เธอทำได้เพียงพยักหน้ารับเบา ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นระรัวจนแทบจะทะลุออกมานอกอก
“ขะ ขอบคุณค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่
เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่หันกลับไปมองทะเลอีกครั้ง ปล่อยให้ความเงียบและความงามของธรรมชาติเข้ามารับช่วงต่อบทสนทนา แต่ลินินรู้ดีกำแพงน้ำแข็งหนาทึบที่เคยขวางกั้นระหว่างพวกเขานั้นได้ปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้ว
วันนั้นทั้งวัน กลายเป็นวันที่น่าประหลาดใจที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอ
พวกเขาเช่าเรือหางยาวไปยังอ่าวเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่หลังโขดหินใหญ่ น้ำทะเลที่นั่นใสราวกระจกจนมองเห็นปลาตัวเล็ก ๆ แหวกว่ายอยู่เบื้องล่าง
บนเรือที่โคลงเคลงไปตามแรงคลื่น พวกเขาต้องนั่งใกล้กันกว่าปกติ ลินินได้กลิ่นไอทะเลที่ผสมปนเปกับกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ของเขา มันเป็นกลิ่นที่เคยทำให้เธอรู้สึกกดดัน แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นกลิ่นที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
ช่วงบ่าย พวกเขาขับรถขึ้นไปยังจุดชมวิวกังหันลม
บรรยากาศบนนั้นเงียบสงบ มองเห็นทิวทัศน์ของหาดในหานและแหลมพรหมเทพได้สุดลูกหูลูกตา ภาพของท้องทะเลสีครามที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้นทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเล็กน้อยไปถนัดตา
“ทำไมพี่คินถึงเข้มงวดกับทุกอย่างขนาดนั้นคะ” จู่ ๆ คำถามที่เธอไม่เคยกล้าถามก็หลุดออกจากปากไป
ธันวาที่กำลังยืนพิงรั้วกั้นอยู่ หันมามองเธอเล็กน้อย สายตาของเขาทอดยาวออกไปไกล
“เพราะความสมบูรณ์แบบ คือเกราะป้องกันความล้มเหลวที่ดีที่สุด” เขาตอบเสียงเรียบ แต่ลินินกลับรู้สึกได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ประโยคนั้น
มันไม่ใช่คำตอบที่ชัดเจน แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เธอเห็นเศษเสี้ยวของบาดแผลที่เขาซุกซ่อนไว้
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง พวกเขาก็ตัดสินใจแวะทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารพื้นเมืองเล็ก ๆ ริมหาดราไวย์ มันไม่ใช่ร้านอาหารหรูหรา แต่เป็นร้านของชาวบ้านที่บรรยากาศเป็นกันเองที่สุด โต๊ะไม้เก่าทๆ ตั้งอยู่บนผืนทราย มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงและแสงจันทร์ที่สาดส่อง
“ไม่คิดว่าคนอย่างพี่คินจะเข้าร้านแบบนี้นะคะ” ลินินเอ่ยแซว ขณะที่กำลังดูเมนูอาหารทะเลสด ๆ
“คนอย่างผม แล้วมันคนแบบไหนล่ะ” เขาถามกลับ ดวงตาคมกริบคู่นั้นมีประกายพราวระยับของแสงตะเกียงสะท้อนอยู่
“ก็คนที่ดื่มแต่ไวน์ราคาแพง ทานแต่อาหารในโรงแรมห้าดาว”
ธันวาไม่ตอบ แต่ลินินเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขาเป็นครั้งแรก
มันไม่ใช่รอยยิ้มเต็มรูปแบบ ไม่ใช่การแยกเขี้ยว แต่เป็นการยกขึ้นของมุมปากเพียงเล็กน้อย แต่สำหรับลินินแล้ว มันสว่างไสวเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์ขึ้นเสียอีก
เธอจ้องมองภาพนั้นนิ่งงันราวกับต้องมนตร์สะกด จนกระทั่งเขาสังเกตเห็นว่าเธอกำลังจ้องอยู่ รอยยิ้มนั้นก็พลันหุบลงกลับไปเป็นใบหน้าเรียบเฉยตามเดิม แต่มันสายไปเสียแล้ว เธอเห็นมันไปแล้ว
อาหารมื้อนั้นกลายเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดเท่าที่เธอเคยกินมา บทสนทนาของพวกเขาลื่นไหลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พวกเขาคุยกันเรื่องงาน เรื่องหนัง เรื่องหนังสือ หรือเรื่องสัพเพเหระที่ทำให้เธอได้เห็นตัวตนของเขาในมุมที่ต่างออกไป เขาไม่ใช่แค่เจ้านายจอมโหด แต่เขามีความฝัน มีความชอบ และมีความคิดที่ลึกซึ้งน่าค้นหา
ขากลับพวกเขาเดินเลียบชายหาดกลับรีสอร์ตใต้แสงจันทร์นวล ความเงียบระหว่างพวกเขากลายเป็นความเงียบที่แสนสบาย ไม่มีความอึดอัดอีกต่อไป
เมื่อมาถึงหน้าห้องพักที่อยู่ติดกัน ทั้งสองคนก็หยุดเดิน บรรยากาศที่เคยผ่อนคลายกลับอบอวลไปด้วยกระแสไฟฟ้าที่มองไม่เห็นอีกครั้ง
“วันนี้คุณทำงานได้ดีมาก ลินิน” เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน การเรียกชื่อเธอโดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้า ทำให้หัวใจของเธอเต้นผิดจังหวะไปอีกรอบ “คุณมองเห็นในสิ่งที่ผมมองข้ามไป”
“พี่คินก็เหมือนกันค่ะ”
เขามองเธอด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก มันลึกล้ำและเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่เธอไม่กล้าตีความ “พักผ่อนซะ พรุ่งนี้เรายังมีงานต้องทำอีก”
ธันวาหมุนตัวเปิดประตูเข้าห้องของตัวเองไป ทิ้งให้ลินินยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มือไม้อ่อนแรงจนต้องยกขึ้นพิงประตูห้องของตัวเองไว้
ลินินยกมือขึ้นสัมผัสริมฝีปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า นี่เธอกำลังเป็นอะไรไปกันแน่ ?
ลินินนอนลืมตาอยู่ในความมืด เสียงคลื่นที่เคยสงบ บัดนี้กลับเกรี้ยวกราดขึ้นเรื่อย ๆ ลมทะเลที่เคยพัดเอื่อย ๆ เริ่มส่งเสียงหวีดหวิวน่ากลัวอยู่ภายนอกระเบียง ราวกับธรรมชาติกำลังจะจัดฉากประกอบความสับสนอลหม่านในใจของเธอ
ภาพรอยยิ้มจาง ๆ ของธันวา น้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่เอ่ยชื่อเธอ ไหนจะแววตาที่ลึกล้ำคู่นั้น ทุกอย่างยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวินาทีที่แล้ว เธอพลิกตัวไปมาบนเตียงนุ่ม พยายามจะข่มตาให้หลับ แต่ก็ทำไม่ได้เลย
เปรี้ยง !
เสียงฟ้าร้องคำรามก้องกังวานจนรีสอร์ตทั้งหลังสั่นสะเทือน ลินินสะดุ้งสุดตัว หัวใจแทบจะวาย แสงฟ้าแลบแปลบปลาบวาบเข้ามาในห้อง เผยให้เห็นเงาของต้นมะพร้าวที่เอนไหวอย่างบ้าคลั่งอยู่ด้านนอก
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง ...
ไฟฟ้าทั้งรีสอร์ตดับสนิท ทิ้งให้ห้องของเธอจมอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงฟ้าแลบที่สาดเข้ามาเป็นระยะ ๆ เท่านั้น ลินินดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคาง ความกลัวที่เคยมีต่อพายุฝนฟ้าคะนองในวัยเด็กหวนกลับมาจู่โจมเธออีกครั้ง
เปรี้ยง ! ซ่า ~
เสียงฟ้าร้องระลอกใหม่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเม็ดฝนที่เริ่มสาดกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่ว
ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ลินินแทบจะกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ ใครจะมาเคาะประตูในเวลาแบบนี้กัน หรือ่าจะเป็นพนักงานของรีสอร์ต ?
เธอรวบรวมความกล้า ค่อย ๆ ลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตูอย่างระแวดระวัง “ใครคะ”
“ผมเอง”
เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคย ทำให้หัวใจของเธอที่กำลังเต้นแรงอยู่แล้วยิ่งเต้นระรัวขึ้นไปอีก
ลินินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปลดล็อกแล้วเปิดประตูออก ภาพที่เห็นคือธันวาในชุดเดิมยืนอยู่หน้าห้อง เขาใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์ส่องลงพื้น แสงสะท้อนจาง ๆ ทำให้เธอเห็นใบหน้าที่เรียบเฉยแต่แววตากลับฉายความกังวลจาง ๆ
“เสียงฟ้าร้องดังมาก แค่จะมาดูว่าคุณโอเคไหม” เขาพูดเรียบ ๆ แต่ทุกคำกลับหนักแน่น
เธอให้เขาเข้ามาในห้อง ปิดประตูลงเพื่อกันลมฝนที่เริ่มสาดเข้ามา ตอนนี้ในห้องที่มืดสนิท มีเพียงเธอกับเขา และแสงไฟฉายจากโทรศัพท์ที่เขาวางไว้บนโต๊ะเท่านั้น บรรยากาศมันช่างใกล้ชิดและเปราะบางอย่างน่าประหลาด
เปรี้ยง !
เสียงฟ้าผ่าที่ดังกว่าครั้งไหน ๆ ทำให้ลินินเผลอร้องออกมาพร้อมกับถอยหลังไปชนกับผนังห้องโดยไม่รู้ตัว
“ว้าย !”
“แค่พายุ” ธันวาก้าวเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว มือหนาของเขายื่นมาจับต้นแขนของเธอไว้เพื่อช่วยพยุง สัมผัสอุ่นจัดจากฝ่ามือของเขาที่ส่งผ่านเนื้อผ้าชุดนอนบาง ๆ ทำให้ร่างกายของเธอชาวาบไปทั้งตัว
“ไม่เป็นไร” เสียงของเขาอ่อนลงกว่าที่เธอเคยได้ยินมาทั้งชีวิต “ผมอยู่นี่แล้ว”
ลินินเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แสงไฟฉายที่สะท้อนกับพื้นส่องให้เห็นโครงหน้าของเขาเพียงลาง ๆ กำแพงทุกอย่างที่เคยมีพังทลายลงในพริบตา ในดวงตาคมกริบคู่นั้นไม่มีเงาของเจ้านายจอมโหดอีกต่อไปแล้ว มีเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังมองเธอด้วยสายตาที่ทำให้เธอแทบจะลืมหายใจ
เขามองลึกลงมาในดวงตาเธอ แล้วสายตาก็ค่อย ๆ เลื่อนลงมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกของเธอ
เวลาเหมือนจะหยุดเดิน
เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมาอย่างเชื่องช้า เปิดโอกาสให้เธอได้ถอยหนี แต่ลินินกลับไม่ขยับไปไหน ราวกับขาทั้งสองข้างถูกตอกตรึงไว้กับพื้น
แล้วริมฝีปากอุ่นร้อนของเขาก็ประทับลงบนริมฝีปากของเธอ
มันเป็นจูบที่นุ่มนวลและอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นเพียงการแตะสัมผัสแผ่วเบาเหมือนกำลังถามไถ่ แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอที่จะจุดประกายไฟให้ลุกโชนขึ้นในตัวของคนทั้งสอง
ลินินเผยอปากออกรับสัมผัสนั้นอย่างลืมตัว และนั่นคือสัญญาณที่เขากำลังรอคอย
ธันวาบดเบียดริมฝีปากลงมาหนักหน่วงขึ้น จูบของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความร้อนแรงและหิวกระหาย ลิ้นร้อนแทรกเข้ามาในโพรงปากของเธออย่างรุกราน กวาดต้อนไล่ชิมความหวานล้ำอย่างเอาแต่ใจ สองแขนของเธอยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งของเขาโดยอัตโนมัติ จิกปลายนิ้วลงบนท้ายทอยของเขาเบา ๆ เพื่อระบายความรู้สึกวาบหวามที่ซ่านไปทั่วร่าง
“อื้อ~” เสียงครางประท้วงแผ่วเบาหลุดออกจากลำคอของเธอเมื่อเริ่มจะขาดอากาศหายใจ
เขายอมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง แต่ไม่ได้ถอยห่างไปไหน หน้าผากของพวกเขายังคงแนบชิดกันอยู่ ลมหายใจร้อนผ่าวเป่ารดใบหน้าของกันและกัน
“ลินิน” เขาครางเรียกชื่อเธอเสียงแหบพร่า
ก่อนที่เขาจะประทับจูบลงมาอีกครั้ง ทว่า ดุเดือดและลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม มือหนาข้างหนึ่งเลื่อนจากต้นแขนมาโอบรอบเอวบางของเธอไว้แน่น ดึงรั้งร่างนุ่มนิ่มให้บดเบียดเข้าหาลำตัวที่แข็งแกร่งของเขาจนแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนมืออีกข้างก็สอดเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มสลวยของเธอ ล็อกท้ายทอยไว้ไม่ให้เธอหันหนีไปไหน
ร่างกายของลินินอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา สมองขาวโพลนไปหมด รับรู้ได้เพียงสัมผัสร้อนแรงที่เขามอบให้ และเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวราวกับกลองสงคราม
พวกเขาจูบกันอย่างบ้าคลั่งราวกับคนอดอยากที่เพิ่งเจอแหล่งน้ำ แลกเปลี่ยนลมหายใจและความปรารถนาที่เก็บซ่อนไว้มานานแสนนาน ท่ามกลางเสียงพายุที่คำรามอยู่ภายนอก
รุ่งเช้าในป้อมปราการของธันวานั้นเงียบสงบ แต่เป็นความสงบก่อนพายุจะเข้าอย่างแท้จริงพวกเขาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของกันและกัน ไม่มีความปรารถนาทางกายหลงเหลืออยู่แล้ว มีเพียงความแน่วแน่และมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง ทั้งสองคนต่างรู้ดีว่าสิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืน มันคือการจุดระเบิดเวลาที่นับถอยหลังสู่หายนะทางอาชีพพวกเขาอาบน้ำแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าชุดทำงานที่เปรียบเสมือนชุดเกราะสำหรับออกรบแล้วโทรศัพท์ของธันวาก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอคือ ‘พี่เจต’ธันวากดรับแล้วเปิดลำโพง ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยคำทักทาย เสียงที่เหมือนเสียงคำรามของพยัคฆ์บาดเจ็บก็ดังลั่นออกมาจากปลายสาย“พวกแกสองคนอยู่ที่ไหนกันหา?! รีบเข้ามาที่ออฟฟิศ!!!! เดี๋ยว!!!! นี้!!!!”ตู๊ด...สายถูกตัดไป ทิ้งไว้เพียงความเงียบและคำตัดสินที่ชัดเจน“ได้เวลาแล้วสินะ” ธันวาพูดเสียงเรียบ แต่แววตากลับแน่วแน่“ค่ะ” ลินินตอบกลับไป เอื้อมมือไปกุมมือของเขาไว้แน่น “ลินพร้อมแล้ว”
เวลาในห้องนั้นคล้ายจะหยุดเดิน...ริมฝีปากของลินินสัมผัสเข้ากับขอบแก้วที่เย็นเฉียบ เสียงของธันวาที่เคยเตือนไว้ดังก้องอยู่ในหัว‘ห้ามรับเครื่องดื่มจากใครก็ตามที่ไม่ใช่ผม’ภาพรอยยิ้มที่เหมือนผู้ชนะของเสี่ยวิวัฒน์ แววตาสะใจของแพรวา รวมถึงสายตากังวลของธันวาที่มองมาจากอีกฟากของห้อง ทุกอย่างประดังเข้ามาในเสี้ยววินาทีเธอต้องทำอะไรสักอย่าง!ในจังหวะที่ลินินกำลังจะแกล้งทำเป็นสะดุดเพื่อสาดแชมเปญในแก้วทิ้ง...“ลินิน! อย่า!”เสียงตะโกนที่ดังลั่นราวกับเสียงคำรามของราชสีห์ ทำให้ทุกคนในห้องหันไปมองเป็นตาเดียวธันวาทิ้งโทรศัพท์ในมืออย่างไร้ค่า ก้าวพรวด ๆ ฝ่าวงล้อมของแขกเหรื่อตรงมาที่เธอด้วยความเร็วที่น่าตกใจทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ก่อนที่ลินินจะได้ทันตั้งตัว มือแข็งแรงของเขาก็เอื้อมมาคว้าแก้วแชมเปญไปจากมือของเธออย่างแรงจนแชมเปญหกกระเซ็นไปเล็กน้อยทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เงียบเสียจนได้ยินเสียงฟองอากาศที่แตกตัวในแก้วแชมเปญของคนอื่น ๆหน้ากากของธันวาได้ถูกฉีกอ
การแสดงละครตบตาในออฟฟิศยังคงดำเนินต่อไป แต่ฉากรักร้อนแรงหลังม่านยังคงถูกจุดไฟให้ลุกโชนขึ้นทุกครั้งที่มีโอกาส ความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่แสนอันตรายนี้กลายเป็นสิ่งเสพติดสำหรับคนทั้งสองไปเสียแล้ว...แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำของตนเองนั้น กำลังตกอยู่ในสายตาของอสรพิษสองตัวที่เฝ้ารอจังหวะตะครุบเหยื่อความสงสัยที่ถูกจุดขึ้นในงานเลี้ยงคืนนั้น กลายเป็นเปลวไฟที่เผาไหม้จิตใจของแพรวา เธอเริ่มสืบเสาะหาความจริงอย่างเงียบ ๆ ราวกับนักสืบเอกชนเธอย้อนดูใบเบิกค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปภูเก็ต ตรวจสอบเวลาการจองตั๋วเครื่องบิน เวลาเช็กอินเข้าโรงแรม ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติในสายตาคนทั่วไป แต่สำหรับคนที่จับจ้องหาความผิดปกติอย่างเธอแล้ว มันมีช่องโหว่เล็ก ๆ อยู่‘ทำไมต้องจองตั๋วแยกกัน แต่กลับได้ที่นั่งติดกัน?’‘ทำไมถึงเช็กเอาท์ออกจากโรงแรมช้ากว่ากำหนดการเดิมไปหลายชั่วโมง?’มันยังไม่ใช่หลักฐานที่มัดตัวได้ แต่สำหรับแพรวาแล้ว มันคือเส้นด้ายเล็ก ๆ ที่เธอพร้อมจะสาวไปให้ถึงต้นตอ***ชายแก่เจ้าเล่ห์ที่ถูกหักหน้าอย่างรุนแรง
ลินินกลับมาถึงห้องพักในสภาพที่จิตใจห่อเหี่ยวราวกับดอกไม้ที่ขาดน้ำ สัมผัสที่น่ารังเกียจของเสี่ยวิวัฒน์และสายตาที่ราวกับจะเปลื้องผ้าของเขายังคงติดตรึงอยู่ในความรู้สึกจนน่าขยะแขยง เธอพยายามจะนั่งทำงานต่อ แต่ก็ไม่มีสมาธิเลยแม้แต่น้อย ภาพใบหน้าเลื่อมใสของเขายังคงตามมาหลอกหลอนก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้เธอสะดุ้งสุดตัว หัวใจเต้นระรัวด้วยความหวาดระแวง แต่แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นเคยก็ดังลอดเข้ามา“ลิน... ผมเอง”เธอรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที ภาพที่เห็นคือธันวาในสภาพที่ดูอิดโรยและเคร่งเครียดไม่แพ้กัน เขาก้าวเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลง ก่อนจะดึงร่างของเธอเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแกร่งอย่างแนบแน่นโดยไม่พูดอะไรสักคำอ้อมกอดของเขาเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดในโลก“คุณโอเคไหม?” เขากระซิบถาม เสียงของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างแท้จริงลินินส่ายหน้าช้า ๆ พลางซบใบหน้าลงกับแผงอกของเขา ปล่อยให้น้ำตาที่อัดอั้นไว้ตลอดทั้งวันไหลรินออกมาอย่างเงียบ ๆ เธอรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หลังจากบทร่วมรักอันน่าพิศวาสได้จบสิ้นลง เหลือทิ้งไว้เพียงสองร่างที่เปลือยเปล่าและอ่อนล้าอยู่บนโซฟาธันวายังคงกอดเธอไว้แน่น ซบใบหน้าอยู่กับซอกคอของเธอราวกับเด็กที่หลงทางและเพิ่งจะหาทางกลับบ้านเจอ คำขอโทษของเขายังคงวนเวียนอยู่ในอากาศที่หนักอึ้ง แต่สำหรับลินินแล้ว บาดแผลครั้งนี้มันลึกเกินกว่าที่คำขอโทษจะเยียวยาได้ในทันทีเธอค่อย ๆ ดันตัวเขาออกอย่างแผ่วเบา แล้วเผชิญหน้ากับเขาในความเงียบ ดวงตาของเธอยังคงแดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว“มันไม่ใช่แค่ความโกรธหริกค่ะ พี่คิน” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือแต่ก็หนักแน่น “แต่มันคือคำพูดของพี่ที่ว่าลินใช้ร่างกายเพื่อให้ได้งาน ที่พี่ไม่ไว้ใจลินเลยแม้แต่นิดเดียว”คำพูดของเธอเหมือนมีดที่กรีดซ้ำลงไปบนแผลในใจของเขา ธันวาหลบสายตาเธอเป็นครั้งแรก แววตาเต็มไปด้วยความละอายใจอย่างปิดไม่มิด“ผม... ผมมันเลวเอง” เขาพูดเสียงแผ่ว “มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยลินิน มันเป็นปมของผมเอง”เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาไม่เคยบอกใครมาก่อน เรื่องราวของความรักในอดีตท
“เรา... เราต้องบ้ากันไปแล้วแน่ ๆ” ลินินหัวเราะออกมาเบา ๆ ขณะที่พยายามจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตัวเองให้เข้าที่บนโต๊ะทำงานที่เคยศักดิ์สิทธิ์ของเขาธันวาช่วยเธอจัดปกเสื้อเบลาส์ให้เข้าที่อย่างอ่อนโยน ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวเนื้อบริเวณลำคอของเธอแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่ทำให้หัวใจของเธอกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง“บ้าที่สุด แต่ก็ดีที่สุด” เขากระซิบตอบ ก่อนจะขโมยจูบจากเธอไปอีกหนึ่งฟอดเป็นการทิ้งท้ายพวกเขาช่วยกันเก็บกวาดสนามรบอย่างรวดเร็ว จัดเอกสารที่กระจัดกระจายให้กลับเข้าที่ ทุกการกระทำเต็มไปด้วยความใกล้ชิดและความลับที่อบอวลอยู่รอบตัว ราวกับคู่รักที่กำลังทำเรื่องผิดศีลธรรมที่น่าตื่นเต้นคืนนั้น หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้าน ลินินนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มและร่างกายที่ยังคงอุ่นซ่านจากสัมผัสของเขาเช้าวันต่อมา ธันวาก็กลับไปสวมหน้ากากเจ้านายจอมโหดได้อย่างแนบเนียน เขายังคงวิจารณ์งานเธออย่างเผ็ดร้อน สั่งแก้ไขโปรเจกต์อย่างไม่หยุดหย่อน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือแววตาของเขาในทุกครั้งที่สายตาของพวกเขาประสานกันกลางที่ประชุม หรือเดิน