ลินินก้าวออกจากออฟฟิศในสภาพที่เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง
คำพูดของชายหนุ่มยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ทันทีที่พ้นรัศมีของตึกสูงระฟ้า เธอก็ต่อสายหาที่พึ่งหนึ่งเดียวของเธอทันที
[มึงงงงงงงงงงงง !] เสียงโหยหวนของมิ้นท์ดังทะลุโทรศัพท์ออกมาจนเธอต้องรีบดึงออกห่างจากหู [กูได้ยินข่าวมาจากฝ่าย AE แล้ว เรื่องจริงเหรอวะ ? ไปภูเก็ตด้วยกันสองต่อสอง นี่มันไม่ใช่ business trip แล้วมึง นี่มันฮันนีมูนนรกชัด ๆ]
“มึงเบา ๆ” ลินินปรามเพื่อน แต่ในใจก็อดคล้อยตามไม่ได้ “กูก็เพิ่งรู้เมื่อกี้นี้เอง หัวกูขาวโพลนไปหมดแล้ว”
[ขาวได้ไง ต้องแดงสิ แดงฉาน ! โอกาสสวรรค์ประทานขนาดนี้ มึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมเลยนะ ชุดว่ายน้ำแซ่บ ๆ บิกินี่ตัวจิ๋ว ! ไหนจะเดรสพริ้ว ๆ เอาไว้เดินชายหาดอีก ! ส่วนเรื่องงานน่ะเหรอ ช่างแม่งก่อน]
“นี่ฉันไปทำงานนะเว้ยมิ้นท์”
[งานอะไรจะมีแค่ผู้หญิงกับผู้ชายไปกันสองคนวะ มึงอย่ามาโลกสวย ! ฉันว่านี่มันเหมือนการเปิดโอกาสให้เสือได้ขย้ำลูกแกะชัด ๆ แต่มึงต้องพลิกเกมสิ เป็นลูกแกะที่แอบซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ไปเลยเพื่อน สู้ !]
ลินินวางสายจากเพื่อนรักด้วยความรู้สึกที่ปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม คำพูดของมิ้นท์ถึงจะฟังดูเพ้อเจ้อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันจุดประกายความรู้สึกบางอย่างในใจเธอ ความรู้สึกที่ทั้งน่ากลัวและน่าตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
คืนนั้น สงครามย่อม ๆ ได้เกิดขึ้นบนเตียงนอนของเธอ
เสื้อเบลาส์ผ้าชีฟองสีสุภาพถูกวางทาบสลับกับเดรสสายเดี่ยวลายดอกไม้สีสดใส กางเกงสแล็คทรงสวยถูกวางเทียบกับกางเกงขาสั้นผ้าลินินสีขาว
สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจยัดมันลงไปในกระเป๋าเดินทางทั้งสองกองนั่นแหละ เผื่อไว้สำหรับการประชุมทุกรูปแบบ
เช้าวันเดินทางมาถึงเร็วกว่าที่คิด ลินินแวะเข้าออฟฟิศเพื่อจัดการเอกสารบางอย่างให้เรียบร้อยก่อนจะตรงไปสนามบิน และนั่นคือตอนที่เธอได้เผชิญหน้ากับพายุอีกลูก
“อ้าว จะไปเที่ยวเหรอจ๊ะ ?” แพรวาเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงหวานแต่แฝงยาพิษ ขณะที่เจอกันหน้าตู้กดกาแฟ “เห็นว่าจะไปภูเก็ตกับพี่คินสองคนเสียด้วย ท่าทางจะทำงานกันหนักน่าดูเลยนะ”
เธอเน้นคำว่าทำงานด้วยแววตาดูถูกอย่างไม่ปิดบัง
ลินินที่ผ่านการอัปเกรดความแข็งแกร่งทางจิตใจมาแล้ว จึงได้แต่ยิ้มรับอย่างใจเย็น
“ใช่จ้ะ พอดีได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้ไปทำงานสำคัญน่ะ บางทีการตั้งใจทำงานจริง ๆ มันก็ให้ผลตอบแทนที่ดีนะแพรวา เธอน่าจะลองดูบ้าง”
ตอกกลับไปหนึ่งดอกสวย ๆ ก่อนจะคว้ากาแฟแล้วเดินเชิดออกมา ทิ้งให้แพรวายืนกำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ
ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากออฟฟิศ โทรศัพท์ของเธอก็สั่นขึ้น เป็นสายจากธาม
[ได้ข่าวว่าคุณลินินจะไปภูเก็ตเหรอครับ เป็นก้าวที่สำคัญของโปรเจกต์เลยนะ] น้ำเสียงของเขายังคงอบอุ่นเสมอ
“ค่ะ กำลังจะไปสนามบินแล้วค่ะ”
[ดีจังเลยครับ หาโลเคชั่นสวย ๆ มาฝากผมด้วยนะ แล้วก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะครับ]
ประโยคสุดท้ายของเขาแฝงไปด้วยความห่วงใยที่ลึกซึ้ง มันเหมือนผ้าห่มอุ่น ๆ ที่คลุมลงบนหัวใจที่กำลังว้าวุ่นของเธอ
…
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
ลินินมาถึงก่อนเวลานัดเล็กน้อย เธอมองหาคนที่นัดเธอไว้ท่ามกลางฝูงชน แล้วก็เห็นเขายืนรออยู่ใกล้เคาน์เตอร์เช็กอิน
และภาพที่เห็นก็ทำให้เธอหยุดหายใจไปชั่วขณะ
ธันวาไม่ได้อยู่ในชุดสูทสีเข้มหรือเสื้อเชิ้ตเรียบกริบที่เธอคุ้นตา วันนี้เขาสวมเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มพอดีตัวที่ขับให้ไหล่กว้างของเขายิ่งดูน่ามองขึ้นไปอีก เข้าคู่กับกางเกงชิโน่สีอ่อนและรองเท้าผ้าใบสะอาดตา เขาดูแตกต่างออกไป ราวกับปลดเปลื้องความน่าเกรงขามออกไปชั้นหนึ่ง ดูผ่อนคลาย เป็นกันเอง และอันตรายต่อหัวใจยิ่งกว่าเดิม
เขาเห็นเธอแล้ว เพียงแค่พยักหน้าให้เป็นสัญญาณ ไม่มีรอยยิ้มเช่นเคย
“พร้อมนะ” เขาถามสั้น ๆ
ลินินพยักหน้าตอบกลับ กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “พร้อมค่ะ”
เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม ทิ้งไว้เบื้องล่างคือความวุ่นวายของเมืองหลวง ลินินมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเมฆสีขาวลอยละล่องราวกับปุยนุ่น ความรู้สึกเหมือนกำลังหลุดลอยไปจากโลกเดิมค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น
ข้าง ๆ เธอ ธันวานั่งก้มหน้าอ่านเอกสารบนแท็บเล็ต แสงจากหน้าจอสีฟ้าอ่อนสาดกระทบใบหน้าคมคายของเขา สร้างเงาที่ขับให้สันกรามดูเด่นชัดยิ่งขึ้น บรรยากาศระหว่างพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้ตึงเครียดเหมือนอยู่ในออฟฟิศ มันเงียบสงบ แต่ก็แฝงไปด้วยความอึดอัดที่มองไม่เห็น
“คุณเคยมาภูเก็ตมาก่อนไหมคะ ?” ลินินตัดสินใจทำลายความเงียบ
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีนิลจ้องมองเธอครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นานมากแล้ว”
“มาทำงานเหรอคะ ?”
“เปล่า” เขาตอบสั้น ๆ แล้วก้มลงอ่านเอกสารต่อ
บทสนทนาจบลงอย่างรวดเร็วราวกับถูกตัดด้วยกรรไกร ลินินถอนหายใจเบา ๆ หันกลับไปมองวิวทิวทัศน์เบื้องนอกอีกครั้ง
เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินภูเก็ต แสงแดดเจิดจ้าและไอทะเลก็ถาโถมเข้าใส่ทันที อากาศร้อนชื้นแตกต่างจากกรุงเทพมหานครอย่างสิ้นเชิง ธันวาจัดการเรียกรถเช่าได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักรถยนต์สีดำสนิทก็แล่นออกจากสนามบิน มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางที่เขาเลือกไว้
ตลอดทางธันวาเป็นคนขับ เขาไม่ได้เปิดเพลง ไม่ได้ชวนคุย บรรยากาศในรถเงียบเสียจนลินินได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน และเสียงลมหายใจแผ่วเบาของตัวเอง
ในที่สุด รถก็เลี้ยวเข้าไปในรีสอร์ตหรูริมหาดทรายขาวละเอียด ตัวอาคารออกแบบในสไตล์ทรอปิคอล ผสมผสานความทันสมัยและความเป็นธรรมชาติได้อย่างลงตัว พนักงานต้อนรับเข้ามาให้บริการอย่างสุภาพและรวดเร็ว
“ผมจองห้องพักไว้สองห้อง” ธันวาแจ้งกับพนักงานต้อนรับ “Deluxe Ocean View สองห้องติดกัน”
คำว่าติดกันทำให้ลินินใจเต้นแรงขึ้นมาเล็กน้อย เธอพยายามซ่อนความรู้สึกประหลาดนั้นไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย
หลังจากจัดการเรื่องเช็กอินเรียบร้อย พนักงานก็พาพวกเขาไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดของอาคาร แต่ละห้องมีระเบียงส่วนตัวที่สามารถมองเห็นวิวทะเลสีฟ้าครามได้อย่างงดงาม
“ห้องคุณอยู่ติดกันครับ” พนักงานชี้ไปยังประตูที่อยู่ข้าง ๆ ประตูห้องของธันวา “ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมงนะครับ”
เมื่อพนักงานจากไป ลินินยืนอยู่หน้าประตูห้องพักของตัวเอง มองไปยังประตูอีกบานที่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ความรู้สึกสับสนและประหม่าตีวนอยู่ในอก
เธอเปิดประตูเข้าไปในห้องพัก ห้องกว้างขวางตกแต่งอย่างหรูหราแต่เรียบง่าย เตียงขนาดคิงไซส์สีขาวสะอาดตาตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ผ้าม่านสีอ่อนพลิ้วไหวตามแรงลมที่พัดผ่านเข้ามาทางประตูระเบียงที่เปิดแง้มไว้
ลินินเดินออกไปยังระเบียงสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ภาพของหาดทรายสีขาวที่ทอดยาวสุดสายตา น้ำทะเลสีฟ้าใสที่กระทบฝั่งเป็นระลอกคลื่นสีขาว และท้องฟ้าสีครามสดใส
เธอใช้เวลาสักพักในการปรับตัวกับสถานที่ใหม่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อทำงาน เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความหามิ้นท์เพื่อบอกว่าถึงที่หมายแล้ว
ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ลินินเปิดประตูออกไป พบกับธันวาที่ยืนอยู่หน้าห้องของเขา เขาสวมเสื้อยืดสีขาวสบาย ๆ กับกางเกงขาสั้นสีเทาเข้ม มองดูผ่อนคลายกว่าที่เคย
“เราจะเริ่มดูโลเคชั่นกันเลยไหม” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย
“ได้ค่ะ” ลินินตอบรับ เดินออกจากห้องพักพร้อมกับเขา
ทั้งสองคนเดินลงไปยังชายหาด ทรายขาวละเอียดนุ่มเท้าเมื่อสัมผัส แสงแดดส่องกระทบผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ คลื่นซัดเข้าหาฝั่งเบา ๆ สร้างเสียงที่ฟังแล้วสบายใจ
พวกเขาเดินเคียงข้างกันไปตามชายหาด ไม่ได้พูดอะไรมากนัก ต่างคนต่างใช้สายตากวาดมองไปรอบ ๆ ธันวาชี้ไปยังโขดหินขนาดใหญ่ที่ยื่นออกไปในทะเลบ้าง ต้นมะพร้าวที่เอนลู่ตามลมบ้าง
“ตรงนี้อาจจะเหมาะกับการถ่ายฉากที่นางเอกกำลังหมดหวัง” เขาพูดพลางชี้ไปยังโขดหิน
“แล้วตรงนั้นล่ะคะ ที่น้ำทะเลใส ๆ กับทรายขาว ๆ น่าจะเหมาะกับฉากที่พบกับความหวังใหม่” ลินินเสนอความคิดเห็นบ้าง
ความคิดเห็นของพวกเขาเริ่มไหลลื่นและสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับว่าคลื่นทะเลกำลังพัดพาความขัดแย้งออกไปจากใจของพวกเขา
เมื่อเดินมาถึงช่วงที่ค่อนข้างเงียบสงบ ธันวาก็หยุดเดิน หันหน้าไปทางทะเล
“คุณโอเคไหม” เขาถามขึ้นมาโดยไม่หันมามองเธอ
“คะ ?” ลินินงงกับคำถาม
“เมื่อวานที่ออฟฟิศ” เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับเธอ ดวงตาสีนิลจับจ้องมาที่เธออย่างลึกซึ้ง “คุณดูไม่ค่อยสบาย”
ลินินใจเต้นแรงอีกครั้ง เธอไม่คิดว่าเขาจะสังเกตเห็น
“อ๋อ นิดหน่อยค่ะ นอนพักผ่อนก็ดีขึ้นแล้ว” เธอตอบเลี่ยง ๆ
“อย่าฝืนถ้าไม่ไหว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าที่เคย “งานสำคัญก็จริง แต่สุขภาพของคุณสำคัญกว่า”
รุ่งเช้าในป้อมปราการของธันวานั้นเงียบสงบ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้าอย่างแท้จริงพวกเขาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของกันและกัน ไม่มีความปรารถนาทางกายหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความแน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืน มันคือการจุดระเบิดเวลาที่นับถอยหลังสู่หายนะทางอาชีพพวกเขาอาบน้ำแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าชุดทำงานที่เปรียบเสมือนชุดเกราะสำหรับออกรบแล้วโทรศัพท์ของธันวาก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ ‘พี่เจต’ธันวากดรับแล้วเปิดลำโพง ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยคำทักทาย เสียงที่เหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์บาดเจ็บก็ดังลั่นออกมาจากปลายสาย“พวกแกสองคนอยู่ที่ไหนกันหา?! รีบเข้ามาที่ออฟฟิศ!!!! เดี๋ยว!!!! นี้!!!!”ตู๊ด...สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและคำตัดสินที่ชัดเจน“ได้เวลาแล้วสินะ” ธันวาพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับแน่วแน่“ค่ะ” ลินินตอบกลับไป เอื้อมมือไปกุมมือของเขาไว้แน่น “ลินพร้อมแล้ว”
เวลาในห้องนั้นคล้ายจะหยุดเดิน...ริมฝีปากของลินินสัมผัสเข้ากับขอบแก้วที่เย็นเฉียบ เสียงของธันวาที่เคยเตือนไว้ดังก้องอยู่ในหัว‘ห้ามรับเครื่องดื่มจากใครก็ตามที่ไม่ใช่ผม’ภาพรอยยิ้มที่เหมือนผู้ชนะของเสี่ยวิวัฒน์ แววตาสะใจของแพรวา รวมถึงสายตากังวลของธันวาที่มองมาจากอีกฟากของห้อง ทุกอย่างประดังเข้ามาในเสี้ยววินาทีเธอต้องทำอะไรสักอย่าง!ในจังหวะที่ลินินกำลังจะแกล้งทำเป็นสะดุดเพื่อสาดแชมเปญในแก้วทิ้ง...“ลินิน! อย่า!”เสียงตะโกนที่ดังลั่นราวกับเสียงคำรามของราชสีห์ ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียวธันวาทิ้งโทรศัพท์ในมืออย่างไร้ค่า ก้าวพรวด ๆ ฝ่าวงล้อมของแขกเหรื่อตรงมาที่เธอด้วยความเร็วที่น่าตกใจทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ก่อนที่ลินินจะได้ทันตั้งตัว มือแข็งแรงของเขาก็เอื้อมมาคว้าแก้วแชมเปญไปจากมือของเธออย่างแรงจนแชมเปญหกกระเซ็นไปเล็กน้อยทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เงียบเสียจนได้ยินเสียงฟองอากาศที่แตกตัวในแก้วแชมเปญของคนอื่น ๆหน้ากากของธันวาได้ถูกฉีกอ
การแสดงละครตบตาในออฟฟิศยังคงดำเนินต่อไป แต่ฉากรักร้อนแรงหลังม่านยังคงถูกจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นทุกครั้งที่มีโอกาส ความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่แสนอันตรายนี้กลายเป็นสิ่งเสพติดสำหรับคนทั้งสองไปเสียแล้ว...แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของตนเองนั้น กำลังตกอยู่ในสายตาของอสรพิษสองตัวที่เฝ้ารอจังหวะตะครุบเหยื่อความสงสัยที่ถูกจุดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนั้น กลายเป็นเปลวไฟที่เผาไหม้จิตใจของแพรวา เธอเริ่มสืบเสาะหาความจริงอย่างเงียบ ๆ ราวกับนักสืบเอกชนเธอย้อนดูใบเบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปภูเก็ต ตรวจสอบเวลาการจองตั๋วเครื่องบิน เวลาเช็กอินเข้าโรงแรม ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่จับจ้องหาความผิดปกติอย่างเธอแล้ว มันมีช่องโหว่เล็ก ๆ อยู่‘ทำไมต้องจองตั๋วแยกกัน แต่กลับได้ที่นั่งติดกัน?’‘ทำไมถึงเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมช้ากว่ากำหนดการเดิมไปหลายชั่วโมง?’มันยังไม่ใช่หลักฐานที่มัดตัวได้ แต่สำหรับแพรวาแล้ว มันคือเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่เธอพร้อมจะสาวไปให้ถึงต้นตอ***ชายแก่เจ้าเล่ห์ที่ถูกหักหน้าอย่างรุนแรง
ลินินกลับมาถึงห้องพักในสภาพที่จิตใจห่อเหี่ยวราวกับดอกไม้ที่ขาดน้ำ สัมผัสที่น่ารังเกียจของเสี่ยวิวัฒน์และสายตาที่ราวกับจะเปลื้องผ้าของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกจนน่าขยะแขยง เธอพยายามจะนั่งทำงานต่อ แต่ก็ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย ภาพใบหน้าเลื่อมใสของเขายังคงตามมาหลอกหลอนก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดระแวง แต่แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดังลอดเข้ามา“ลิน... ผมเอง”เธอรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ภาพที่เห็นคือธันวาในสภาพที่ดูอิดโรยและเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาก้าวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง ก่อนจะดึงร่างของเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งอย่างแนบแน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำอ้อมกอดของเขาเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดในโลก“คุณโอเคไหม?” เขากระซิบถาม เสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริงลินินส่ายหน้าช้า ๆ พลางซบใบหน้าลงกับแผงอกของเขา ปล่อยให้น้ำตาที่อัดอั้นไว้ตลอดทั้งวันไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากบทร่วมรักอันน่าพิศวาสได้จบสิ้นลง เหลือทิ้งไว้เพียงสองร่างที่เปลือยเปล่าและอ่อนล้าอยู่บนโซฟาธันวายังคงกอดเธอไว้แน่น ซบใบหน้าอยู่กับซอกคอของเธอราวกับเด็กที่หลงทางและเพิ่งจะหาทางกลับบ้านเจอ คำขอโทษของเขายังคงวนเวียนอยู่ในอากาศที่หนักอึ้ง แต่สำหรับลินินแล้ว บาดแผลครั้งนี้มันลึกเกินกว่าที่คำขอโทษจะเยียวยาได้ในทันทีเธอค่อย ๆ ดันตัวเขาออกอย่างแผ่วเบา แล้วเผชิญหน้ากับเขาในความเงียบ ดวงตาของเธอยังคงแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว“มันไม่ใช่แค่ความโกรธหริกค่ะ พี่คิน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่ก็หนักแน่น “แต่มันคือคำพูดของพี่ที่ว่าลินใช้ร่างกายเพื่อให้ได้งาน ที่พี่ไม่ไว้ใจลินเลยแม้แต่นิดเดียว”คำพูดของเธอเหมือนมีดที่กรีดซ้ำลงไปบนแผลในใจของเขา ธันวาหลบสายตาเธอเป็นครั้งแรก แววตาเต็มไปด้วยความละอายใจอย่างปิดไม่มิด“ผม... ผมมันเลวเอง” เขาพูดเสียงแผ่ว “มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยลินิน มันเป็นปมของผมเอง”เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน เรื่องราวของความรักในอดีตท
“เรา... เราต้องบ้ากันไปแล้วแน่ ๆ” ลินินหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่พยายามจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเองให้เข้าที่บนโต๊ะทำงานที่เคยศักดิ์สิทธิ์ของเขาธันวาช่วยเธอจัดปกเสื้อเบลาส์ให้เข้าที่อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวเนื้อบริเวณลำคอของเธอแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่ทำให้หัวใจของเธอกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง“บ้าที่สุด แต่ก็ดีที่สุด” เขากระซิบตอบ ก่อนจะขโมยจูบจากเธอไปอีกหนึ่งฟอดเป็นการทิ้งท้ายพวกเขาช่วยกันเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว จัดเอกสารที่กระจัดกระจายให้กลับเข้าที่ ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความลับที่อบอวลอยู่รอบตัว ราวกับคู่รักที่กำลังทำเรื่องผิดศีลธรรมที่น่าตื่นเต้นคืนนั้น หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน ลินินนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและร่างกายที่ยังคงอุ่นซ่านจากสัมผัสของเขาเช้าวันต่อมา ธันวาก็กลับไปสวมหน้ากากเจ้านายจอมโหดได้อย่างแนบเนียน เขายังคงวิจารณ์งานเธออย่างเผ็ดร้อน สั่งแก้ไขโปรเจกต์อย่างไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแววตาของเขาในทุกครั้งที่สายตาของพวกเขาประสานกันกลางที่ประชุม หรือเดิน