่งเมียไปอย่างนั้นแหละ นี่ล่ะนะความรัก ทำให้ประสิทธ
“ก็ถ้าไม่ไหว ทำไมแกไม่บอกเขาไปตรงๆ วะ” มาคัสรู้สึกสาร เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าสุดรันทดของอีกฝ่าย “บอกไปก็เสียเชิงชายสิครับคุณมาคัส มันจะได้หาว่าผมไม่มีน้ำยา เรื่องแบบนี้มันเป็นศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ ต่อให้ต้องตายคาอก ไอ้เคนคนนี้ก็จะไม่ยอมปริปากบ่นสักคำ” เคนบอกเสียงหนักแน่น “เออ! งั้นก็ขอให้แกตายในหน้าที่สมใจแล้วกัน เฮ้อ! นี่ตกลงเราคุยกันเรื่องอะไรวะ ทำไมถึงได้มาจบที่ฟ้าเหลืองของแกได้วะ ให้ตายสิ! เรื่องของแกมันไม่จรรโลงใจสำหรับคนรักเมียอย่างฉันเลยว่ะ” ริคาโด้ส่ายหน้าเอือมๆ “ใครไม่เป็นผมก็พูดได้สิ ไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ มนุษย์เมียน่ากลัวเท่าไหร่ หนึ่งคืนกี่ครั้งยังจำไม่ได้ แต่แล้วสุดท้ายมันยังไม่พอ มันหมดไปแล้วทุกความรู้สึก ให้คึกทั้งคืนคงทำไม่ไหว เธอช่วยหยุดหื่นสักที เมื่อฟ้าเหลืองนั้นมีอยู่จริง” (โปรดใส่ทำนองเพลงไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ ของฟิล์มบงกชเข้าไป) เป็นเพราะอยากให้ทุกคนเข้าใจถึงหัวอก เคนจึงพยายามอธิบายออกมาเป็นเพลง แต่มันกลับทำให้ทุกคนต้องเบือนหน้าหนีเพราะเสียงร้องสั่นประสาทของเคน และก่อนที่พวกเขาจะสูญเสียระบบประสาท
หลายเดือนต่อมา หลังจากที่ทั้งสามคู่พากันทยอยแต่งงานไปตามๆ กัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเคนและโคดี้ก็มีคู่กับเขาเช่นกัน วันนี้หนุ่มๆ จึงนัดสังสรรค์กันตามประสาคนมีเมีย ส่วนเรื่องที่คุยกันน่ะเหรอ ก็เรื่องชีวิตหลังความโสดของแต่ละคนยังไงล่ะ “อืม...! พวกแกว่าความรักเหมือนอะไรวะ” จู่ๆ ริคาโด้ก็ถามขึ้น “คิดยังไงถึงถามเรื่องนี้ครับพี่ แล้วดูพี่ทำหน้าเข้าสิ อย่างกับพวกที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรักอย่างนั้นแหละ นี่ก็แต่งงานกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังไม่เลิกหวานกันอีกเหรอครับ” ริชาร์ดอดล้อเลียนพี่ชายไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกครั้งที่พูดถึงศรีภรรยา “หรือแกเลิกแล้ว ถึงเมียฉันจะซุ่มซ่าม แล้วก็ชอบทำอะไรแปลกๆ โดยเฉพาะเรื่องซ้อมกระต่าย แต่ฉันก็รักของฉันโว้ย แกเองก็เถอะอย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกก็หลงเมียหัวปักหัวปำเหมือนกัน” ริชาร์ดยักไหล่เมื่อถูกพี่ชายตอกกลับ “ก็ผมยังรู้สึกเหมือนเราเพิ่งรักกันเมื่อวานนี้เองนี่ครับ แล้วผมก็หลงรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ ไม่ว่าจะทำอะไรเมียผมก็น่ารักที่สุดในสายตาผมเสมอ” ทุกคนถึงกับเบ้หน้าเมื่
“ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่ไปอยู่กับหนูที่เยอรมันนะจ๊ะ” และนี่เป็นอีกอย่างที่เธอหวังเอาไว้ ด้วยไม่อยากทิ้งให้ท่านอยู่ที่นี่กันตามลำพัง ยังไงท่านก็แก่ตัวลงทุกวัน ไม่มีเธอสักคนแล้วใครจะดูแลพวกท่านล่ะ “ถ้าให้ไปเที่ยวข้ายังพอไหว แต่ถ้าให้ไปอยู่เลยข้าไม่เอาหรอก ข้ากลัวหนาวข้ากลัวหิมะ คนบ้านนอกอย่างข้าชอบจับจอบจับเสียม ทำไร่ทำนาไม่ชอบอยู่ว่างๆ อยู่โน่นเอ็งมีนามีไร่ให้ทำ มีควายให้ข้าเลี้ยงไหมล่ะ ที่สำคัญบ้านข้าอยู่นี่ สมบัติข้าก็อยู่นี่ ถึงมันจะไม่ได้มากมาย แต่มันก็เป็นความภูมิใจของข้า” คนเป็นพ่อบอก “แล้วใครจะเป็นดูแลพ่อกับแม่ตอนที่หนูไม่อยู่ล่ะจ๊ะ หนูไม่อยากทิ้งพ่อกับแม่ไว้ที่นี่ตามลำพังนี่จ๊ะ” เธอบอกพลางร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม “โธ่เอ๊ย! นังเด็กขี้แย โตจนจะมีผัวอยู่แล้ว ยังร้องไห้เป็นเด็กๆ อีก พ่อกับแม่ก็ไม่ได้แก่ถึงขั้นดูแลตัวเองไม่ได้สักหน่อย อีกอย่างเอ็งลืมเจ้าเอกมันแล้วหรือไง มีเจ้านั่นอยู่ด้วยทั้งคน เอ็งก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว” นางแช่มช้อยพูดไปถึงหลานชายที่พวกท่านเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็กๆ หวังได้ฝากผีฝากไข้กันตอนแก่ แต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นลูกอย่างชมพูแ
“โธ่! แม่มึง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมเอ็งถึงไม่รู้วะ เดี๋ยวข้าอธิบายให้ฟัง บอย แปลว่าเด็กผู้ชาย ส่วนเฟรนด์ ก็แปลว่าเพื่อน พอรวมกันก็หมายถึง เด็กผู้ชายเพื่อนไง” ผู้ใหญ่ชอบทำหน้าภูมิอกภูมิใจกับความสามารถของตัวเอง ในขณะที่ริคาโด้กลับทำหน้างงๆ เพราะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง “แล้วไอ้เด็กผู้ชายเพื่อนนี่มันคืออะไรล่ะพ่อมึง” ฝ่ายสามีถึงกับหันขวับมามองหน้าภรรยา เพราะตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน “เออ! นั่นสิ หรือมันจะบอกว่ามันเป็นเด็กผู้ชาย ข้าว่าต้องใช่แน่ๆ เลย คำคำนี้ข้าเรียนมาแล้ว มันแปลว่าเด็กผู้ชายแน่นอน ข้ามั่นใจ” ถึงจะงง แต่ผู้ใหญ่ชอบก็ยังมั่นใจในความรู้ของตัวเอง “แล้วเด็กผู้ชายที่ไหนมันจะตัวเท่าควายอย่างนี้ล่ะพ่อมึง ฉันว่าฉันถามมันดีกว่าว่ามันหมายถึงอะไร” ว่าแล้วนางแช่มช้อยก็หันไปถามแขกที่นั่งทำหน้าแหยๆ เพราะไม่ค่อยเข้าใจที่อีกฝ่ายกำลังคุยกันสักเท่าไหร่ “นี่ๆ ยูบัฟฟาโร่ เอ่อ...! วาย? อะบอยอีกวะ” ความจริงนางอยากถามว่า ตัวใหญ่อย่างกับควายขนาดนี้ ทำไมถึงยังคิดว่าตัวเองเด็กผู้ชายอีก แต่ให้ตายเถอะ! ภาษาที่นางพยายามจะสื่อออกมาฟังไ
“อะเอ่อ...มะเมื่อกี้พี่ว่าถามว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ค่อยชัด สงสัยสัญญาณไม่ค่อยดี” เมื่อเห็นว่าริชาร์ดพยายามหักห้ามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงครางออกมา จัสมินจึงต้องเริ่มมาตรการต่อไป เธอค่อยๆ เลื่อนตัวลงไปจนกระทั่งใบหน้างดงามจดจ้องอยู่ที่กายแกร่งของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาคาดโทษของเขา เธอใจกล้าขึ้นมาซะเฉยๆ ราวกับอยากจะท้าทาย ก็คนอย่างจัสมินเป็นพวกประเภทยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุนี่ ในเมื่อเขาห้าม เธอก็จะทำ “โอว...!” ริชาร์ดครางเสียงพร่าอย่างลืมตัว เมื่อกายแกร่งของเขาถูกครอบครองด้วยปากและลิ้นของเธอ (ไอ้ริชาร์ดนี่แกทำอะไรอยู่กันแน่วะ) ริคาโด้เริ่มสงสัย ในขณะที่ริชาร์ดกำลังพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายความเสียดเสียวที่เธอเป็นคนก่อ “เอ่อ...คือผมกำลัง.....โอว.....! อา....! อืม....! ซีด...!” สุดท้ายเสียงครางคงเป็นคำตอบที่อธิบายได้ดีที่สุดในเวลานี้ ด้วยสมองที่มึนเบลอจากการถูกจู่โจมแบบไม่คาดคิดของเธอ คงทำให้เขาคิดหาคำตอบดีๆ ให้พี่ชายไม่ได้แล้วล่ะ สิ่งเดียวที่คิดได้ในตอนนี้ก็คือ เขาจะจัดการกับแม่สาวช่างยั่วคนนี้ยังไงดี