ว่าแล้วเธอจำต้องยอมสวมบทเป็นนางทาสแต่งตัวให้นายท่านอย่างเขาด้วยความจำใจ แต่เธอก็มีวิธีที่จะไม่ต้องเห็นภาพบาดตานั่น ด้วยการปิดตามันดื้อๆ นี่แหละ รับรองไม่เห็นชัวร์ (เอ่อ! แต่ไอ้การปิดตาแบบนี้ ถึงมันจะไม่เห็นแต่มันก็ยังสัมผัสได้นี่) ยังไม่ทันขาดคำ ขณะที่เธอกำลังคุกเข่าเพื่อสวมอันเดอร์แวร์ให้เขาพร้อมกับปิดตาไปด้วย และไอ้การที่เธอกำลังปิดตานี่แหละที่ทำให้เธอทำอะไรไม่ค่อยสะดวก พยายามคลำโน่นคลำนี่เงอะงะไปหมด แน่นอนว่ามันอันตรายต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรของเขาด้วยเช่นกัน และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา เขาจึงพยายามเหวี่ยงตัวหลบมือเรียวของเธอ ในขณะที่เธอกลับพยายามไล่ตามจับมันอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ให้ตายเถอะ! ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเธอกำลังคลำหาอะไร แล้วเธอมาไล่จับของเขาเพื่ออะไรเนี่ย เดี๋ยวก็เป็นเรื่องหรอก เขากับเธอยังคงเล่นไล่จับกันอย่างเสียวไส้ ด้วยการขยับเอวซ้ายขวาซ้าย เอ้าซ้ายขวาซ้าย
View More“นัดฉันออกมาทานร้านหรูๆ แบบนี้ มีอะไรจะเซอร์ไพรส์ฉันรึเปล่า” ชมพูแพรทำท่ากระมิดกระเมี้ยนถามโทบี้แฟนหนุ่มของตัวเองหลังจากจัดการอาหารแสนอร่อยบนโต๊ะนั้นเรียบร้อยแล้ว ด้วยอดคิดเข้าข้างตัวเองในใจไม่ได้
‘อ๊าย! หรือว่าเขาจะขอเราแต่งงาน ตายแล้ว! เสื้อผ้าหน้าผมฉันเป็นไงบ้างเนี่ย ตายๆๆ อย่าเพิ่งขอตอนนี้นะ ขอฉันเสริมสวยแป๊บนึงสิ’ คิดได้ดังนั้น เธอจึงผุดลุกขึ้นแบบปุบปับทันที
“เฮ้ย! เป็นบ้าอะไรเนี่ย” โทบี้อุทานเสียงดัง เมื่อความรีบร้อนของชมพูแพรทำให้เธอไม่ทันระวัง เผลอดึงผ้าปูโต๊ะสีขาวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวฉันเช็ดให้นะ” นี่คงเป็นคำพูดติดปากของเธอไปแล้ว เมื่อความซุ่มซ่ามเฟอะฟะมันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที บ่อยครั้งเธอจึงต้องเอ่ยคำๆ นี้กับใครต่อใคร เมื่อนิสัยนี้มันกำเริบขึ้นมา (นิสัยนะ ไม่ใช่โรคร้าย กำร่งกำเริบอะไรล่ะ)
“ไม่เป็นไร ไม่ต้อง” โทบี้ทำท่าหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอทำให้เขาต้องกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นแบบนี้
“ไม่เป็นไรเหมือนกัน ฉันเต็มใจทำให้” ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายเกรงใจ เธอจึงเดินตรงเข้าไปหาอย่างสำนึกผิด และอยากจะชดใช้ในสิ่งที่ตัวเองทำลงไป แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเอาไว้
“โธ่เว้ย! ทำบ้าอะไรของเธอฮะชมพู่” เป็นอีกครั้งที่โทบี้อุทานเสียงดังออกมา เมื่อผ้าผืนเล็กๆ ที่ชมพูแพรตั้งใจเอามาใช้เช็ดทำความสะอาดให้นั้น ตอนนี้มันขึ้นไปอยู่บนหัวของโทบี้เรียบร้อยแล้ว ที่ร้ายไปกว่านั้น ผ้าผืนนั้นดันเป็นผ้าเช็ดปากที่เธอใช้แล้ว และมันก็มีรอยซอสมะเขือเทศเปื้อนเป็นหย่อมๆ ซะด้วยสิ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าสาธารณชนตอนนี้จึงเป็นภาพที่ดูไม่จืดเอาซะเลย
“ขอโทษ...ฉันรู้ว่าเธอคงเบื่อที่จะฟังคำนี้เต็มที แต่ฉันก็ยังต้องพูดอยู่ดี” เธอบอกเสียงอ่อยพร้อมกับก้มหน้าสำนึกผิดจากใจจริง และก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีกว่าการเอ่ยคำคำนี้
“ช่างเถอะ มาคุยเรื่องที่ฉันนัดเธอออกมาวันนี้เถอะ” โทบี้ตัดบทพร้อมกับนั่งลงทั้งที่ตัวเลอะๆ แบบนั้นต่อ ทำเอาชมพูแพรถึงกับยิ้มออก ‘เราทำถึงขนาดนี้ แต่เขาก็ยังไม่โกรธ เขาช่างเป็นคนดีเหลือเกิน อ๊าย! เขานี่แหละเหมาะที่จะเป็นพ่อของลูกฉันที่สุด’
“เอ่อ! เธอมีอะไรจะขอ เอ๊ย! พูดกับฉันงั้นเหรอ” ชมพูแพรทำท่าเขินอาย
“ฉันอยากจะขอ” โทบี้ยังพูดไม่ทันจบ ชมพูแพรก็แทรกขึ้นมาอีก
“คือ ฉันว่าฉันไปห้องน้ำก่อนดีกว่าเนอะ” ชมพูแพรผุดลุกขึ้นอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับผวาไปด้วย เพราะกลัวว่าเธอจะเผลอทำซุ่มซ่ามอะไรให้ตัวเองต้องอับอายอีก
“มะไม่ต้อง รอให้ฉันพูดจบแล้วเธอค่อยไปก็ได้ นั่งลงเถอะ” โทบี้รั้งแขนเธอให้นั่งลงที่เดิมอีกครั้ง ด้วยไม่อยากให้ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว
“เธออยากขออะไรฉันอย่างนั้นเหรอ” ชมพูแพรถามพลางบิดตัวไปมาด้วยความเขินอาย
‘ถ้าเขาขอเราแต่งงานตอนนี้ แล้วเราจะต้องทำหน้ายังไงนะ จะตอบเขาไปว่าอะไรดีล่ะชมพู่ จะได้ดูแบบสวยเลือกได้ อ๊าย! หรือเราต้องเล่นตัวนิดนึง’
“ฉันอยากจะขอเลิกกับเธอ ชมพู่” โทบี้บอกออกมาในที่สุด
“ตกลง” ชมพูแพรพลั้งปากตอบออกไปอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเล่นตัว ที่สำคัญเธอลืมไตร่ตรองคำพูดของอีกฝ่ายให้ดีซะก่อนด้วยนี่สิ
“มะเมื่อกี้ เธอว่าอะไรนะ” เมื่อลองทบทวนให้ดี เธอจึงถามกลับไปอีกครั้งด้วยหน้าตาแตกตื่น ต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสีหน้าก่อนหน้า
“เราเลิกกันเถอะ” โทบี้บอกอีกครั้งชัดถ้อยชัดคำ ชัดจนดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาท ‘เราเลิกกันเถอะ เราเลิกกันเถอะ เราเลิกกันเถอะ’
“ทะๆ ทำไม” เธอถามออกไปด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ในเมื่อก่อนหน้า เธอกับอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไปกันได้ด้วยดี มันดีซะจนเธอยังคิดว่ามันจะต้องลงเอยด้วยการแต่งงานกันด้วยซ้ำ แต่แล้วทุกอย่างก็กลับตาลปัตร
“มันก็หลายเหตุผล เธออยากให้ฉันสาธยายจริงๆ น่ะเหรอ เอาง่ายๆ ข้อแรกเธอซุ่มซ่าม” โทบี้ยังไม่ทันสาธยายต่อ เธอก็แทรกขึ้นมาซะก่อน
“แต่เธอเคยบอกว่ามันน่ารักดี” ใช่! นี่เป็นประโยคที่อีกฝ่ายเคยพูดเมื่อครั้งยังคบกันแรกๆ ซึ่งเธอก็แสนจะดีใจที่มีคนรับปมข้อนี้ของเธอได้ ทำให้เธอสุดแสนจะปลื้มผู้ชายคนนี้เป็นนักหนา
“ใช่ ฉันเคยบอกว่ามันน่ารัก แต่อาการของเธอมันกลับหนักข้อขึ้นทุกวัน จนฉันไม่คิดว่าจะมีใครซุ่มซ่ามได้เท่าเธออีก ลองคิดดูนะเธอทำให้ฉันต้องผวาตลอดเวลาที่มีเธออยู่ใกล้ๆ กังวลต่างๆ นานา ว่าวันนี้เธอจะทำเรื่องอะไรให้ฉันต้องอายอีก ดูอย่างเมื่อกี้สิ เธอทำให้ฉันอายตั้งหลายครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน มันคงเป็นสถิติที่ไม่เคยมีใครซุ่มซ่ามได้เท่าเธออีกแล้ว” โทบี้บอกตามตรง แต่มันคงเป็นข้ออ้างของคนที่หมดใจไปแล้วมากกว่า
“แต่เธอก็เห็นว่าฉันกำลังพยายามปรับปรุงตัวเองอยู่” ชมพูแพรพยายามยื้อ ด้วยไม่อยากให้ความรักครั้งนี้จบลงง่ายๆ เพียงเพราะเหตุผลที่ฟังดูงี่เง่าแบบนี้ ถึงแม้มันจะเป็นความจริงก็เถอะ
“มันไม่มีประโยชน์ ตลอดสามเดือนที่คบกัน ฉันรอให้เธอปรับปรุงตัวมาตลอด แต่มันก็ไม่เคยมีอะไรดีขึ้น ยิ่งเธอพยายามมันก็ยิ่งแย่ ฉันว่ายังไงเราก็ไปด้วยกันไม่รอดหรอก” ชมพูแพรมองหน้าอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะถามอีก
“นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีกรึเปล่าที่ทำให้เธอตัดสินใจเลิกกับฉัน” เป็นเพราะเหตุผลงี่เง่าที่อีกฝ่ายใช้ ทำให้เธอคิดว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านี้
“ก็บอกเขาไปสิโทบี้ ว่าเธอเบื่อผู้หญิงจืดชืดอย่างแม่นี่เต็มทีแล้ว ฉันไม่เข้าใจเธอจริงๆ เลยนะโทบี้ เธอทนคบกับผู้หญิงเฉิ่มๆ แบบนี้ได้ยังไง ทั้งเฉิ่ม ทั้งเชย ไร้รสนิยมสุดๆ” ดูเหมือนลางสังหรณ์ของเธอจะเป็นจริง เมื่อคนที่ตอบไม่ใช่โทบี้แต่เป็นเป็นลิลลี่คู่ปรับตลอดกาลของเธอนั่นเอง
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับเธอไม่ทราบยัยดอกหน้าวัว” ชมพูแพรหันมาถามด้วยความไม่พอใจ เมื่ออีกฝ่ายเข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ
“ช่วยบอกให้ยัยชมพู่เน่าได้ยินชัดๆ หน่อยสิโทบี้ ว่าที่เธอเลิกกับเขาเพราะว่าอะไร ฮ่าๆๆ แต่จะว่าไปให้เธอฟังจากปากฉันน่าจะสะใจกว่านะ ฟังให้ดีนะยัยชมพู่เน่า ที่เขาเลิกกับเธอ...ก็เพราะว่าเขาเห็นฉันดีกว่า สวยกว่า น่าสนใจกว่า สรุปก็คือ ฉันเหนือกว่าเธอในทุกๆ ด้านยังไงล่ะ ฮ่าๆๆ” ชมพูแพรหันมามองหน้าทั้งสองคนราวกับไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ
“เอ้อ! สวัสดีค่ะพี่ริชาร์ด เมื่อกี้พี่ริชาร์ดบอกว่ามีอะไรจะคุยกับแคทอย่างนั้นเหรอคะ” เมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อน แคทเทอรีนจึงรีบแก้สถานการณ์ความอายให้ “ก็เรื่องงานนั่นแหละ ว่าแต่ขอพี่นั่งด้วยคนได้ไหมล่ะ” แคทเทอรีนทำหน้าเหลอหลาขึ้นมาทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเผลอลืมมารยาทที่จะต้องชวนให้อีกฝ่ายนั่งซะก่อน เป็นเพราะความเฟอะฟะซุ่มซ่ามของชมพูแพรแท้ๆ ที่ทำให้เธอพลอยป้ำๆ เป๋อๆ ไปด้วย “เอ่อ! ชะๆ เชิญค่ะพี่ริชาร์ด” แคทเทอรีนทำหน้าจืดเจื่อน ในขณะที่อีกฝ่ายยังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ “ขอบคุณครับ ว่าแต่พี่มากวนเวลาคุยของเรากับเพื่อนรึเปล่าแคท” เมื่อนั่งลงแล้ว ริชาร์ดก็ไม่ลืมที่จะถามกลับไปอีก ซึ่งนั่นก็ทำให้แคทเทอรีนนึกถึงมารยาทข้อนึงขึ้นมาได้อีก ซึ่งก็คือ การแนะนำให้อีกฝ่ายได้รู้จักกับเพื่อนๆ ของเธอนั่นเอง “ไม่เลยค่ะ เอ่อ! พี่ริชาร์ดคะ นี่ชมพูแพร นี่จัสมิน เพื่อนรักของแคทเองค่ะ” แคทเทอรีนทำเสียงนอบน้อม เนื่องจากอีกฝ่ายอาวุโสกว่าทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิ ถึงแม้ริชาร์ดจะเป็นญาติของเธอก็ตาม แต่ก็แค่ญาติห่างๆ และเธอก็ยังรู้สึกเกรงใจและเกร็งทุกครั้งที่
“นี่! ฉันถามแกจริงๆ เหอะ ที่แกเป็นอยู่ตอนนี้เนี่ย แกโกรธหรือว่าเสียใจกันแน่วะ” ทันทีที่เห็นหน้ามุ่ยๆ ของเพื่อน จัสมินถึงกับอดถามไม่ได้ “ก็ทั้งสองอย่าง แกคิดดูสิฉันอุตส่าห์ดีใจ หลงคิดว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่ใช่ โทบี้เป็นผู้ชายที่ฉันคบด้วยนานที่สุดนะ เขาทำให้ฉันคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขารักฉันมาก มากจนไม่ถือเรื่องที่ฉันซุ่มซ่าม แต่สุดท้ายก็เปล่าเลย ฉันเสียใจอ่ะแก” ชมพูแพรก้มหน้าบอกเสียงสั่นเครือ“ก็แค่สามเดือนที่แกกับหมอนั่นคบกัน จะเสียใจอะไรนักหนาวะ เออ! ว่าแต่สามเดือนนี่นานที่สุดสำหรับแกแล้วเหรอ” จัสมินถามไปก็อดขำไปด้วยไม่ได้“ก็ใช่น่ะสิ แค่สามเดือน แกใช้คำว่าแค่ได้ยังไง มันตั้งสามเดือนเชียวนะ คิดดูสิคนก่อนๆ ที่คบกันไม่ถึงเดือนก็เผ่นหนีฉันแทบไม่ทันแล้ว แบบนี้จะไม่ให้ฉันเสียใจได้ยังไง แกไม่เป็นฉันแกก็พูดได้สิ ไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ” ชมพูแพรหันมาตัดพ้อ แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้จัสมินขำได้ก็ไม่รู้ “เอาน่า! ก็แค่อกหัก ไม่ถึงตายหรอก ดีไม่ดีฉันว่าแกไม่ได้เจ็บหรอก ที่แกเป็นอยู่ตอนนี้เพราะแกเจ็บใจมากกว่า ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ แกเจ็บใจที่ถูกยัยลิลลี่แย่งแฟน” ชมพูแพรหัน
“โทษฉันไม่ได้นะ ก็เธอมันเล่นตัว ตลอดเวลาที่เราคบกันอย่างมากเธอก็ให้ได้แค่จับมือ ฉันเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ก็ต้องอยากได้อะไรที่มันมากกว่านี้ แต่ในเมื่อเธอให้ไม่ได้ ฉันก็ต้องไปหาอะไรที่ดีกว่า แล้วลิลลี่เป็นอะไรที่สุดยอดมากสำหรับฉัน” สีหน้าที่ทำราวกับหลงอีกฝ่ายอย่างหัวปักหัวปำของโทบี้ ทำเอาชมพูแพรถึงกับกลอกตาไปมา แน่นอนว่าเธอให้สิ่งที่อีกฝ่ายขอไม่ได้แน่“ก็ถ้าเขาเลิกกับแกเพราะเรื่องนี้ แกก็ไม่ควรคบกับผู้ชายพรรค์นี้อีก ขืนแกทนคบกันต่อไปก็มีแต่จะเสียใจ ผู้ชายแบบนี้ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษให้เห็นหรอก ปล่อยให้ผีเน่าไปอยู่กับโลงผุน่าจะเหมาะกว่า หญิงก็ร้ายชายก็เลวไม่มีอะไรให้น่าเสียดายสักนิด คนดีๆ อย่างแกหลุดพ้นออกมาได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว” แคทเทอรีนและจัสมินเพื่อนรักของชมพูแพรที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่นานสองนาน ทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงออกมาปกป้องเพื่อนบ้าง“เรื่องนี้เธอสองคนไม่เกี่ยว อย่าแส่” ลิลลี่หันมาขึ้นเสียงใส่ด้วยความไม่พอใจ“ก็ถ้าเธอไม่เข้ามาแส่ก่อน พวกฉันสองคนก็ไม่อยากยุ่งเหมือนกัน” จัสมินตอกกลับในทันทีอย่างไม่ยอมน้อยหน้า“แต่เรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องของฉันเหมือนกัน ทำไมฉันจะยุ่งไม่ได้ ไม่เหมือนกับพวก
“นัดฉันออกมาทานร้านหรูๆ แบบนี้ มีอะไรจะเซอร์ไพรส์ฉันรึเปล่า” ชมพูแพรทำท่ากระมิดกระเมี้ยนถามโทบี้แฟนหนุ่มของตัวเองหลังจากจัดการอาหารแสนอร่อยบนโต๊ะนั้นเรียบร้อยแล้ว ด้วยอดคิดเข้าข้างตัวเองในใจไม่ได้ ‘อ๊าย! หรือว่าเขาจะขอเราแต่งงาน ตายแล้ว! เสื้อผ้าหน้าผมฉันเป็นไงบ้างเนี่ย ตายๆๆ อย่าเพิ่งขอตอนนี้นะ ขอฉันเสริมสวยแป๊บนึงสิ’ คิดได้ดังนั้น เธอจึงผุดลุกขึ้นแบบปุบปับทันที “เฮ้ย! เป็นบ้าอะไรเนี่ย” โทบี้อุทานเสียงดัง เมื่อความรีบร้อนของชมพูแพรทำให้เธอไม่ทันระวัง เผลอดึงผ้าปูโต๊ะสีขาวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ เดี๋ยวฉันเช็ดให้นะ” นี่คงเป็นคำพูดติดปากของเธอไปแล้ว เมื่อความซุ่มซ่ามเฟอะฟะมันเป็นนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แก้เท่าไหร่ก็ไม่หายสักที บ่อยครั้งเธอจึงต้องเอ่ยคำๆ นี้กับใครต่อใคร เมื่อนิสัยนี้มันกำเริบขึ้นมา (นิสัยนะ ไม่ใช่โรคร้าย กำร่งกำเริบอะไรล่ะ) “ไม่เป็นไร ไม่ต้อง” โทบี้ทำท่าหงุดหงิดเล็กน้อยที่เธอทำให้เขาต้องกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นแบบนี้ “ไม่เป็นไรเหมือนกัน ฉันเต็มใจทำให้” ด้วยคิดว่าอีกฝ่
Comments