เขาคือ Creative Director จอมเผด็จการผู้ใช้ปากกาแดงเป็นอาวุธ ส่วนเธอก็คือ Copywriter สาวไฟแรงผู้ไม่เคยยอมจำนนต่อคำว่าแก้
Lihat lebih banyakเสียงคีย์บอร์ดที่เคยประสานกันราวกับวงออร์เคสตราย่อม ๆ ของเหล่าคนสร้างสรรค์ บัดนี้กลับเงียบงันลงทีละตัว จนเหลือเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศที่ส่งเสียงครางแผ่วเบา สาดความเย็นยะเยือกลงมาอาบไล้บรรยากาศที่หนักอึ้งราวกับมีใครสูบเอาออกซิเจนออกไปจนหมดสิ้น
ทุกคู่สายตา ไม่ว่าจะลอบมองผ่านแผงกั้นโต๊ะ หรือชำเลืองจากจอคอมพิวเตอร์ ต่างจับจ้องไปยังจุดเดียวกัน ร่างสูงโปร่งในเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มที่พับแขนถึงข้อศอกอย่างประณีต เผยให้เห็นท่อนแขนกำยำและนาฬิกาเรือนหรูที่เดินบอกเวลาอย่างเที่ยงตรงไม่ต่างจากเจ้าของ
ธันวา ...
แค่ชื่อของเขาก็ทรงอานุภาพพอที่จะทำให้พายุสงบ และทำให้ความสงบกลายเป็นพายุได้ในเวลาเดียวกัน เขาคือผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟ ผู้เป็นดั่งเทพเจ้าในด้านความคิดสร้างสรรค์ และเป็นยมทูตในสายตาของพนักงานที่ต้องส่งงานให้เขาตรวจ
ฝีเท้าของเขาเงียบกริบ หากแต่ทุกย่างก้าวกลับหนักแน่นราวกับค้อนปอนด์ที่ทุบลงบนจังหวะการเต้นของหัวใจทุกคนที่เขาเดินผ่าน
ลินินกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ปลายนิ้วที่เคยรัวบนแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่วบัดนี้เย็นเฉียบ เธอกำปากกาด้ามโปรดในมือแน่นจนข้อขาวซีด เสมองไปทางอื่น แสร้งทำเป็นครุ่นคิดหาไอเดียใหม่ ทั้งที่ในหัวขาวโพลนไปหมดแล้ว
แต่ก็หนีไม่พ้น
เงาร่างสูงตระหง่านทาบทับลงบนโต๊ะทำงานของเธอที่รกไปด้วยกองหนังสือ โพสต์อิทหลากสี และแก้วกาแฟใบที่สามของวันที่พร่องไปกว่าครึ่ง
โลกของเธอพลันหยุดหมุน
เขาไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ ตามแบบฉบับ ปลายนิ้วเรียวยาวหยิบแผ่นกระดาษอาร์ตเวิร์กที่พรินต์ก็อปปี้โฆษณาสกินแคร์ตัวใหม่ล่าสุดของเธอขึ้นมา ผลงานที่เธออดหลับอดนอนเคี่ยวกรำมาตลอดสามคืนเต็ม
ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวที่กำลังสแกนหาจุดตายของเหยื่อ กวาดอ่านทุกถ้อยคำ ทุกตัวอักษรที่เธอรจนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเงียบที่โรยตัวลงมาระหว่างพวกเขามันช่างน่าอึดอัด มันเสียดยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจยิ่งกว่าอากาศจากเครื่องปรับอากาศเสียอีก
แล้ววินาทีแห่งการพิพากษาก็มาถึงในรูปแบบของปากกาหมึกแดงที่เขาดึงออกจากกระเป๋าเสื้อ
คลิก
เสียงเล็ก ๆ นั้นดังราวกับเสียงนกหวีดที่ปล่อยตัวนักโทษประหาร
ขีด ...
เส้นสีแดงสดลากผ่านคำเชื่อมที่เธอคิดว่าลงตัวที่สุด
วง ...
วงกลมสีเลือดล้อมรอบประโยคเด็ดที่เธอภาคภูมิใจ
แล้วก็ขีดฆ่า ...
เส้นคู่ขนานสีชาดถูกตวัดลงบนพารากราฟสุดท้ายที่เธอบรรจงเขียนขึ้นเพื่อสร้างอารมณ์ให้ผู้บริโภคอย่างเลือดเย็น
ทุกรอยหมึกสีแดงฉานไม่ต่างอะไรกับใบมีดอาบยาพิษที่กรีดซ้ำแล้วซ้ำเล่าลงบนความภาคภูมิใจในวิชาชีพของเธอ ลินินเม้มริมฝีปากแน่นจนรู้สึกได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือด ดวงตาร้อนผ่าวอย่างสุดจะกลั้น แต่ศักดิ์ศรีก็ค้ำคอไม่ให้หยาดน้ำตาไหลออกมาประจานความอ่อนแอของตัวเอง
“คำว่าลูบไล้มันดาษดื่น” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบเฉยราวกระจกผืนเรียบ แต่สะท้อนความไม่พอใจออกมาอย่างชัดแจ้ง “ลูกค้าจ่ายเงินแปดหลัก ไม่ได้ต้องการคำที่หาได้ตามพจนานุกรมเล่มละร้อย”
ประโยคนั้นทิ่มแทงเข้ากลางใจ
“แต่... แต่นี่คือสินค้าที่เน้นความอ่อนโยนนะคะ คำนี้มันสื่อถึงการทะนุถนอม” เธอรวบรวมความกล้าทั้งหมดเพื่อแย้ง เหตุผลของเธอไม่ใช่ข้ออ้าง แต่มันคือแก่นของงาน
ธันวาละสายตาจากแผ่นกระดาษ ช้อนนัยน์ตาสีนิลที่ลึกล้ำจนน่ากลัวขึ้นสบตากับเธอตรง ๆ
“ความอ่อนโยน ไม่ได้แปลว่าต้องอ่อนแอ” เขาตัดบทอย่างไร้เยื่อใย “งานของคุณไม่ใช่เรียงความส่งครูภาษาไทยนะลินิน แต่มันคืออาวุธที่ต้องสังหารคู่แข่งให้ตายคาเชลฟ์ภายในสามวินาทีที่ลูกค้าชายตามอง ไปขุดคำที่มันมีชีวิตขึ้นมาใหม่ คำที่มันกระแทกความรู้สึก ไม่ใช่แค่ลอยผ่านไป”
แปะ
เขาวางกระดาษแผ่นนั้นลงบนโต๊ะ เสียงมันไม่ได้ดังรุนแรง แต่สำหรับลินินแล้วมันดังสนั่นราวกับเสียงตบหน้ากลางสี่แยก
ร่างสูงหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นน้ำหอมแนววู้ดดี้ผสมซีตรัสจาง ๆ ที่เย้ายวนและเย็นชาในคราเดียวกัน และผลงานของเธอ ที่บัดนี้กลายเป็นซากที่ถูกย่ำยีด้วยนรกสีแดง
“เชี่ย อย่างเหี้ยม” มิ้นท์ เพื่อนซี้ตำแหน่งเออีผู้กล้าหาญที่สุดในฟลอร์ เอ่ยขึ้นทันทีที่มั่นใจว่าท่านยมทูตเดินเข้าห้องทำงานกระจกใสของตัวเองไปแล้ว “นี่มันแก้รอบที่สี่แล้วมึง เขาจะเอาระดับคำที่เชกสเปียร์มาจุติใหม่เลยรึไงวะ”
ลินินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามรวบรวมเศษเสี้ยวความรู้สึกที่แตกสลายของตัวเองกลับคืนมา “เขาคงอยากได้งานที่ดีที่สุดนั่นแหละมึง” เธอบอกเพื่อนรัก แต่ในใจกลับตะโกนก้อง ดีที่สุดบนมาตรฐานของเขาคนเดียวน่ะสิ ! ไอ้คนเผด็จการ ! ไอ้บ้าอำนาจ !
เธอยกกาแฟที่เย็นชืดขึ้นดื่มเพื่อดับไฟในอก หากแต่ความขมของมันเทียบไม่ได้เลยกับความขมขื่นในใจ
และแล้ว ราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง หรือนรกยังทำงานไม่เสร็จสิ้นดี เสียงแจ้งเตือนอีเมลจากพี่เจต กรรมการผู้จัดการ ก็ดังขึ้นพร้อมกันทั้งฟลอร์ หัวข้ออีเมลที่ใช้ตัวอักษรหนาเด่นหรา ทำให้หัวใจของเธอร่วงหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
PROJECT KICK-OFF: THE OASIS - The Biggest Campaign of the Year
ลินินเลื่อนสายตาลงมาอ่านรายชื่อทีมงานที่ถูกคัดเลือกให้รับผิดชอบโปรเจกต์มูลค่าเก้าร่างที่ทุกคนในวงการต่างจับตามอง
Creative Director: Thanwa
Senior Copywriter: Linin
สมองของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ ก่อนที่คำสบถที่หยาบคายที่สุดเท่าที่จะนึกออกจะผุดขึ้นในใจ
หากฟลอร์ทำงานคือแดนประหาร ห้องประชุมกระจกใสที่ถูกขนานนามว่า The War Room ก็ไม่ต่างอะไรกับโคลอสเซียมที่พร้อมให้เหล่านักรบแห่งวงการโฆษณามาเชือดเฉือนกันด้วยคมปัญญาและไอเดีย
ลินินสูดลมหายใจเข้าลึก กลิ่นหอมของกาแฟที่พี่เจต กรรมการผู้จัดการใหญ่ สั่งมาเลี้ยงทีมไม่ได้ช่วยให้ความประหม่าของเธอลดลงเลยแม้แต่น้อย เธอนั่งลงบนเก้าอี้บุนวมอย่างดี ตรงข้ามกับเธอคือธันวาที่นั่งนิ่งสงบราวกับรูปสลัก ดวงตาสีนิลของเขาสะท้อนภาพแสงไฟบนเพดานอย่างเย็นชา ปราศจากอารมณ์ใด ๆ
ข้างกายของลินินคือ แพรวา อาร์ตไดเรกเตอร์สาวสวยเจ้าของรอยยิ้มระดับนางพญา ผู้เป็นคู่แข่งของเธอมาตั้งแต่สมัยยังเป็นจูเนียร์ แพรวาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ เป็นรอยยิ้มที่สวยงามแต่กลับมาไม่ถึงดวงตา มันเหมือนคำประกาศสงครามที่ไร้เสียงมากกว่าความเป็นมิตร
ไม่นานนัก ประตูกระจกก็ถูกเลื่อนเปิดออกอีกครั้ง พร้อมการปรากฏตัวของชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีน้ำเงินทันสมัย ผู้มาพร้อมกับรอยยิ้มอบอุ่นราวกับแสงแดดยามเช้าที่สามารถละลายน้ำแข็งขั้วโลกได้
ธาม ผู้จัดการฝ่ายการตลาดจากฝั่งลูกค้าของโปรเจกต์ THE OASIS
“สวัสดีครับทุกคน ขอโทษที่ช้าไปหน่อยนะครับ พอดีรถติดนิดหน่อย” เขากล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่สายตาจะมาหยุดอยู่ที่ลินิน พร้อมกับรอยยิ้มที่กว้างขึ้น “คุณลินินใช่ไหมครับ ผมจำได้จากงานประกวด Adman Awards ปีที่แล้ว ก็อปปี้ของคุณในแคมเปญนั้นสุดยอดมากเลยนะ”
คำชมที่ไม่คาดคิดทำให้ลินินแก้มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ขอบคุณค่ะ” เธอตอบรับเสียงเบา รู้สึกได้ถึงกระแสไฟฟ้าที่มองไม่เห็นซึ่งแล่นปราดมาจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
ธันวายังคงนั่งนิ่ง แต่ลินินสังเกตเห็นว่าปลายนิ้วที่เคยปล่อยวางสบาย ๆ บนโต๊ะของเขา เริ่มเคาะเป็นจังหวะเบา ๆ ช้า ๆ แต่สม่ำเสมอ ราวกับนาฬิกาที่กำลังนับถอยหลังสู่หายนะ
การประชุมเริ่มต้นขึ้นด้วยการบรีฟภาพรวมจากพี่เจต ก่อนจะส่งไม้ต่อให้ธันวาเป็นผู้ควบคุมการระดมสมอง บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นความตึงเครียดในฉับพลัน
“โอเค ทีม THE OASIS ไม่ใช่แค่โปรเจกต์ แต่มันคือการสร้างอาณาจักร เราต้องการ Big Idea ที่จะสั่นสะเทือนวงการ ใครมีอะไรในหัวโยนมันออกมา” น้ำเสียงของธันวาเรียบขรึมแต่ทรงพลัง
ลินินกลืนน้ำลาย รวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วเริ่มนำเสนอไอเดียแรกที่เธอเตรียมมา
“ลินคิดว่าเราควรเริ่มจากแก่นแท้ของคำว่าโอเอซิสค่ะ มันคือการค้นพบ ลินอยากเล่าเรื่องผ่านมุมมองของคนเมืองที่เหนื่อยล้า ที่ออกเดินทางเพื่อค้นหาบางอย่าง แล้วก็ได้พบกับผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งเป็นเหมือนโอเอซิสของจิตใจ”
เธอพูดอย่างคล่องแคล่ว เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังในแววตา ธามพยักหน้าช้า ๆ อย่างเห็นด้วย “น่าสนใจนะครับ ผมชอบคีย์เวิร์ดคำว่าการค้นพบ มันให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งดี”
แต่แล้วเสียงเย็น ๆ ก็ดังขัดขึ้นมา
“มันสวยงาม” ธันวาเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ทุกคนในห้องเงียบกริบเพื่อรอฟังประโยคถัดไป “สวยงามจนเลื่อนลอย จับต้องไม่ได้”
ราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัดกลางฤดูหนาว ลินินชาวาบไปทั้งตัว
“สิ่งที่เราขายไม่ใช่ปรัชญา แต่คือผลิตภัณฑ์” เขากล่าวต่อ ดวงตาจ้องตรงมาที่เธอ “ไอเดียของคุณมันเหมือนบทกวีที่ไพเราะ แต่เราต้องการหนังแอคชั่นที่คนดูแล้วอยากจะควักเงินไปซื้อตั๋วทันที แพรวามีอะไรจะเสนอมั้ย ?”
เป็นการโยนระเบิดที่เลือดเย็นที่สุด
แพรวายิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ “แพรเห็นด้วยกับพี่คินค่ะ แพรว่าเราควรเน้นที่ผลลัพธ์ที่ชัดเจน จับต้องได้ไปเลย ใช้ภาพ Before-After ที่ทรงพลัง โชว์ให้เห็นเลยว่าผลิตภัณฑ์ของเราเปลี่ยนชีวิตของเขาได้ยังไง ไม่ต้องตีความให้ซับซ้อน”
มันเป็นไอเดียที่ปลอดภัย และน่าเบื่อ ลินินคิดในใจ แต่เธอก็ทำได้เพียงเม้มปากและนั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้สงครามเย็นดำเนินต่อไป
การประชุมอันยาวนานสิ้นสุดลงโดยที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน มีเพียงการบ้านกองโตที่ธันวาโยนให้ทุกคนกลับไปคิดต่อ
“วันนี้ขอบคุณทุกคนมากนะครับ” ธามเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะหันมาทางลินิน “คุณลินินครับ พอจะมีเวลาสักครู่ไหม ผมอยากจะขอแลกเปลี่ยนไอเดียเรื่องการค้นพบของคุณเพิ่มเติม เผื่อจะเอาไปต่อยอดอะไรได้บ้าง เราไปหาอะไรดื่มกันแถวนี้ดีไหมครับ”
มันคือคำเชิญที่สุภาพและน่าสนใจที่สุดเท่าที่เธอเคยได้รับในรอบปี แต่ก่อนที่ลินินจะได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
“คุณลินิน”
เสียงของธันวาดังแทรกขึ้นมาทันควัน ไม่ดังแต่เฉียบขาดจนทุกคนต้องหันไปมอง
“ผมมีเรื่องต้องบรีฟต่อกับคุณด่วน ที่ห้องทำงานผม”
เขาไม่ได้มองหน้าธามแม้แต่น้อย สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เธอ แต่ลินินกลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลที่แผ่ออกมา มันไม่ใช่แค่คำสั่งในฐานะเจ้านาย แต่มันแฝงไปด้วยบางอย่างที่เธอเองก็ไม่อาจนิยามได้
ธามเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังคงรอยยิ้มสุภาพบุรุษไว้ “อ้อ ถ้างั้นไม่เป็นไรครับ ไว้วันหลังก็ได้”
ลินินได้แต่พยักหน้ารับอย่างงง ๆ รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นลูกเทนนิสที่ถูกตีโต้ไปมาระหว่างสองบุรุษ เธอได้แต่เก็บความหงุดหงิดไว้ในใจและเดินตามแผ่นหลังกว้างของธันวาไปยังห้องทำงานของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
รุ่งเช้าในป้อมปราการของธันวานั้นเงียบสงบ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้าอย่างแท้จริงพวกเขาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของกันและกัน ไม่มีความปรารถนาทางกายหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความแน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืน มันคือการจุดระเบิดเวลาที่นับถอยหลังสู่หายนะทางอาชีพพวกเขาอาบน้ำแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าชุดทำงานที่เปรียบเสมือนชุดเกราะสำหรับออกรบแล้วโทรศัพท์ของธันวาก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ ‘พี่เจต’ธันวากดรับแล้วเปิดลำโพง ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยคำทักทาย เสียงที่เหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์บาดเจ็บก็ดังลั่นออกมาจากปลายสาย“พวกแกสองคนอยู่ที่ไหนกันหา?! รีบเข้ามาที่ออฟฟิศ!!!! เดี๋ยว!!!! นี้!!!!”ตู๊ด...สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและคำตัดสินที่ชัดเจน“ได้เวลาแล้วสินะ” ธันวาพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับแน่วแน่“ค่ะ” ลินินตอบกลับไป เอื้อมมือไปกุมมือของเขาไว้แน่น “ลินพร้อมแล้ว”
เวลาในห้องนั้นคล้ายจะหยุดเดิน...ริมฝีปากของลินินสัมผัสเข้ากับขอบแก้วที่เย็นเฉียบ เสียงของธันวาที่เคยเตือนไว้ดังก้องอยู่ในหัว‘ห้ามรับเครื่องดื่มจากใครก็ตามที่ไม่ใช่ผม’ภาพรอยยิ้มที่เหมือนผู้ชนะของเสี่ยวิวัฒน์ แววตาสะใจของแพรวา รวมถึงสายตากังวลของธันวาที่มองมาจากอีกฟากของห้อง ทุกอย่างประดังเข้ามาในเสี้ยววินาทีเธอต้องทำอะไรสักอย่าง!ในจังหวะที่ลินินกำลังจะแกล้งทำเป็นสะดุดเพื่อสาดแชมเปญในแก้วทิ้ง...“ลินิน! อย่า!”เสียงตะโกนที่ดังลั่นราวกับเสียงคำรามของราชสีห์ ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียวธันวาทิ้งโทรศัพท์ในมืออย่างไร้ค่า ก้าวพรวด ๆ ฝ่าวงล้อมของแขกเหรื่อตรงมาที่เธอด้วยความเร็วที่น่าตกใจทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ก่อนที่ลินินจะได้ทันตั้งตัว มือแข็งแรงของเขาก็เอื้อมมาคว้าแก้วแชมเปญไปจากมือของเธออย่างแรงจนแชมเปญหกกระเซ็นไปเล็กน้อยทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เงียบเสียจนได้ยินเสียงฟองอากาศที่แตกตัวในแก้วแชมเปญของคนอื่น ๆหน้ากากของธันวาได้ถูกฉีกอ
การแสดงละครตบตาในออฟฟิศยังคงดำเนินต่อไป แต่ฉากรักร้อนแรงหลังม่านยังคงถูกจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นทุกครั้งที่มีโอกาส ความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่แสนอันตรายนี้กลายเป็นสิ่งเสพติดสำหรับคนทั้งสองไปเสียแล้ว...แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของตนเองนั้น กำลังตกอยู่ในสายตาของอสรพิษสองตัวที่เฝ้ารอจังหวะตะครุบเหยื่อความสงสัยที่ถูกจุดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนั้น กลายเป็นเปลวไฟที่เผาไหม้จิตใจของแพรวา เธอเริ่มสืบเสาะหาความจริงอย่างเงียบ ๆ ราวกับนักสืบเอกชนเธอย้อนดูใบเบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปภูเก็ต ตรวจสอบเวลาการจองตั๋วเครื่องบิน เวลาเช็กอินเข้าโรงแรม ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่จับจ้องหาความผิดปกติอย่างเธอแล้ว มันมีช่องโหว่เล็ก ๆ อยู่‘ทำไมต้องจองตั๋วแยกกัน แต่กลับได้ที่นั่งติดกัน?’‘ทำไมถึงเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมช้ากว่ากำหนดการเดิมไปหลายชั่วโมง?’มันยังไม่ใช่หลักฐานที่มัดตัวได้ แต่สำหรับแพรวาแล้ว มันคือเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่เธอพร้อมจะสาวไปให้ถึงต้นตอ***ชายแก่เจ้าเล่ห์ที่ถูกหักหน้าอย่างรุนแรง
ลินินกลับมาถึงห้องพักในสภาพที่จิตใจห่อเหี่ยวราวกับดอกไม้ที่ขาดน้ำ สัมผัสที่น่ารังเกียจของเสี่ยวิวัฒน์และสายตาที่ราวกับจะเปลื้องผ้าของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกจนน่าขยะแขยง เธอพยายามจะนั่งทำงานต่อ แต่ก็ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย ภาพใบหน้าเลื่อมใสของเขายังคงตามมาหลอกหลอนก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดระแวง แต่แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดังลอดเข้ามา“ลิน... ผมเอง”เธอรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ภาพที่เห็นคือธันวาในสภาพที่ดูอิดโรยและเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาก้าวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง ก่อนจะดึงร่างของเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งอย่างแนบแน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำอ้อมกอดของเขาเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดในโลก“คุณโอเคไหม?” เขากระซิบถาม เสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริงลินินส่ายหน้าช้า ๆ พลางซบใบหน้าลงกับแผงอกของเขา ปล่อยให้น้ำตาที่อัดอั้นไว้ตลอดทั้งวันไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากบทร่วมรักอันน่าพิศวาสได้จบสิ้นลง เหลือทิ้งไว้เพียงสองร่างที่เปลือยเปล่าและอ่อนล้าอยู่บนโซฟาธันวายังคงกอดเธอไว้แน่น ซบใบหน้าอยู่กับซอกคอของเธอราวกับเด็กที่หลงทางและเพิ่งจะหาทางกลับบ้านเจอ คำขอโทษของเขายังคงวนเวียนอยู่ในอากาศที่หนักอึ้ง แต่สำหรับลินินแล้ว บาดแผลครั้งนี้มันลึกเกินกว่าที่คำขอโทษจะเยียวยาได้ในทันทีเธอค่อย ๆ ดันตัวเขาออกอย่างแผ่วเบา แล้วเผชิญหน้ากับเขาในความเงียบ ดวงตาของเธอยังคงแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว“มันไม่ใช่แค่ความโกรธหริกค่ะ พี่คิน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่ก็หนักแน่น “แต่มันคือคำพูดของพี่ที่ว่าลินใช้ร่างกายเพื่อให้ได้งาน ที่พี่ไม่ไว้ใจลินเลยแม้แต่นิดเดียว”คำพูดของเธอเหมือนมีดที่กรีดซ้ำลงไปบนแผลในใจของเขา ธันวาหลบสายตาเธอเป็นครั้งแรก แววตาเต็มไปด้วยความละอายใจอย่างปิดไม่มิด“ผม... ผมมันเลวเอง” เขาพูดเสียงแผ่ว “มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยลินิน มันเป็นปมของผมเอง”เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน เรื่องราวของความรักในอดีตท
“เรา... เราต้องบ้ากันไปแล้วแน่ ๆ” ลินินหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่พยายามจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเองให้เข้าที่บนโต๊ะทำงานที่เคยศักดิ์สิทธิ์ของเขาธันวาช่วยเธอจัดปกเสื้อเบลาส์ให้เข้าที่อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวเนื้อบริเวณลำคอของเธอแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่ทำให้หัวใจของเธอกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง“บ้าที่สุด แต่ก็ดีที่สุด” เขากระซิบตอบ ก่อนจะขโมยจูบจากเธอไปอีกหนึ่งฟอดเป็นการทิ้งท้ายพวกเขาช่วยกันเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว จัดเอกสารที่กระจัดกระจายให้กลับเข้าที่ ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความลับที่อบอวลอยู่รอบตัว ราวกับคู่รักที่กำลังทำเรื่องผิดศีลธรรมที่น่าตื่นเต้นคืนนั้น หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน ลินินนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและร่างกายที่ยังคงอุ่นซ่านจากสัมผัสของเขาเช้าวันต่อมา ธันวาก็กลับไปสวมหน้ากากเจ้านายจอมโหดได้อย่างแนบเนียน เขายังคงวิจารณ์งานเธออย่างเผ็ดร้อน สั่งแก้ไขโปรเจกต์อย่างไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแววตาของเขาในทุกครั้งที่สายตาของพวกเขาประสานกันกลางที่ประชุม หรือเดิน
Komen