เช้าวันนี้บริษัทของผมต่างก็พูดถึงเรื่องเลขาคนใหม่ของบอสวินกันอย่างหนาหู ทุกคนต่างให้ความสนใจและสงสัยว่าใครกันจะมาเป็นเลขาคนใหม่ เนื่องจากในกลุ่มไลน์ของบริษัท มีข้อความจากบอสวินได้แจ้งทุกคนให้มาประชุมพร้อมกันในเวลาเก้าโมงตรงเพื่อรับทราบเรื่องเลขาที่บอสเลือกไว้เรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าข้อความเหล่านั้นผมเองก็เห็น แต่ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร เพราะผมรู้คำตอบอยู่แล้วหนิว่าเลขาคนนั้นคือใคร และทันทีที่ผมวางกระเป๋าทำงานลงบนโต๊ะ พี่ดาก็รีบก้าวยาว ๆ มาหาผมหน้าตาตื่น
“ภัทเห็นข้อความในไลน์กลุ่มรึยัง ที่บอสเรียกประชุมน่ะ”
พี่ดาถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น มือหนึ่งถือแก้วกาแฟที่มีไอร้อนลอยขึ้นมา
“เห็นแล้วครับพี่”
“แกว่าใครจะมาเป็นเลขาคนใหม่ของบอส คนโชคร้ายคนนั้นจะเป็นใครกันนะ”
“ก็คงหนีไม่พ้นผมหรอกครับพี่”
“ถามจริง !!”
พี่ดาลากเก้าอี้ทำงานโต๊ะตัวเองมานั่งใกล้ผมมากขึ้น ส่วนผมก็นั่งหมุนเก้าอี้หนังสีดำไปมา รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องมีเรื่องคุยกับผมมากแน่ ๆ ผมเลยไม่คิดจะเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างเช่นทุกวัน
“ภัท เมื่อกี้แกว่าไงนะ บอสเลือกแกไปเป็นเลขาเหรอ”
พี่ดาถามหน้าตาตื่นยิ่งกว่าเดิม ราวกับเรื่องที่ได้รับรู้นั้นเป็นเรื่องใหญ่ซะเหลือเกิน
“ครับ เมื่อวานที่บอสเรียกผมไปพบก็เรื่องนี้แหละ”
“โห แล้วแกโอเคปะเนี่ยภัท แล้วตำแหน่งติดตามหนี้ใครจะมาทำแทนล่ะ พี่ว่าบริษัทเราไม่มีใครทำตำแหน่งนี้ได้ดีเท่าแกแล้ว”
“ก็ยังเป็นผมนี่แหละครับที่ต้องทำ บอสบอกว่าจะให้ผมควบตำแหน่ง แล้วก็ปรับเงินเดือนให้”
“จริงเหรอ ๆ แล้วบอสว่าไงอีกปะ เล่า ๆ”
พี่ดาวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะทำงานของตัวเองแล้วรัวคำถามใส่ผมอีกหลายคำถาม
“ก็ไม่ว่าไงแล้วครับ เราคุยกันแค่นี้ ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ผมว่าเขาคงแจ้งตอนประชุมอีกครั้ง”
“อืม แต่เอาจริงนะ พี่ว่าแกก็เป็นคนเก่งคนนึง คงไม่แปลกหรอกที่ผลงานจะเข้าตาบอส”
“ผมก็ภาวนาให้ตัวเองทำงานกับบอสอย่างราบรื่นครับพี่ดา”
“เอาหน่า อย่าคิดมาก พี่เชื่อว่าภัททำได้อยู่แล้ว”
พี่ดายื่นมือมาตบบ่าผมเบา ๆ เป็นการให้กำลังใจ ผมยิ้มกลับไปเล็กน้อย หลังจากนั้นบทสนทนาของเราก็จบลง เพราะใกล้จะได้เวลาประชุมแล้ว
ก่อนเวลานัดหมายห้านาที พนักงานทุกคนต่างก็พร้อมใจกันไปนั่งรอภายในห้องประชุม ซึ่งเมื่อถึงเวลาเก้าโมง บอสวินก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง และทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ
ให้ตายเถอะผมโคตรจะไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลย ถึงแม้ลึก ๆ ผมจะชอบความเงียบในบางครั้ง แต่ความเงียบภายในห้องประชุมเป็นสิ่งที่ผมอยากหลีกเลี่ยงมากที่สุด เพราะมันชวนอึดอัดไม่น้อย
“ขอบคุณทุกคนที่มาตรงเวลาครับ”
เมื่อบอสเริ่มเกริ่นประโยคทักทาย ความเงียบภายในห้องก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ไม่มีพนักงานคนไหนเอ่ยอะไร หรือแม้แต่จะขยับตัว ทุกคนนั่งนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นหินในทันใด
“ทุกคนคงรู้แล้วว่าเลขาคนเก่าของผมได้ลาออกไป ตอนนี้ผมเลยแต่งตั้งพนักงานคนใหม่ที่จะย้ายมาทำตำแหน่งเลขา และอยากจะแจ้งให้ทุกคนทราบว่าพนักงานคนนั้นคือ นายภากร เจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สิน หลังจากนี้ภัทจะมาทำตำแหน่งเลขาและยังควบตำแหน่งเจ้าหน้าที่ติดตามหนี้สินเช่นเดิม มีใครอยากคัดค้านการแต่งตั้งครั้งนี้ หรือคิดว่ามีคนอื่นที่เหมาะกว่าภัทไหมครับ สามารถเสนอความคิดเห็นได้ ผมยินดีรับฟัง”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครเอ่ยอะไร แต่พี่ดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผม หันมากระซิบกระซาบ
“ถามมาได้ว่าใครอยากค้านรึเปล่า ก็ตัวเองเป็นคนเลือกเองหนิ ใครจะกล้าขัด หรือถ้าเห็นไม่ตรงกันมีหวังได้โดนเหวี่ยงอีก”
ผมนึกขำกับท่าทางของพี่ดา ซึ่งจังหวะนั้นบอสหันหน้ามายังเราสองคนพอดี และเห็นว่าพี่ดากำลังพูดคุยบางอย่างกับผม
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าครับคุณดวงดาว ถ้ามี รบกวนคุยกับผมครับ”
พี่ดารีบหันกลับไปมองหน้าบอสแล้วส่ายหน้าทันที ผมเห็นสีหน้าพี่ดาซีดเป็นไก่ต้มทั้งขำทั้งเอ็นดู
“ปะ เปล่าค่ะบอส ไม่มีอะไรค่ะ”
“ดีครับ งั้นก็ปิดประชุม เรื่องที่จะแจ้งมีแค่นี้ ส่วนเรื่องงาน ผมคิดว่าทุกคนในองค์กรคงเต็มที่อยู่แล้ว ตั้งใจทำงานในตำแหน่งของตัวเองให้ดีนะครับ ผมอยากให้ผลประกอบการปีนี้ดีกว่าในทุก ๆ ปีที่ผ่านมา รบกวนด้วยนะครับ”
พนักงานทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าตอบรับ หลังจากนั้นทุกคนก็ทยอยเดินออกจากห้องประชุม ผมเห็นพี่ดารีบเดินออกไปอย่างไว คงเพราะไม่อยากเจอรังสีอำมหิตจากใบหน้าของบอส ส่วนผมไม่ชอบแย่งอะไรกับใครเลยรอให้ทุกคนเดินออกไปกันก่อน เหลือผมคนสุดท้าย
“ภัท”
“ครับ”
ไม่ทันจะได้เดินออกมาจากห้อง เสียงของบอสที่เรียกชื่อผมทำให้สองขาหยุดชะงักไว้ก่อน ผมหันไปมองต้นเสียงก็เห็นว่าสายตาบอสจับจ้องใบหน้าผมแทบไม่กะพริบตา ไม่แน่ใจว่ามีอะไรติดหน้าผมอยู่รึเปล่า
“เดี๋ยวกลับไปเก็บของที่โต๊ะทำงานเก่าแล้วมาย้ายโต๊ะทำงานหน้าห้องของผม เข้าไปนั่งในห้องกับผม”
“นั่งในห้อง?”
ผมถามย้ำอีกครั้ง ไม่แน่ใจนักว่ามีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปนั่งทำงานในห้องของบอส เท่าที่รู้มา เขาชอบความเป็นส่วนตัวและไม่ชอบให้ใครไปยุ่งวุ่นวายเวลาที่ทำงานนัก
“อืม ฉันจะได้สั่งงานง่าย ๆ ขี้เกียจยกหูโทรศัพท์บ่อย ๆ”
พูดจบบอสวินก็เดินตัวปลิวออกไปจากห้องประชุม ทิ้งให้ผมยืนงง ๆ กับคำสั่งของเขา
แค่ยกหูโทรศัพท์มันจะยุ่งยากอะไรนักหนา
“พี่คงคิดถึงภัทแย่เลย”
พี่ดาหันมาชวนคุยระหว่างที่ผมกำลังเก็บของ จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่ที่ผมมาทำงานที่นี่ก็มีแค่พี่ดานี่แหละที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ คอยสอนงานและให้คำแนะนำต่าง ๆ ตลอดเวลาที่ผมทำงานที่นี่มา ไม่รู้ว่าการไปทำงานกับบอสจะต้องเจออะไรบ้าง บอสจะใจดีแบบพี่ดาไหมนะ อดคิดไม่ได้เลย
“เอาหน่า ยังไงเราก็ยังอยู่บริษัทเดียวกันนะครับพี่ดา ไว้พักเที่ยงภัทไปกินข้าวด้วย”
“แหม ทำเป็นพูด คงได้มาหรอกจ้า ภัทไม่รู้เหรอว่าเลขาบอสนี่ต้องตัวติดกับบอสมากเลยนะ พี่เห็นเลขาคนเก่าน่ะ แทบไม่ได้ไปไหนมาไหนกับพนักงานคนอื่นในบริษัทเลย บางวันก็เลิกงานพร้อมบอส บอสไปประชุมที่ไหนก็ต้องตามไปด้วย ถ้าเป็นพี่นะ ถึงได้เงินเดือนเยอะพี่ก็ไม่ทำหรอก”
ผมเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อรู้แบบนั้น อดคิดมากไม่ได้ว่าการย้ายตำแหน่งงานของผมในครั้งนี้จะต้องเจออะไรบ้าง และถ้าเป็นอย่างที่พี่ดาบอกจริง ชีวิตส่วนตัวของผมก็คงจะหายไป
“ภัท พี่ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้เครียดนะ”
“อ้อ เปล่าครับ ภัทไม่ได้คิดมากหรอก ไว้เจอกันนะครับพี่”
ผมเก็บของทุกอย่างใส่ลงในลังกระดาษสีน้ำตาลแล้วสะพายกระเป๋าสีดำคู่ใจเดินออกมาจากโต๊ะทำงานตัวเก่า เอ่ยลาพี่ดาอีกครั้งแล้วเดินไปกดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นห้า ซึ่งทั้งชั้นมีห้องทำงานแค่ห้องเดียวคือห้องของบอส ส่วนอีกห้องจะเป็นห้องประชุม
ผมแทบไม่เคยขึ้นมาชั้นนี้ และรู้สึกว่ามันวังเวงยังไงชอบกล ไม่รู้ว่าบอสอยู่ที่นี่ได้ยังไง มองดูแล้วเหมือนเป็นชั้นที่ตัดขาดจากทุกคนภายนอก เป็นพื้นที่ส่วนตัวอย่างตั้งใจ
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของบอสผมก็เห็นว่าโต๊ะทำงานของเลขาที่เคยอยู่หน้าห้องมันหายไป เดาว่ามันคงถูกเคลื่อนย้ายไปในห้องเรียบร้อยแล้ว
หลังจากเคาะประตูไปสองครั้ง ก็ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาทันที ผมหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปด้านในก็เห็นว่าโต๊ะทำงานหน้าห้องถูกย้ายมาไว้ในห้องแล้วอย่างที่คิด แต่มีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมโต๊ะทำงานผมถึงไปตั้งชนกับโต๊ะของบอสจนใกล้กันขนาดนั้น
ใกล้ชนิดที่ว่าถ้าผมถอนหายใจแรง ๆ บอสก็คงได้ยินไม่ยาก
“ฉันให้คนย้ายโต๊ะหน้าห้องมาให้แล้ว นายเก็บของช้ามาก เสียเวลา นี่ก็จะเที่ยงแล้ว”
คนที่อยู่ในห้องเอ่ยเสียงดุ ผมเดินไปยังโต๊ะทำงานตัวเองแล้ววางกล่องกระดาษลังลงบนโต๊ะ ยกข้อมือซ้ายดูเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดที่บอกเวลาสิบโมงครึ่ง ไม่เข้าใจสักนิดว่ามันใกล้เที่ยงตรงไหน
“ทำไมโต๊ะผมถึงต้องมาตั้งใกล้โต๊ะบอสขนาดนี้ครับ ผมขอขยับไปนั่งตรงมุมห้องได้ไหม”
ทันทีที่ผมถามในสิ่งที่ค้างคาใจออกไป ร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่ก็ลุกเดินมาหาผมอย่างรวดเร็ว บอสเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะโน้มตัวเข้าใกล้ผมมากขึ้น ทำให้ผมต้องขยับออกห่างจนสะโพกชนกับขอบโต๊ะและไม่สามารถเลี่ยงไปไหนได้อีก
“งานแรกของคุณวันนี้คือ ไปทำความเข้าใจหน้าที่เลขาให้ถี่ถ้วนก่อน คุณจะได้ไม่ต้องถามคำถามแบบเมื่อกี้นี้กับผมอีก”
ผมไม่ชอบสายตาดุดันนั่นเลยให้ตายเถอะ ก็คนมันสงสัยก็เลยถามออกไป และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมเลย หน้าที่เลขามันเกี่ยวอะไรกับการที่โต๊ะทำงานของผมต้องมาตั้งใกล้เขาขนาดนี้ แต่ก็ช่างเถอะ ผมว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขาอีกบอสกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานและเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก วันนี้เขาดูเครียดกว่าทุกวัน เอกสารบนโต๊ะยังกองพะเนิน เคยได้ยินมาว่าแม้แต่แม่บ้านเขายังไม่อนุญาตให้เข้ามาห้องนี้จนกว่าจะได้รับคำสั่ง ไม่รู้ผู้ชายคนนี้ต้องแบกรับอะไรบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ควรเอาความเครียดและภาระหนักอึ้งทั้งหลายมาลงกับลูกน้อง โดยเฉพาะคนใกล้ตัวอย่างผมระหว่างที่ห้องทั้งห้องยังตกอยู่ในความเงียบ ผมใช้เวลานี้จัดวางข้าวของบนโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ เพิ่งเห็นว่าคอมพิวเตอร์ที่เขาให้ผมใช้เป็นรุ่นเดียวกับของบอส นี่น่าจะเป็นเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดี เพราะคอมเครื่องเก่าที่ผมใช้ทำงานมันแทบจะตกรุ่นไปแล้ว เปิดเครื่องแต่ละครั้งก็ใช้เวลารอนานมาก ได้เจอเครื่องมือทันสมัยบ้างก็ดีไม่น้อยหลังจากจัดของบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มงานที่เขามอบหมายให้ผมเมื่อครู่ แน่นอนว่าทุก
เที่ยงตรงวันนี้ผมกับบอสออกมาจากบริษัทด้วยกันท่ามกลางสายตาหลายคู่ของพนักงานคนอื่น ๆ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือพี่ดาที่มองผมด้วยแววตาน่าสงสาร พนักงานคนอื่นก็แทบไม่ต่างกัน ดูเหมือนทุกคนจะเอาใจช่วยผมเป็นอย่างมากกับการมารับตำแหน่งนี้ ต่างกับผมที่ตอนนี้ไม่รู้สึกเป็นกังวลอะไรอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว“เดี๋ยวผมเรียกคนขับรถให้ครับ”หลังจากเราสองคนเดินออกมาหน้าบริษัทผมเห็นบอสมองซ้ายมองขวาราวกับหาอะไรบางอย่าง และผมเดาว่าคงจะเป็นคนขับรถของบริษัทแน่ ๆ เพราะปกติแล้วทุกครั้งที่บอสไปไหนก็จะมีคนขับรถติดตามไปด้วยเสมอ“ไม่ต้องเรียกหรอก ฉันแค่มองหารถตัวเองอยู่น่ะ เจอแล้ว จอดอยู่ตรงโน้น รีบตามมา”บอสเดินนำหน้าไป ผมก็รีบก้าวยาว ๆ ตามไปติด ๆรถของบอสจอดอยู่ที่จอดรถวีไอพี มันเป็นรถเก๋งสีดำยี่ห้อหรูที่ทุกคนรู้จักดี แน่นอนว่าผมเองก็ฝันอยากมีรถแพง ๆ แบบนี้ขับสักครั้ง แต่มันก็คงเป็นแค่ความฝันตลอดไป เพราะต่อให้มีเงินเยอะมากมายขนาดไหน ผมก็คงไม่เอามาซื้อรถราคาหลายสิบล้านแบบนี้“รู้ใช่ไหมว่าหนึ่งในหน้าที่สำคัญของเลขาที่ดีควรจะขับรถเป็นด้วย”จบประโยคเขาก็ยื่นกุญแจรถมาให้ผม“บอสจะให้ผมขับรถให้เหรอครับ”ผมมองกุญแจรถในมือบอส
ใบหน้าของบอสจะเรียกว่าไร้ที่ติก็คงจะไม่เกินจริงนัก เพราะทุกอวัยวะบนใบหน้ารับกันเป็นอย่างดี ทั้งคิ้วโก่งคมเข้มที่เรียงเส้นสวย สันจมูกโด่งรับกับหน้าผากกว้าง ดวงตาคมคู่นั้นที่ผมไม่กล้าสบตาเท่าไหร่นัก ไหนจะริมฝีปากหนาอวบอิ่มที่มีสีแดงระเรื่อให้ได้เห็นชัดเจน จะว่าไปแล้ว ปากบอสก็น่าจูบไม่น้อย ให้ตายเถอะนี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ยเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำให้ผมต้องหยุดคิดฟุ้งซ่านทันที และจังหวะที่พนักงานเอาอาหารเข้ามาเสิร์ฟก็เป็นนาทีเดียวกับที่บอสลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรงผมเห็นเขามองอาหารบนโต๊ะด้วยสายตาแปลก ๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรจนพนักงานเสิร์ฟอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกไป“ฉันไม่รู้ว่านายสั่งอาหารผิดหรือพนักงานทำผิด เพราะฉันไม่กิน สปาเกตตีคาโบนาร่า ไม่ชอบอาหารพวกครีม ชีส นม ทุกอย่างทำนองนี้”“อ้าว บอสไม่ได้สั่งคาโบนาร่าเหรอครับ แต่ผมจำได้ว่าบอสให้สั่งสปาเกตตี”“ใช่ แต่ฉันให้นายสั่งผัดขี้เมา พวกครีม ชีส เนย ต้องใช้เวลาเบิร์นออกเยอะ ถ้าฉันกิน เย็นนี้ก็ต้องไปออกกำลังกายเผาผลาญแคลอรี”สายตาอำมหิตจับจ้องมายังผมอีกครั้ง ผมจึงรีบหลบสายตาลงต่ำพยายามคิดหาข้อแก้ตัว จะว่าไปผมก็สั่งไปตามใจผมนั่น
“ผมเป็นลูกน้องจะกล้ามีปัญหากับบอสได้ไงครับ เพียงแต่ผมไม่ชอบเข้าสังคมเท่าไหร่ เลยคิดว่าการจะต้องไปกับบอสทุกที่อาจจะทำได้ไม่ดี เผื่อบอสจะเอาเรื่องนี้ไปคิดแล้วหาคนมาแทนผมครับ”ความเงียบภายในห้องเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมเองก็ได้แต่ยืนก้มหน้า แต่มันอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะหากปล่อยไว้ความรู้สึกของผมคงแย่ไปกว่านี้ ถ้าต้องกลับไปทำงาน“โดนบังคับให้กินผักแค่นี้ ถอดใจแล้วรึไง ป๊อดว่ะ”จากที่ยืนก้มหน้าผมถึงกับเงยหน้ามองบอสทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น จู่ ๆ มาว่าผมป๊อดได้ยังไง ทั้งที่ผมโดนบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำต่างหาก“ผมไม่ได้ถอดใจ แต่”“ไม่ถอดใจงั้นก็ไม่ต้องมีแต่ หลังจากนี้ห้ามมีข้อโต้แย้งอะไรอีก ฉันสั่งอะไรนายก็แค่ทำ ส่วนงานเรื่องติดตามทวงหนี้นายก็ยังต้องทำอยู่ เข้าใจรึเปล่า”สุดท้ายผมเลือกอะไรไม่ได้สินะ จะกลับไปทำตำแหน่งเดิมก็ไม่ได้ จะไม่ทำงานเลขาก็ไม่ได้ จะไม่กินผักก็ไม่ได้ บ้าบอชิบ“เข้าใจแล้วครับ”“บ่ายนี้ฉันขอรายงานลูกหนี้สีแดงทั้งหมดด้วย เรียงตามยอดหนี้สูงสุดไปถึงน้อยสุด ส่วนเคสไหนที่พอจะลดหย่อนได้หรือทำส่วนลดให้ลูกค้าได้ก็จัดการซะ สิ้นปีนี้ฉันต้องปรับโครงสร้างลูกหนี้ของบริษัทให้
เย็นวันนี้ผมและบอสออกมาจากบริษัทพร้อมกัน และขึ้นรถไปด้วยกัน แน่นอนว่ามันเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคู่ที่ได้เห็นเราสองคน ที่สำคัญคือบอสย้ายตัวเองมานั่งข้างคนขับ แทนที่จะนั่งด้านหลังอย่างเมื่อกลางวัน มันยิ่งกลายเป็นที่จับจ้องเข้าไปใหญ่“ทำไมพี่มานั่งข้างคนขับ”ผมถามขึ้นหลังจากเคลื่อนรถออกมาจากบริษัท จุดหมายเย็นนี้คือสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้ ๆ ที่พักของผม“พี่เป็นเจ้าของรถ จะนั่งตรงไหนก็ได้ไหม หื้ม”คนข้าง ๆ หันมามองหน้าผม ใบหน้าดูกวน ๆ ยังไงชอบกล ให้ตายเถอะ ตั้งแต่เขาเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเอง ดูเหมือนว่าท่าทีและการกระทำของเขาก็เปลี่ยนตามไปด้วย“ก็ใช่ แต่ผมเป็นเลขาพี่ คนในบริษัทจะมองพี่ไม่ดี”“ทำไม กลัวเค้าจะคิดว่าพี่กำลังจีบเลขาอยู่เหรอ ก็ให้เขาคิดไปสิ”“ปะ เปล่า แต่มันก็ เอ่อ”อยู่ดี ๆ ผมก็ใบ้กินขึ้นมาซะอย่างนั้น ยิ่งเขาจับจ้องสายตามาทางผมไม่ยอมละไปไหนผมก็ยิ่งทำตัวไม่ถูก“เอาหน่า อย่าไปสนใจคนอื่นเลย ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว”“ครับ”ผมตอบรับสั้น ๆ แล้วตั้งใจมองถนนเส้นยาวเบื้องหน้า ช่วงเลิกงานแบบนี้การจราจรบนท้องถนนมันช่างขัดใจยิ่งกว่าอะไรดีระหว่างที่กำลังรอสัญญาณไฟแดงเกือบสองนาที ผม
เมื่อเห็นแววตาของบอสเปลี่ยนไปผมก็ไม่คิดจะถามอะไรอีก เรื่องความสัมพันธ์ภายในครอบครัวคงไม่ใช่เรื่องที่เลขาอย่างผมต้องรู้ แต่สิ่งที่ผมทำได้คงเป็นการแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งบนบ่าของบอสมากกว่า“พี่วิน”“หื้ม”“หิวไหม ไปหาไรกินกันดีกว่า”“นึกอะไรถึงชวน”ใบหน้าของบอสเต็มไปด้วยความสงสัย“แถวบ้านผมมีตลาดเปิดใหม่อะ อยากไปเดินเล่นปะ ของกินก็มีของใช้ก็มี”“น่าสนใจ”“โอเค ผมถือว่านี่คือคำตอบละกัน”พูดจบผมก็ขับรถออกมาจากสวนสาธารณะทันที แล้วตรงไปยังตลาดใกล้บ้าน ที่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ตลาดเปิดใหม่อะไรหรอก ผมแค่อยากพาพี่วินไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เดาได้เลยว่าร้อยทั้งร้อยคนบ้างานแบบเขาคงไม่เคยมาเดินเที่ยวตลาดกลางคืนแน่ ๆใช้เวลาไม่นานเราสองคนก็มาถึงจุดหมาย ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่า บรรยากาศรอบตลาดประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีส้ม อีกอย่างตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ลมหนาวที่พัดมากระทบผิวกายช่วงกลางคืนยิ่งทำให้ตลาดแห่งนี้น่าเดินมากขึ้น“พี่วินกินเตี๋ยวกันปะ”ผมหันไปถามบอสขณะที่เราทั้งคู่กำลังจะเดินเลยผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเรือร้านหนึ่ง“อื้ม เอาดิ”ถึงแม้หน้าตาเขาจะดูงง ๆ แต่ก็ตกปากรับคำ ผมเลยรีบลากแขนพี่วินเข้ามานั่งในร้านเ
เช้าวันต่อมา ผมมาถึงที่ทำงานในเวลาฉิวเฉียด นั่นก็คือแปดโมงสามสิบนาทีแบบเป๊ะ ๆ เนื่องจากวันนี้นาฬิกาปลุกดันไม่ปลุก ผมเลยตื่นสาย ตอนแรกก็กลัวแทบแย่ คิดว่าเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาคงจะเจอบอสนั่งหน้าเหวี่ยงอยู่แน่นอน เพราะเขาค่อนข้างซีเรียสเรื่องเวลา แต่กลายเป็นว่า ห้องทำงานว่างเปล่า ไม่มีบอสอยู่ในห้องเครื่องปรับอากาศไม่ได้ถูกเปิด ไฟในห้องปิดหมดทุกดวง โต๊ะทำงานของบอสยังอยู่ในสภาพเอกสารกองพะเนินเหมือนเมื่อวาน ราวกับว่าวันนี้ยังไม่มีใครย่างกรายเข้ามาที่นี่และระหว่างที่ผมกำลังมึน ๆ งง ๆ ป้าแม่บ้านของบริษัทก็เปิดประตูห้องทำงานเข้ามาพร้อมกับไม้กวาดและที่โกยขยะ“อ้าวน้องภัท เพิ่งมาเหรอจ๊ะ”ป้านวลเอ่ยทักทายด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มงานของตัวเอง“ครับป้า พอดีวันนี้ภัทตื่นสายนิดหน่อย บอสยังไม่มาเหรอครับ”“ป้ายังไม่เห็นนะ แต่มันน่าแปลก ปกติบอสจะมาก่อนใครแล้วก็ไม่เคยสาย นี่ก็เลยเวลาทำงานแล้วนะ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรรึเปล่า”จริง ๆ ไม่ใช่แค่ป้าที่คิดแบบนั้นหรอก ผมเองก็คิดเหมือนกันว่ามันน่าผิดสังเกต เมื่อคืนนี้ก่อนเราจะแยกกันบอสก็ยังดูปกติดีนี่นา ผมอดสงสัยไม่ได้ เลยรอให้ป้านวลทำความสะอาดห้องทำงานเ
“พี่อยากรู้ไปทำไม”ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม แต่ส่งประโยคคำถามกลับไปแทน แล้วขยับช้อนไปใกล้ปากของบอสมากขึ้น อีกฝ่ายเลยจำต้องเอาอาหารตรงหน้าเข้าปากไปซะก่อน“ก็ขอใช้สิทธิ์เจ้านายไม่ได้เหรอ”“ฟังดูไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย แล้วการที่ผมดีกับพี่มันไม่ดีรึไง อีกอย่างผมเป็นเลขา ผมก็ไม่อยากทำหน้าที่นี้บกพร่อง และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่ท้องเสีย”“โอเค หน้าที่เลขา พี่เข้าใจแล้ว”บอสพูดจบก็แย่งช้อนไปจากมือผม แล้วตักโจ๊กกินเองแบบเดิม ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำไงต่อเลยเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ย้ายมานั่งยังมุมโซฟาใกล้ ๆ แล้วหยิบไอแพดประจำตัวมาเปิดดูเคสลูกค้าวันนี้รายชื่อสีแดงยังคงขึ้นแดงเถือกแทบทั้งหน้า ดูเหมือนว่าเคสลูกหนี้จะไม่หมดไปง่าย ๆ เพราะถึงจะปิดเคสเก่าไปได้ เคสใหม่ก็มีเพิ่มทุกวัน การจะช่วยบอสทำผลงานในช่วงสิ้นปีนี้จึงเป็นเรื่องที่หินพอสมควร“พี่วินครับ”“หื้ม”ผมเอ่ยเรียกอีกฝ่ายขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่กับหน้าจอไอแพดเพราะเห็นความผิดปกติในบางอย่าง“พี่วินรู้จักลูกค้าที่ชื่อ มีชัย อัครไพศาลรึเปล่าครับ เขาเอาที่ดินมาจำนองกับทางเราไว้ แต่ไม่จ่ายค่างวดหลายเดือนแล้ว แปลกจังที่ผมเพิ่งเค
ร่างกายของผมถูกถอดเสื้อผ้าออกไปอย่างรวดเร็วสกิลด้านนี้ของพี่วินช่ำชองมากขึ้นทุกวัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีผมก็เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า เสียงลมหายใจหอบกระเส่าดังกว่าทุกครั้ง เวลาพี่วินเมาเขาดูเหมือนคนหื่นกระหายที่ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลย ทั้งที่ความจริงแล้วเขาช่ำชองเป็นที่สุดและครั้งนี้เขาก็เริ่มต้นด้วยการ หยิบเจลหล่อลื่นออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะเครื่องแป้งแล้วเดินมุ่งมาหาผมที่นอนหงายอยู่บนเตียงท่าทีคลานเข่าเข้ามาหาก่อนจะคร่อมร่างผมไว้ไม่ต่างจากเสือร้ายที่กำลังจะล่าเหยื่อ สายตาของเขามองผมราวกับว่าสามารถกลืนผมลงไปได้ทั้งร่าง และไม่บ่อยนักที่ผมจะได้เห็นเขาในมุมนี้“คืนนี้ภัทน่าเอากว่าทุกคืนเลย รู้ตัวไหมครับ”เขาก้มลงมากระซิบข้างหูผมเบา ๆ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นลากไล้ตั้งแต่ซอกคอของผมลงมาตามลำคอ แล้วกลับไปส่งมอบรสจูบแสนหวานอย่างช้า ๆเราจูบกันเนิ่นนานและค่อย ๆ เพิ่มระดับความเร่าร้อนมากขึ้น สอดลิ้นแลกเปลี่ยนความหวานในโพรงปากของกันและกันอย่างโหยหา ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จาง ๆ ที่ยังอยู่ในตัวทำให้ความต้องการของผมถูกปลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ผมรู้สึกปวดหน่วงกลางกายขึ้นมาในทันที“พะ พี่วิน”ผมเอื้อมม
ความสัมพันธ์ของผมกับพี่วินยังคงเป็นไปด้วยดีถึงแม้เราจะมีงอนกันบ้างโกรธกันบ้าง แต่ผมคิดว่ามันคือความธรรมดาของชีวิตคู่แหละครับ และสุดท้ายเราสองคนก็รู้ดีว่า ต่อให้จะทะเลาะกันขนาดไหนเราไม่มีวันปล่อยมือกันไปแน่นอน และเราก็จะกลับมาคุยดีกันเหมือนเดิมภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะถึงยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้วอย่างเช่นวันนี้ที่กำลังมีคนหน้าบึ้งอีกแล้ว เหตุเพราะเห็นผมไปสอนงานให้น้องใหม่ที่เพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก“ปั้นหน้ายักษ์นาน ๆ ระวังหน้าเหี่ยว เดี๋ยวแก่เร็วนะครับ”ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวแล้วเดินไปโอบล้อมรอบคอพี่วินเอาไว้จากด้านหลัง“พี่ไม่กลัวแก่ครับ แต่พี่ไม่ชอบให้ภัทไปใกล้ใคร ไปดีกับคนโน้นคนนี้เดี๋ยวก็มีคนมาชอบภัทอีก”“โห คิดไปโน่น ที่ผ่านมามีใครได้เข้าใกล้ภัทบ้างล่ะ แค่มาเฉียดพี่ก็ขู่ฟ่อ ๆ แล้ว”“ภัท พี่ไม่ใช่หมา !”ใบหน้าเง้างอนชัดเจนยิ่งกว่าเดิม พี่วินกอดอกแน่น หายใจฟึดฟัดเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่โดนแย่งของเล่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนนิสัยของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน“โอ๋ ๆ ภัทไม่ได้ว่าพี่เป็นหมาสักหน่อย แค่จะบอกว่าพี่หวงภัทขนาดนี้ ใครจะกล้ามายุ่งกับภัทครับ และภัทก็ไม่มีทางไปยุ่งกับใครแน่น
“เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม”พี่วินหันมาถามขณะที่ผมกำลังจะเคลื่อนรถออกจากบริษัท วันนี้เราสองคนต้องไปต่างจังหวัดเนื่องจากมีสาขาเปิดใหม่พี่วินเลยรับหน้าที่ไปดูแลการเปิดสาขาใหม่วันแรก โดยวันนี้เราจะลงใต้ไปจังหวัดชุมพรด้วยกัน“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ ทั้งเอกสารแล้วก็กระเป๋าเสื้อผ้า”“เยี่ยมมาก เป็นทั้งเลขาเป็นทั้งแฟน ทำทุกอย่างโดยไม่บกพร่อง ไตรมาสหน้าพี่จะปรับเงินเดือนเป็นห้าแสนดีไหม”“หึ เว่อร์มาก”ผมหลุดขำออกมา แต่เมื่อหันไปมองหน้าพี่วิน ผมรู้ว่าเขาคิดจริงและคงทำจริงได้ไม่ยาก เห็นแบบนั้นเลยต้องเอ่ยห้ามไว้ก่อน“แค่เดือนละแสนห้าผมก็เกรงใจคนอื่นจะแย่ ถ้าปรับเป็นเดือนละห้าแสนพ่อพี่คงเรียกผมไปคุยแน่”“เขาไม่เรียกหรอก เขาโอนกรรมสิทธิ์สาขาสามให้พี่เต็มตัวแล้ว”“ถามจริง”ผมแทบไม่เชื่อหูที่ได้ยินข่าวดีสุด ๆ ในวันนี้ แต่จะว่าไปก็คงไม่แปลกหรอก เพราะที่ผ่านมาพี่วินก็ตั้งใจและทุ่มเทกับสาขาสามเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่พี่วินเข้าไปดูแล ผลประกอบการก็ดีขึ้นและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งลูกค้ายังบอกต่อและเอ่ยคำชมไม่หยุดหย่อนถึงการบริการและความเอาใจใส่ของพนักงาน ส่วนเรื่องมีตติ้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในทุกเดือนพ
“พี่วินจะเอาชุดพวกนี้ไปทั้งหมดจริง ๆ เหรอครับ”ผมหันไปถามคนที่นอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง ตอนนี้เราสองคนกำลังจัดกระเป๋าเตรียมไปมีตติ้งภาคเหนือ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่าเป็นผมคนเดียวมากกว่าที่กำลังจัดกระเป๋าทั้งของผมและของพี่วิน ส่วนอีกฝ่ายน่ะ เอาแต่นอนมองผมทำโน่นทำนี่ เอามือเท้าคาง กลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างอารมณ์ดี“ใช่แล้ว เอาไปหมดนั่นเลย รวมสกินแคร์ในขวดเล็ก ๆ ที่พี่เตรียมไว้บนโต๊ะหน้ากระจกด้วยครับ”ผมหันไปมองสกินแคร์ที่พี่วินบอกก็ได้แต่ส่ายหน้า นี่เขาลืมไปรึเปล่าว่าเราไปแค่ไม่กี่วัน เขาเอาทุกอย่างไปหมดราวกับจะย้ายบ้านยังไงอย่างนั้น“แล้วเสื้อคู่ กางเกงคู่ พี่จะเอาไปทุกชุดเลยเหรอ”“ครับ ทุกชุดเลย ของภัทก็ด้วย เราจะได้ใส่เหมือนกันไง”“เอาจริงดิ?”“อื้ม ตามนั้น”พี่วินยักคิ้วยียวน เขายังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง มองหน้าผมเป็นครั้งคราว รอยยิ้มบนใบหน้าเกิดขึ้นแทบตลอดเวลาที่ได้ดูผมจัดกระเป๋าให้เขาและเตรียมข้าวของทุกอย่างที่จำเป็นให้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านอกจากหน้าที่เลขาและคนรักแล้ว ตอนนี้ผมพ่วงหน้าที่แม่บ้านไปอีกตำแหน่งด้วยรึเปล่า แต่ไม่ว่าจะหน้าที่ไหนผมก็เต็มใจครับ เพราะผมรักเขา รักมากที
ผมกับภัทเป็นแฟนกันครับ แจ้งให้ทราบ เผื่อใครยังไม่ทราบ ถ้าทราบแล้วก็อยากให้ทราบอีก“พี่วิน พี่ส่งข้อความอะไรไปในไลน์กลุ่มพนักงานเนี่ย”ผมเอ่ยถามหลังจากที่เห็นข้อความแจ้งเตือนในกลุ่มไลน์พนักงาน และตอนนี้เราสองคนกำลังทานมื้อเที่ยง ก่อนจะกลับไปบริษัท“เปิดตัวไงครับ พี่อยากทำอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”“แบบนี้?”“อื้ม ใช่ พี่อยากประกาศให้โลกรู้ อยากบอกทุกคนว่าภัทเป็นแฟนพี่ ในที่สุดก็ได้ทำตามใจสักที”“ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ กรุปไลน์บริษัทมีพนักงานตั้งเยอะแยะนะพี่ อีกอย่าง วันก่อนพี่ก็บอกพนักงานทุกคนไปแล้วรอบนึงนี่นา”“แล้ว?”คนตรงหน้ามองผมด้วยสีหน้ายียวนกวนบาทาเป็นอย่างมาก หากไม่ติดว่าผมรักเขามากผมอยากจะเอื้อมมือไปเขกกบาลเขาสักทีเดี๋ยวนี้เลย“ก็ไม่แล้วยังไงหรอก ผมแค่ไม่ชิน แต่ถ้าพี่สบายใจที่จะประกาศเรื่องของเรากับใคร ๆ ก็แล้วแต่พี่ครับ”พูดจบผมก็ก้มหน้ากินข้าวต่อ ส่วนอีกฝ่ายก็นั่งหัวเราะชอบใจ ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้พี่วินจะมีท่าทีหรือการกระทำอะไรแปลก ๆ ตามมาอีกรึเปล่า เพราะเขาดูมีความสุขซะเหลือเกินที่เราสองคนไม่ต้องปิดบังสถานะอีกต่อไปแล้วและหลังจากที่ผมกับพี่วินกลับมาบริษัท ทุกอย่างก็เป็นไ
พ่อของพี่วินสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องประชุม แม้แต่พี่วินเองก็ตาม แม้ว่าเขาจะพยายามขออยู่ข้าง ๆ ผม แต่พ่อเขาก็ไม่ยอม ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาอยากคุยกับผมจะเป็นเรื่องซีเรียสขนาดหนัก ถึงขั้นไม่ยอมให้ใครอยู่ในห้องเลย สุดท้ายพี่วินเลยต้องจำยอมออกจากห้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ตอนนี้เลยมีแค่ผมและผู้ก่อตั้งองค์กรอยู่ในห้องประชุมกว้างขวาง ทั้งห้องเงียบสนิท แม้แต่เสียงของเครื่องปรับอากาศยังไม่มีให้ได้ยิน หัวใจของผมเต้นเร็วและแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เดาไม่ออกเลยว่าเขามีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับผมผมที่เป็นแค่พนักงานธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น“ฉันติดตามการทำงานของเธออยู่ตลอดนะ เป็นพนักงานที่อายุงานน้อยที่สุดในบริษัท แต่กลับทำผลงานได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับคำชมจากลูกค้าหลายคนเรื่องของการบริการ ที่ฉันรู้เพราะคำชมพวกนั้นส่งตรงมายังเว็บเพจของบริษัทที่ฉันคอยดูอยู่ตลอด”ผมได้แต่ก้มหน้านิ่ง สมองกำลังประมวลว่าเขากำลังเอ่ยชมผมอยู่รึเปล่า ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนสมองเบลอและอ๊องมาก อาจเพราะตื่นเต้นที่เขาเรียกคุยส่วนตัว และผมก็ฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่องเลย“ขอบใจเธอมากที่มาช่วยงานวิน แต่มีเรื่องนึงที่ฉันอยากรู้”“ครับท
เวลาผ่านมาจนถึงวันรายงานผลประกอบการ ซึ่งทุก ๆ สามเดือนพี่วินจะต้องไปประชุมที่บริษัทใหญ่กับน้องชายอีกสองคนเพื่อบอกกล่าวผลงานของสาขาแก่ประธานบริษัทแน่นอนว่าสองเดือนที่ผ่านมาผลงานของบริษัทเราไม่ดีเท่าไหร่นัก มาทำผลงานได้ดีในช่วงเดือนที่สาม และเป็นผลงานที่ดีที่สุดหากเทียบกับผลงานทั้งปีผมไม่รู้ว่าผลงานเดือนสุดท้ายของสาขาจะช่วยให้พี่วินไม่โดนดุได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้พนักงานทุกคนต่างพร้อมใจกันส่งกำลังใจให้พี่วินอย่างล้นหลาม ส่วนผมเองก็ติดตามพี่วินมายังบริษัทใหญ่ เพื่อคอยเป็นกำลังใจให้เขาอยู่ข้าง ๆ“ภัทไปนั่งเล่นที่ห้องเครื่องดื่มก่อนนะครับ พี่คงใช้เวลาไม่นาน”พี่วินหันมาบอกผมขณะที่เราสองคนมาหยุดอยู่หน้าห้องประชุมขนาดใหญ่“ภัทอยากเข้าไปด้วย ภัทไม่อยากให้พี่ไปเจอสถานการณ์แย่ ๆ คนเดียว อย่างน้อยก็ในฐานะเลขานะครับ”“เอางั้นเหรอ”พี่วินมองผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความแปลกใจ จริงๆ เรื่องนี้เราคุยกันมาก่อนแล้ว และพี่วินก็ไม่อยากให้ผมไปเผชิญหน้ากับพ่อของเขาเท่าไหร่ และทุกครั้งพี่วินก็จะเข้าไปรายงานผลงานทุกสามเดือนเพียงคนเดียว แต่ครั้งนี้ผมอยากไปกับเขาด้วย ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นผมก็อยากไปอยู่
“ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้านวันนี้ ผมขอเวลาทุกคนสักสิบนาทีนะครับ มีเรื่องอยากจะแจ้ง”หลังจากกลับเข้ามาในบริษัทผมก็เห็นว่าพี่ ๆ พนักงานหลายคนเคลียร์งานกันเรียบร้อยแล้ว หลังจากพี่ดารายงานเรื่องยอดสินเชื่อที่ทะลุเป้าไปแล้วทุกตัวพี่วินก็ยิ้มหน้าบานในทันทีตอนแรกผมคิดว่าทุกอย่างจบแค่นั้น แต่หลังจากที่ทุกคนยินดีกับเรื่องยอดต่าง ๆ กันจนพอใจ พี่วินก็เอ่ยบางอย่างขึ้นจนทำให้ห้องประชุมทั้งห้องเงียบสนิทลงอีกครั้งแน่นอนว่าผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไร เรื่องนี้เราไม่ได้คุยกันมาก่อน“ก่อนอื่น ผมขอบคุณทุกคนมากที่ร่วมแรงร่วมใจกันทำยอดให้สาขาจนทะลุเป้า ผมรู้ว่าอาทิตย์ที่ผ่านมาทุกคนทำงานกันหนักมาก ทั้งออกไปทำตลาด หาลูกค้า ทำสื่อโซเชียล ผมอาจจะไม่ได้มาคุยกับพวกคุณบ่อย ๆ แต่ผมก็ตามดูอยู่ตลอด ขอบคุณสำหรับการร่วมมือกันครั้งนี้ครับ แล้วก็ตามสัญญา เรื่องงานมีตติ้ง หลายคนอาจจะทราบแล้วว่าเราจะเปลี่ยนแพลนจากหัวหินเป็นภาคเหนือ ผมอยากให้ทุกคนได้ไปพักผ่อนกันอย่างเต็มที่โดยครั้งนี้ค่าที่พักและค่าเดินทางผมจะจัดการให้เอง”“หู้ยยยย”เสียงฮือฮาดังตามมาทันทีหลังจากพี่ ๆ พนักงานหลายคนได้ยินแบบนั้น ทุกคนต่างพร้อมใจกันปรบมือเกร
“แต่งตัวเหมือนกันไปแบบนี้ มีหวังพนักงานในบริษัทรู้แน่ ๆ ว่าเราเป็นแฟนกัน”ผมมองตัวเองในกระจกโดยที่มีพี่วินยืนอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้เราสองคนลองชุดในห้องลองเสื้อผ้าด้วยกัน และชุดที่พี่วินเลือกก็เป็นเสื้อคู่ลายเดียวกันและกางเกงยีนแบบเดียวกัน ไหนจะหมวก แว่นตา และอะไรอีกหลายอย่างที่ตั้งใจซื้อเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขานึกยังไง ถึงอยากจะแต่งตัวเหมือนกันไปมีตติ้ง“รู้ก็ดีสิครับ พี่เองก็ขี้เกียจปิดแล้วเหมือนกัน”พี่วินสวมกอดผมจากด้านหลัง ขโมยหอมแก้มผมไปอีกหนึ่งที“พี่ก็รู้ดีเรื่องกฎบริษัท นี่กะจะทิ้งทวนแล้วทำอะไรแบบสุดโต่งไปเลยงั้นเหรอ”“อื้ม ใช่ เพราะพี่ไม่อยากปิดบังใครอีกแล้ว”“พี่ไม่คิดจะอยู่ต่อที่นี่จริง ๆ เหรอครับ ภัทอยากให้พี่อยู่นะ พนักงานทุกคนก็รักพี่ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพี่เหมาะจะเป็นบอสที่นี่มากที่สุดแล้ว”“พูดแบบนี้มีแผนเหรอ นี่กำลังโน้มน้าวพี่ให้เปลี่ยนใจใช่ไหม”“ว๊า รู้ทันซะและ นี่ผมกำลังคิดว่าจะให้พวกพี่ ๆ เขาไปประท้วงบริษัทพ่อพี่อยู่นะเนี่ย”“หึ”“ทำไมครับ หัวเราะหึในลำคอนี่มันหมายความว่ายังไง”ผมเอียงหน้าถามคนด้านหลังที่สองมือยังคงโอบเอวผมไว้ไม่ยอมปล่อย“จะงัดกับพ่อพี่รึไง ต