“นี่คุณ ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกฉันแบบนี้อีก ฉันไม่ชอบ” ถึงจะอาละวาดไม่ได้ แต่เธอก็สามารถแสดงอารมณ์โกรธผ่านทางน้ำเสียงและสีหน้าได้
“แล้วคุณจะให้ผมเรียกคุณว่าอะไรล่ะ” ริชาร์ดถามกลับไปแบบกวนๆ ด้วยรู้ดีว่าจะต้องเรียกเธอว่าอะไร
“ก็เรียกชื่อฉันไง หรือจะเรียกเธอ เรียกคุณอะไรก็ได้เลือกมาสักอย่างที่ไม่ใช่ชื่อนั้น” จัสมินบอกด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดอีก
“ก็มันเรียกยาก ชื่อมะลิเรียกง่ายดี ผมชอบ” จัสมินกัดฟันกรอดอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายยังตั้งหน้ากวนประสาทเธอแบบนี้
“คุณชอบ แต่ฉันไม่ชอบ นี่คุณตั้งใจจะกวนโมโหฉันใช่ไหมเนี่ยคุณริชาร์ด” จัสมินขึ้นเสียงอย่างเหลืออด จนเพื่อนทั้งสองที่ได้แต่ยืนมองคู่ปรับขิงข่าสลับกันไปมา ถึงกับต้องรีบห้าม ไม่อย่างนั้นอาจเกิดศึกขึ้นได้
“เอ่อ! แคทว่าพี่ริชาร์ดให้คนพาพวกเราไปดูงานที่จะต้องทำดีกว่านะคะ แคทอยากเริ่มงานจะแย่แล้วล่ะค่ะ” แคทเทอรีนรีบแทรกขึ้น
“อืม! จริงสิ พอดีพี่มัวแต่ยุ่งๆ เอาเป็นว่าพี่จะพาทุกคนไปส่งที่แผนกแล้วกันนะ จะได้ถือโอกาสแนะนำให้พวกเราได้รู้จักกับทุกคนด้วยเลย” ริชาร์ดอาสาและเดินนำทั้งสามสาวออกไป
“เอ่อ! แคทว่าพี่ไม่ต้องไปเองก็ได้ค่ะ ให้ใครพาพวกเราไปก็ได้ พี่เป็นถึงผู้บริหารต้องมาทำอะไรแบบนี้ มันจะดูไม่ดีนะคะ” แคทเทอรีนบอกด้วยความเกรงใจ ด้วยไม่อยากให้พนักงานคนอื่นๆ เขม่นพวกเธอเอาได้ว่าเป็นเด็กเส้น
“พนักงานก็คน ผู้บริหารก็คน พี่เป็นคนไม่ชอบแบ่งชั้นวรรณะ เพราะฉะนั้นใครจะมองเรายังไง ก็ไม่เห็นต้องสนใจ ในเมื่อเราไม่ได้ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ใส่ใจคำพูดของคนอื่นน่ะมันก็ดีหรอก แต่อย่าเอาคำพูดนั้นมาตัดสินทุกอย่างในชีวิตสิ เพราะถ้าเราเอาคำพูดของใครต่อใครมาคิด มันก็จะมีผลต่อชีวิตเราเอง แล้วเราเองนั่นแหละที่จะอยู่ในสังคมนี้ไม่ได้” คำพูดของริชาร์ดทำเอาทั้งสามสาวถึงกับเป็นปลื้มไปตามๆ กัน ถึงแม้อีกหนึ่งสาวจะพยายามเก็บอาการเอาไว้แล้วก็ตาม
“ใจพี่หล่อมาก เท่สุดๆ พี่เอาใจหนูไปเลยเถอะ” ชมพูแพรทำท่าปลาบปลื้มจนออกนอกหน้า ในขณะที่คนถูกชมเพียงหันมายิ้มอ่อนให้
หลังจากที่จัดการพาชมพูแพรและแคทเทอรีนไปยังแผนกแล้ว จึงเหลือแค่ริชาร์ดกับจัสมินเท่านั้นที่ยังเดินอยู่ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเธอต้องไม่พอใจอยู่แล้ว
“ทำไมต้องให้เราสามคนแยกกันทำงานด้วยล่ะ ในเมื่อคุณเป็นคนบอกเองว่าอยากได้งานแบบเป็นทีมเวิร์ก แต่พอเอาเข้าจริงคุณกลับแยกพวกเราออกจากกัน ทำแบบนี้มันหมายความว่ายังไง” จัสมินถามตรงๆ
“ใช่ ผมบอกแบบนั้นจริงๆ แต่การทำงานเป็นทีมเวิร์ก โดยที่ไม่รู้ระบบอะไรเกี่ยวกับบริษัทนี้เลย คุณคิดว่างานที่พวกคุณทำออกมามันจะมีประสิทธิภาพไหมล่ะ การที่ผมส่งพวกคุณออกไปทำงานคนละที่คนละแผนกแบบนี้ ก็เพื่อให้พวกคุณได้เรียนรู้งานในแต่ละด้าน ถึงเวลาที่พวกคุณจะต้องทำงานร่วมกันเมื่อไหร่ จะได้ไม่มีอะไรติดขัด ทีนี้เข้าใจรึยังหืม” จัสมินได้ฟังถึงกับสะอึกจนพูดไม่ออก จำต้องยอมรับในความคิดของอีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อโต้แย้งอีก ถึงเธอจะไม่ชอบหน้าเขา แต่ก็ใช่ว่าเธอจะไร้เหตุผลนี่นา
“เอาล่ะ ถึงโต๊ะทำงานของคุณแล้ว” ริชาร์ดพูดขึ้นหลังจากที่เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง ซึ่งมีโต๊ะทำงานวางอยู่หน้าห้อง
“เอ่อ! แล้วฉันต้องทำงานกับใครคะ” จัสมินถามเสียงอ่อยๆ อดกลัวไม่ได้ว่าเจ้านายของตัวเองจะดุ
“ก็กับผมไง นั่นห้องทำงานผม จากนี้ไปคุณจะต้องทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาของผม อ้อ! คุณนาตาลีมาโน่นพอดี คุณนาตาลีนี่คุณจัสมิน เขาจะมาเป็นผู้ช่วยของคุณนับแต่นี้เป็นต้นไป ฝากด้วยละกันนะครับ” พูดจบริชาร์ดก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ปล่อยให้สองสาวต่างวัยเผชิญหน้ากันโดยลำพัง
“สวัสดีค่ะคุณนาตาลี ฉันจัสมิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ มีอะไรให้ฉันทำ สั่งมาได้ทุกอย่างเลยนะคะ ฉันไม่เกี่ยงงานค่ะ” เมื่อตัวเองเป็นผู้น้อยกว่า จัสมินจึงถือโอกาสฝากเนื้อฝากตัวอย่างนอบน้อม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเพียงแค่เหลือบมามองเธอนิดเดียว ทำเอาคนที่เคยมั่นใจในตัวเอง ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว จะว่ากลัวก็กลัว จะว่าเกรงก็เกรง ก็บุคลิคท่าทางของอีกฝ่ายน่ากลัวหยอกซะที่ไหนล่ะ หญิงสูงวัยกับแว่นหนาๆ ไหนจะยูนิฟอร์มที่ดูคร่ำครึโบราณนั่นอีก ใครจะไปคิดล่ะว่าคนตะวันตกจะมีโมเมนท์แบบนี้ด้วย เห็นแล้วให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปตอนเป็นเด็กมัธยมอีกครั้ง ด้วยกำลังรู้สึกเหมือนถูกครูฝ่ายปกครองกำลังจับผิดยังไงยังงั้นเลย
“ไปชงกาแฟสิ แล้วก็เอาเข้าไปเสิร์ฟให้บอสในห้องด้วย” เลขาหน้านิ่งหันมาสั่ง ก่อนจะหันกลับไปสนใจงานบนโต๊ะของตัวเองต่อ ทำให้คนถูกสั่งได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินไปจัดการตามที่สั่ง โดยไม่สามารถปริปากใดๆ ได้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก จัสมินกลับมาพร้อมกับกาแฟหอมกรุ่น ก่อนจะเคาะประตูห้องของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายของเธอในเวลานี้
“เป็นไงบ้าง! ผมหมายถึงคุณกับคุณนาตาลีน่ะ พวกคุณไปด้วยกันได้ดีใช่ไหม” ริชาร์ดเปิดฉากถามทันทีที่เห็นเธอเดินเข้ามา
“เอาจริงๆ นะฉันว่าไม่เลยล่ะ อยู่กับคุณป้า เอ้อ! ฉันหมายถึงคุณนาตาลีน่ะค่ะ อยู่กับเขาแล้วฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนที่กำลังถูกเพ่งเล็งยังไงก็ไม่รู้ คุณมีตำแหน่งอื่นให้ฉันทำนอกจากการเป็นคนชงกาแฟแบบนี้ไหม ขืนให้ฉันทำแต่หน้าที่นี้ ฉันคงได้เอาประสบการณ์ไปเปิดร้านกาแฟแทนแน่” จัสมินโอดครวญกับสภาวะที่รู้สึกเหมือนถูกกดดันด้วยสายตาแบบนั้น ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับยิ้มชอบใจที่เธอยอมพูดกับเขาตรงๆ แบบนี้
“อืม! จะว่าไปฝีมือชงการแฟของคุณก็ใช้ได้เลยนี่ เห็นทีผมคงให้คุณไปทำงานตำแหน่งอื่นไม่ได้แล้วล่ะ เพราะผมชักจะติดใจฝีมือการชงกาแฟของคุณเข้าแล้ว” พูดจบริชาร์ดก็ยิ้มกริ่ม แต่คนฟังนี่สิที่ยิ้มไม่ออก
“รู้งี้ฉันใส่เกลือแทนน้ำตาลก็ดีหรอก โอ๊ย! ฉันมานี่ไม่ได้มาเป็นพนักงานชงกาแฟให้คุณนะ ย้าย...” ยังไม่ทันที่จัสมินจะได้พูดจนจบประโยค ประตูห้องท่านรองประธานก็ถูกเปิดเข้ามาด้วยฝีมือคุณเลขาเจ้าระเบียบที่เธอกลัวนักกลัวหนา และที่น่ากลัวไปมากกว่านั้น คือสายตาดุๆ ที่กำลังมองมายังเธอนี่ล่ะ
“เฮ้ย!” แล้วทั้งสามก็อุทานออกมาพร้อมกันอีก เมื่อตอนนี้เหล่ามนุษย์เมียนั่งอยู่ในร้านเดียวกับพวกเขา แต่เป็นคนละมุม ซึ่งแน่นอนว่าทางฝั่งนั้นมองไม่เห็นพวกเขาที่อยู่ทางฝั่งนี้ แต่ทางฝั่งนี้นี่เห็นเต็มสองตา ที่สำคัญไม่ได้เห็นแค่พวกเธอเท่านั้น แต่ยังเห็นหนุ่มๆ ที่จ้องจะขายขนมจีบให้เมียพวกเขาด้วย “ตายแน่มึง” ริคาโด้คำรามในลำคอ ตั้งใจจะไปจัดการกับผู้ชายพวกนั้นที่บังอาจมาเจ๊าะแจ๊ะกับเมียสุดที่รักของเขา แต่กลับถูกมาคัสห้ามเอาไว้ซะก่อน “เฮ้ย! ใจเย็นก่อน แกอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าทำไมมนุษย์เมียพวกนี้ถึงยังไม่ท้องสักที ทำไมเราไม่ใช้โอกาสนี้ไปแอบฟังว่าพวกนั้นมีเกราะป้องกันอย่างที่แกว่ารึเปล่าล่ะ” มาคัสบอกอย่างมีแผนการ ในขณะที่อีกสองคนร่ำๆ จะทนไม่ไหวซะให้ได้ “แล้วแกจะปล่อยให้ไอ้หน้าละอ่อนพวกนั้นก้อร่อก้อติกกับเมียพวกเราแบบนั้นเหรอวะ” ริคาโด้ร่ำๆ จะหมดความอดทนซะให้ได้ ใครๆ ก็รู้นี่ว่าเขาหวงเมียยิ่งกว่าอะไรดี แล้วต้องมาทนดูภาพแบบนี้ (เอิ่ม! ความจริงก็แค่มีผู้ชายเข้ามาคุยกับพวกเธอเฉยๆ เองนะ ทำท่าอย่างกับมีใครจะมาแย่งเมียไปอย่างนั้นแหละ นี่ล่ะนะความรัก ทำให้ประสิทธ
“ก็ถ้าไม่ไหว ทำไมแกไม่บอกเขาไปตรงๆ วะ” มาคัสรู้สึกสาร เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าสุดรันทดของอีกฝ่าย “บอกไปก็เสียเชิงชายสิครับคุณมาคัส มันจะได้หาว่าผมไม่มีน้ำยา เรื่องแบบนี้มันเป็นศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ฆ่าได้หยามไม่ได้ ต่อให้ต้องตายคาอก ไอ้เคนคนนี้ก็จะไม่ยอมปริปากบ่นสักคำ” เคนบอกเสียงหนักแน่น “เออ! งั้นก็ขอให้แกตายในหน้าที่สมใจแล้วกัน เฮ้อ! นี่ตกลงเราคุยกันเรื่องอะไรวะ ทำไมถึงได้มาจบที่ฟ้าเหลืองของแกได้วะ ให้ตายสิ! เรื่องของแกมันไม่จรรโลงใจสำหรับคนรักเมียอย่างฉันเลยว่ะ” ริคาโด้ส่ายหน้าเอือมๆ “ใครไม่เป็นผมก็พูดได้สิ ไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ มนุษย์เมียน่ากลัวเท่าไหร่ หนึ่งคืนกี่ครั้งยังจำไม่ได้ แต่แล้วสุดท้ายมันยังไม่พอ มันหมดไปแล้วทุกความรู้สึก ให้คึกทั้งคืนคงทำไม่ไหว เธอช่วยหยุดหื่นสักที เมื่อฟ้าเหลืองนั้นมีอยู่จริง” (โปรดใส่ทำนองเพลงไม่เจ็บอย่างฉันใครจะเข้าใจ ของฟิล์มบงกชเข้าไป) เป็นเพราะอยากให้ทุกคนเข้าใจถึงหัวอก เคนจึงพยายามอธิบายออกมาเป็นเพลง แต่มันกลับทำให้ทุกคนต้องเบือนหน้าหนีเพราะเสียงร้องสั่นประสาทของเคน และก่อนที่พวกเขาจะสูญเสียระบบประสาท
หลายเดือนต่อมา หลังจากที่ทั้งสามคู่พากันทยอยแต่งงานไปตามๆ กัน ไม่เว้นแม้กระทั่งเคนและโคดี้ก็มีคู่กับเขาเช่นกัน วันนี้หนุ่มๆ จึงนัดสังสรรค์กันตามประสาคนมีเมีย ส่วนเรื่องที่คุยกันน่ะเหรอ ก็เรื่องชีวิตหลังความโสดของแต่ละคนยังไงล่ะ “อืม...! พวกแกว่าความรักเหมือนอะไรวะ” จู่ๆ ริคาโด้ก็ถามขึ้น “คิดยังไงถึงถามเรื่องนี้ครับพี่ แล้วดูพี่ทำหน้าเข้าสิ อย่างกับพวกที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความรักอย่างนั้นแหละ นี่ก็แต่งงานกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังไม่เลิกหวานกันอีกเหรอครับ” ริชาร์ดอดล้อเลียนพี่ชายไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทุกครั้งที่พูดถึงศรีภรรยา “หรือแกเลิกแล้ว ถึงเมียฉันจะซุ่มซ่าม แล้วก็ชอบทำอะไรแปลกๆ โดยเฉพาะเรื่องซ้อมกระต่าย แต่ฉันก็รักของฉันโว้ย แกเองก็เถอะอย่านึกนะว่าฉันไม่รู้ว่าแกก็หลงเมียหัวปักหัวปำเหมือนกัน” ริชาร์ดยักไหล่เมื่อถูกพี่ชายตอกกลับ “ก็ผมยังรู้สึกเหมือนเราเพิ่งรักกันเมื่อวานนี้เองนี่ครับ แล้วผมก็หลงรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ ไม่ว่าจะทำอะไรเมียผมก็น่ารักที่สุดในสายตาผมเสมอ” ทุกคนถึงกับเบ้หน้าเมื่
“ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่ไปอยู่กับหนูที่เยอรมันนะจ๊ะ” และนี่เป็นอีกอย่างที่เธอหวังเอาไว้ ด้วยไม่อยากทิ้งให้ท่านอยู่ที่นี่กันตามลำพัง ยังไงท่านก็แก่ตัวลงทุกวัน ไม่มีเธอสักคนแล้วใครจะดูแลพวกท่านล่ะ “ถ้าให้ไปเที่ยวข้ายังพอไหว แต่ถ้าให้ไปอยู่เลยข้าไม่เอาหรอก ข้ากลัวหนาวข้ากลัวหิมะ คนบ้านนอกอย่างข้าชอบจับจอบจับเสียม ทำไร่ทำนาไม่ชอบอยู่ว่างๆ อยู่โน่นเอ็งมีนามีไร่ให้ทำ มีควายให้ข้าเลี้ยงไหมล่ะ ที่สำคัญบ้านข้าอยู่นี่ สมบัติข้าก็อยู่นี่ ถึงมันจะไม่ได้มากมาย แต่มันก็เป็นความภูมิใจของข้า” คนเป็นพ่อบอก “แล้วใครจะเป็นดูแลพ่อกับแม่ตอนที่หนูไม่อยู่ล่ะจ๊ะ หนูไม่อยากทิ้งพ่อกับแม่ไว้ที่นี่ตามลำพังนี่จ๊ะ” เธอบอกพลางร้องไห้น้ำตาอาบแก้ม “โธ่เอ๊ย! นังเด็กขี้แย โตจนจะมีผัวอยู่แล้ว ยังร้องไห้เป็นเด็กๆ อีก พ่อกับแม่ก็ไม่ได้แก่ถึงขั้นดูแลตัวเองไม่ได้สักหน่อย อีกอย่างเอ็งลืมเจ้าเอกมันแล้วหรือไง มีเจ้านั่นอยู่ด้วยทั้งคน เอ็งก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว” นางแช่มช้อยพูดไปถึงหลานชายที่พวกท่านเอามาเลี้ยงไว้ตั้งแต่เด็กๆ หวังได้ฝากผีฝากไข้กันตอนแก่ แต่ถึงอย่างนั้นคนเป็นลูกอย่างชมพูแ
“โธ่! แม่มึง เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมเอ็งถึงไม่รู้วะ เดี๋ยวข้าอธิบายให้ฟัง บอย แปลว่าเด็กผู้ชาย ส่วนเฟรนด์ ก็แปลว่าเพื่อน พอรวมกันก็หมายถึง เด็กผู้ชายเพื่อนไง” ผู้ใหญ่ชอบทำหน้าภูมิอกภูมิใจกับความสามารถของตัวเอง ในขณะที่ริคาโด้กลับทำหน้างงๆ เพราะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง “แล้วไอ้เด็กผู้ชายเพื่อนนี่มันคืออะไรล่ะพ่อมึง” ฝ่ายสามีถึงกับหันขวับมามองหน้าภรรยา เพราะตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน “เออ! นั่นสิ หรือมันจะบอกว่ามันเป็นเด็กผู้ชาย ข้าว่าต้องใช่แน่ๆ เลย คำคำนี้ข้าเรียนมาแล้ว มันแปลว่าเด็กผู้ชายแน่นอน ข้ามั่นใจ” ถึงจะงง แต่ผู้ใหญ่ชอบก็ยังมั่นใจในความรู้ของตัวเอง “แล้วเด็กผู้ชายที่ไหนมันจะตัวเท่าควายอย่างนี้ล่ะพ่อมึง ฉันว่าฉันถามมันดีกว่าว่ามันหมายถึงอะไร” ว่าแล้วนางแช่มช้อยก็หันไปถามแขกที่นั่งทำหน้าแหยๆ เพราะไม่ค่อยเข้าใจที่อีกฝ่ายกำลังคุยกันสักเท่าไหร่ “นี่ๆ ยูบัฟฟาโร่ เอ่อ...! วาย? อะบอยอีกวะ” ความจริงนางอยากถามว่า ตัวใหญ่อย่างกับควายขนาดนี้ ทำไมถึงยังคิดว่าตัวเองเด็กผู้ชายอีก แต่ให้ตายเถอะ! ภาษาที่นางพยายามจะสื่อออกมาฟังไ
“อะเอ่อ...มะเมื่อกี้พี่ว่าถามว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ค่อยชัด สงสัยสัญญาณไม่ค่อยดี” เมื่อเห็นว่าริชาร์ดพยายามหักห้ามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงครางออกมา จัสมินจึงต้องเริ่มมาตรการต่อไป เธอค่อยๆ เลื่อนตัวลงไปจนกระทั่งใบหน้างดงามจดจ้องอยู่ที่กายแกร่งของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นสายตาคาดโทษของเขา เธอใจกล้าขึ้นมาซะเฉยๆ ราวกับอยากจะท้าทาย ก็คนอย่างจัสมินเป็นพวกประเภทยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุนี่ ในเมื่อเขาห้าม เธอก็จะทำ “โอว...!” ริชาร์ดครางเสียงพร่าอย่างลืมตัว เมื่อกายแกร่งของเขาถูกครอบครองด้วยปากและลิ้นของเธอ (ไอ้ริชาร์ดนี่แกทำอะไรอยู่กันแน่วะ) ริคาโด้เริ่มสงสัย ในขณะที่ริชาร์ดกำลังพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลายความเสียดเสียวที่เธอเป็นคนก่อ “เอ่อ...คือผมกำลัง.....โอว.....! อา....! อืม....! ซีด...!” สุดท้ายเสียงครางคงเป็นคำตอบที่อธิบายได้ดีที่สุดในเวลานี้ ด้วยสมองที่มึนเบลอจากการถูกจู่โจมแบบไม่คาดคิดของเธอ คงทำให้เขาคิดหาคำตอบดีๆ ให้พี่ชายไม่ได้แล้วล่ะ สิ่งเดียวที่คิดได้ในตอนนี้ก็คือ เขาจะจัดการกับแม่สาวช่างยั่วคนนี้ยังไงดี