ผมไม่ชอบสายตาดุดันนั่นเลยให้ตายเถอะ ก็คนมันสงสัยก็เลยถามออกไป และสิ่งที่ตอบกลับมาก็ไม่ได้ช่วยไขข้อข้องใจให้ผมเลย หน้าที่เลขามันเกี่ยวอะไรกับการที่โต๊ะทำงานของผมต้องมาตั้งใกล้เขาขนาดนี้ แต่ก็ช่างเถอะ ผมว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขาอีก
บอสกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานและเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก วันนี้เขาดูเครียดกว่าทุกวัน เอกสารบนโต๊ะยังกองพะเนิน เคยได้ยินมาว่าแม้แต่แม่บ้านเขายังไม่อนุญาตให้เข้ามาห้องนี้จนกว่าจะได้รับคำสั่ง ไม่รู้ผู้ชายคนนี้ต้องแบกรับอะไรบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ควรเอาความเครียดและภาระหนักอึ้งทั้งหลายมาลงกับลูกน้อง โดยเฉพาะคนใกล้ตัวอย่างผม
ระหว่างที่ห้องทั้งห้องยังตกอยู่ในความเงียบ ผมใช้เวลานี้จัดวางข้าวของบนโต๊ะทำงานให้เป็นระเบียบ เพิ่งเห็นว่าคอมพิวเตอร์ที่เขาให้ผมใช้เป็นรุ่นเดียวกับของบอส นี่น่าจะเป็นเรื่องดี ๆ เรื่องหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดี เพราะคอมเครื่องเก่าที่ผมใช้ทำงานมันแทบจะตกรุ่นไปแล้ว เปิดเครื่องแต่ละครั้งก็ใช้เวลารอนานมาก ได้เจอเครื่องมือทันสมัยบ้างก็ดีไม่น้อย
หลังจากจัดของบนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มงานที่เขามอบหมายให้ผมเมื่อครู่ แน่นอนว่าทุกคำสั่งของบอสผมไม่คิดจะมองข้ามหรอก
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็พร้อมทำงาน ผมลงมือหาข้อมูลในสิ่งที่เขาอยากให้ผมรู้ แล้วก็ได้คำตอบ
ใช้เวลาทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่อยู่ตรงหน้าไม่นานผมก็ชำเลืองไปมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เล็กน้อย เห็นบอสนั่งเซ็นเอกสารยุกยิกแต่ใบหน้าไม่ได้เคร่งเครียดเท่าก่อนหน้านี้แล้ว ผมจึงกระแอมสองครั้งเพื่อเตรียมพร้อมที่จะคุยกับเขา
“หน้าที่เลขาที่ดีคือช่วยแบ่งเบาภาระของเจ้านาย ไม่ทำตัวเป็นภาระมากกว่าเดิม หากจะเป็นสุดยอดเลขานุการมืออาชีพ ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมต้องเรียนรู้ครับ เพราะหน้าที่เลขาไม่ใช่แค่ชงกาแฟ ถ่ายเอกสาร หรือพิมพ์งาน”
“รู้แล้วก็ดี จะได้ไม่ต้องถามเรื่องโต๊ะทำงานอีก ฉันพอใจให้นายนั่งตรงไหนก็แค่นั่งตรงนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก”
“ครับบอส”
ผมหันไปมองหน้าคนข้าง ๆ เขาเองก็หันมาสบตาผมเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตำแหน่งหน้าที่หรือเพราะอายุที่ห่างกันเจ็ดปี ทำให้ผมทั้งรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าเวลาอยู่ใกล้เขา ตอนนี้ผมรู้สึกราวกับว่าหัวใจมันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว
“หน้าฉันมีอะไรติดรึเปล่า มองขนาดนั้น”
“อะ เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไรติด”
ผมหลบสายตาหันมาโฟกัสหน้าจอคอมพิวเตอร์ตามเดิม แค่วันแรกที่เจอกันผมก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว ไม่รู้ว่าการมาควบตำแหน่งครั้งนี้จะไปรอดรึเปล่า ไม่สามารถกะเกณฑ์อะไรได้ทั้งนั้น
การทำงานวันแรกเราไม่ได้คุยอะไรกันมาก หลัก ๆ บอสจะอธิบายขอบเขตของการทำงานในตำแหน่งเลขาว่าผมต้องทำอะไรบ้าง และยื่นแฟ้มประวัติส่วนตัวของบอสมาให้ผมอ่านและศึกษาทำความเข้าใจ ผมเลยได้รู้ว่า นอกจากงานในบริษัทแล้ว ยังมีงานนอกที่บอสต้องไปประชุมหรือเข้าร่วมอีกไม่น้อย
นึกย้อนไปตอนที่ดูคลิปสัมภาษณ์รายการเซย์ไฮ บอสบอกว่ามีพี่น้องสามคนนี่นา แต่ทำไมถึงดูเหมือนว่าภาระทุกอย่างมาตกที่เขาคนเดียว ความสงสัยนั้นถูกเก็บไว้ในใจเมื่อผมเปิดอ่านประวัติส่วนตัวของเขามาถึงหน้างานอดิเรกและสิ่งที่ชอบ
ผมกวาดสายตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างตั้งใจ และเกิดไอเดียบางอย่างที่จะละลายพฤติกรรมของเขา จริงอยู่ว่าเขาเป็นบอสผม แต่เพราะการทำงานของเราสองคนมันค่อนข้างเครียด โดยเฉพาะเขาที่เครียดกว่าผมหลายเท่า การหากิจกรรมทำร่วมกันจึงน่าจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย
“บอสชอบว่ายน้ำเหรอครับ”
คนถูกถามหันมามองหน้าผม เลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งเชิงสงสัย
“อืม ก็ชอบ ได้ออกกำลังกายไปในตัว นายออกกำลังกายบ้างรึเปล่า ตัวเล็กเท่าลูกหมา ทำงานกับฉันจะไหวไหม”
ผมหันกลับไปมองหน้าเจ้าของคำถาม ไม่แน่ใจนักว่าการที่ผมตัวเล็กหรือไม่ออกกำลังกายมันจะส่งผลอะไรกับการทำงานร่วมกันของเรา
“ผมไม่ชอบออกกำลังกายครับ มันเหนื่อย”
“เหนื่อย?”
บอสหันมามองหน้าผม แล้วผมก็เห็นว่าเขาหลุดขำ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็รีบปรับสีหน้ากลับเป็นราบเรียบดังเดิม ไม่รู้เหมือนกันว่าบอสขำอะไร ไม่เห็นจะมีอะไรน่าขำเลยสักนิด
“ใช่ครับ มันเหนื่อย สู้เอาเวลาหลังเลิกงานตอนเย็นไปเดินเล่นตลาดนัด หาของกินอร่อย ๆ แล้วกลับไปอาบน้ำนอนดูซีรีส์คงจะดีกว่า”
“ถึงว่าละ ตัวแค่นี้ งั้นหลังจากนี้ฉันจะพานายไปออกกำลังกาย”
“ห้ะ !!”
ผมหันขวับไปมองเจ้าของประโยคเมื่อครู่อีกครั้ง ถ้าเขาคิดจะทำอย่างที่พูดจริง ๆ ก็อยากให้รู้ว่านั่นคือสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย
“ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น ฉันไม่ได้จะพาไปเข้าโรงเชือดสักหน่อย”
“โหย ไม่เอาอะ ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ผมไม่ไปออกกำลังกายกับบอสหรอก แต่ถ้าไปหาร้านอร่อย ๆ กินข้าวกัน ผมไม่ปฏิเสธ”
ในที่สุดผมก็วนมาเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะคุยได้สำเร็จ อันที่จริงเรื่องออกกำลังกายผมก็ถามไปงั้น ๆ แต่สิ่งที่ผมสนใจคืออาหารที่บอสชอบทานมากกว่า เพราะในหน้าประวัติเขียนไว้ว่าอาหารประเภทเส้นแทบทุกชนิด ซึ่งมันเป็นความชอบที่ค่อนข้างตรงกับผม เพราะผมชอบกินก๋วยเตี๋ยวและอะไรที่เป็นเส้น ๆ เหมือนกัน เราน่าจะคุยกันง่ายในเรื่องนี้
“งั้นเที่ยงนี้ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวจะพาไปทานอาหารร้านประจำ แล้วก็ช่วยจำไว้ด้วยว่าฉันชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร”
“โหย นี่เลี้ยงต้อนรับปะเนี่ย มาวันแรกก็พาผมไปเลี้ยงข้าวเลยเหรอ ใจดีจังเลยแฮะ”
ผมส่งรอยยิ้มกลับไป แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองผมด้วยแววตาเรียบเฉยก็ตาม แต่อย่างน้อยบรรยากาศตึงเครียดในห้องทำงานก่อนหน้านี้ก็หายไปมากแล้ว เอาจริงผมชอบบอสในลุคแบบนี้มากกว่า ผมอยากให้เขาคุยกับผมเยอะ ๆ จะเรื่องมีสาระหรือไม่มีก็ได้ ผมยินดีที่จะฟัง มันดีกว่าการที่เขาต้องมานั่งปั้นหน้าบึ้งตึงอย่างแต่ก่อน เห็นแล้วเหนื่อยแทน
“อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ดีของเลขา ช่วยจำให้ขึ้นใจด้วยว่าเจ้านายตัวเองชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร เวลาเจอคำสั่งง่าย ๆ เช่น สั่งอาหารให้ด้วย หรือชงกาแฟให้ด้วย จะได้ไม่ต้องถามซ้ำว่าจะเอาแบบไหน”
ไม่ทันไรน้ำเสียงราบเรียบและแววตาดุดันก็กลับมาอีกครั้ง สายตาของเขาที่มองผมแต่ละครั้งแทบไม่เหมือนกันเลย บางครั้งก็ดูจริงจัง แต่บางครั้งก็ดูผ่อนคลายจนยากจะเดาออกว่าสุดท้ายแล้ว ผู้ชายที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ ๆ ผมตอนนี้เป็นคนยังไงกันแน่
“อ้อ แปลว่ามื้อเที่ยงวันนี้เป็นการพาไปศึกษาดูงานสินะครับ”
ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงทะเล้น ไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลเท่าไหร่นักกับการไปทานมื้อเที่ยงด้วยกันวันนี้ ดีซะอีกที่รอดไปอีกหนึ่งมื้อ การได้มาทำงานใกล้เขาคงทำให้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายหลายอย่างไปได้มาก
“จะคิดงั้นก็ตามใจ แต่หวังว่าหลังจากนี้นายจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองเกี่ยวกับทุกเรื่องของฉัน”
“ใครบอกว่าผมไม่เรียนรู้เรื่องของบอสครับ ตั้งแต่รู้ว่าต้องมาทำหน้าที่เลขาผมก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี อย่างน้อยผมก็รู้ว่าบอสชอบเลี้ยงแมว ชอบอ่านหนังสือ และจริง ๆ แล้ว บอสไม่ใช่คนเข้มขรึมแบบนี้หรอกครับ บอสออกจะใจดี”
ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น บอสวินหันมามองหน้าผมด้วยแววตาเชิงสงสัย แน่นอนว่าสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่นี้ไม่มีอยู่ในแฟ้มข้อมูลส่วนตัวของเขา
“เดี๋ยวก็รู้ว่าสิ่งที่นายรู้มาน่ะ มันจริงรึเปล่า”
ร่างกายของผมถูกถอดเสื้อผ้าออกไปอย่างรวดเร็วสกิลด้านนี้ของพี่วินช่ำชองมากขึ้นทุกวัน ใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีผมก็เหลือเพียงร่างเปลือยเปล่า เสียงลมหายใจหอบกระเส่าดังกว่าทุกครั้ง เวลาพี่วินเมาเขาดูเหมือนคนหื่นกระหายที่ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลย ทั้งที่ความจริงแล้วเขาช่ำชองเป็นที่สุดและครั้งนี้เขาก็เริ่มต้นด้วยการ หยิบเจลหล่อลื่นออกมาจากลิ้นชักใต้โต๊ะเครื่องแป้งแล้วเดินมุ่งมาหาผมที่นอนหงายอยู่บนเตียงท่าทีคลานเข่าเข้ามาหาก่อนจะคร่อมร่างผมไว้ไม่ต่างจากเสือร้ายที่กำลังจะล่าเหยื่อ สายตาของเขามองผมราวกับว่าสามารถกลืนผมลงไปได้ทั้งร่าง และไม่บ่อยนักที่ผมจะได้เห็นเขาในมุมนี้“คืนนี้ภัทน่าเอากว่าทุกคืนเลย รู้ตัวไหมครับ”เขาก้มลงมากระซิบข้างหูผมเบา ๆ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นลากไล้ตั้งแต่ซอกคอของผมลงมาตามลำคอ แล้วกลับไปส่งมอบรสจูบแสนหวานอย่างช้า ๆเราจูบกันเนิ่นนานและค่อย ๆ เพิ่มระดับความเร่าร้อนมากขึ้น สอดลิ้นแลกเปลี่ยนความหวานในโพรงปากของกันและกันอย่างโหยหา ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จาง ๆ ที่ยังอยู่ในตัวทำให้ความต้องการของผมถูกปลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนตอนนี้ผมรู้สึกปวดหน่วงกลางกายขึ้นมาในทันที“พะ พี่วิน”ผมเอื้อมม
ความสัมพันธ์ของผมกับพี่วินยังคงเป็นไปด้วยดีถึงแม้เราจะมีงอนกันบ้างโกรธกันบ้าง แต่ผมคิดว่ามันคือความธรรมดาของชีวิตคู่แหละครับ และสุดท้ายเราสองคนก็รู้ดีว่า ต่อให้จะทะเลาะกันขนาดไหนเราไม่มีวันปล่อยมือกันไปแน่นอน และเราก็จะกลับมาคุยดีกันเหมือนเดิมภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะถึงยังไงก็ต้องทำงานด้วยกันอยู่แล้วอย่างเช่นวันนี้ที่กำลังมีคนหน้าบึ้งอีกแล้ว เหตุเพราะเห็นผมไปสอนงานให้น้องใหม่ที่เพิ่งมาทำงานวันนี้วันแรก“ปั้นหน้ายักษ์นาน ๆ ระวังหน้าเหี่ยว เดี๋ยวแก่เร็วนะครับ”ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซวแล้วเดินไปโอบล้อมรอบคอพี่วินเอาไว้จากด้านหลัง“พี่ไม่กลัวแก่ครับ แต่พี่ไม่ชอบให้ภัทไปใกล้ใคร ไปดีกับคนโน้นคนนี้เดี๋ยวก็มีคนมาชอบภัทอีก”“โห คิดไปโน่น ที่ผ่านมามีใครได้เข้าใกล้ภัทบ้างล่ะ แค่มาเฉียดพี่ก็ขู่ฟ่อ ๆ แล้ว”“ภัท พี่ไม่ใช่หมา !”ใบหน้าเง้างอนชัดเจนยิ่งกว่าเดิม พี่วินกอดอกแน่น หายใจฟึดฟัดเหมือนเด็กเอาแต่ใจที่โดนแย่งของเล่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนนิสัยของเขาก็ไม่เคยเปลี่ยน“โอ๋ ๆ ภัทไม่ได้ว่าพี่เป็นหมาสักหน่อย แค่จะบอกว่าพี่หวงภัทขนาดนี้ ใครจะกล้ามายุ่งกับภัทครับ และภัทก็ไม่มีทางไปยุ่งกับใครแน่น
“เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม”พี่วินหันมาถามขณะที่ผมกำลังจะเคลื่อนรถออกจากบริษัท วันนี้เราสองคนต้องไปต่างจังหวัดเนื่องจากมีสาขาเปิดใหม่พี่วินเลยรับหน้าที่ไปดูแลการเปิดสาขาใหม่วันแรก โดยวันนี้เราจะลงใต้ไปจังหวัดชุมพรด้วยกัน“ทุกอย่างพร้อมแล้วครับ ทั้งเอกสารแล้วก็กระเป๋าเสื้อผ้า”“เยี่ยมมาก เป็นทั้งเลขาเป็นทั้งแฟน ทำทุกอย่างโดยไม่บกพร่อง ไตรมาสหน้าพี่จะปรับเงินเดือนเป็นห้าแสนดีไหม”“หึ เว่อร์มาก”ผมหลุดขำออกมา แต่เมื่อหันไปมองหน้าพี่วิน ผมรู้ว่าเขาคิดจริงและคงทำจริงได้ไม่ยาก เห็นแบบนั้นเลยต้องเอ่ยห้ามไว้ก่อน“แค่เดือนละแสนห้าผมก็เกรงใจคนอื่นจะแย่ ถ้าปรับเป็นเดือนละห้าแสนพ่อพี่คงเรียกผมไปคุยแน่”“เขาไม่เรียกหรอก เขาโอนกรรมสิทธิ์สาขาสามให้พี่เต็มตัวแล้ว”“ถามจริง”ผมแทบไม่เชื่อหูที่ได้ยินข่าวดีสุด ๆ ในวันนี้ แต่จะว่าไปก็คงไม่แปลกหรอก เพราะที่ผ่านมาพี่วินก็ตั้งใจและทุ่มเทกับสาขาสามเป็นอย่างมาก นับตั้งแต่พี่วินเข้าไปดูแล ผลประกอบการก็ดีขึ้นและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งลูกค้ายังบอกต่อและเอ่ยคำชมไม่หยุดหย่อนถึงการบริการและความเอาใจใส่ของพนักงาน ส่วนเรื่องมีตติ้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในทุกเดือนพ
“พี่วินจะเอาชุดพวกนี้ไปทั้งหมดจริง ๆ เหรอครับ”ผมหันไปถามคนที่นอนสบายใจเฉิบอยู่บนเตียง ตอนนี้เราสองคนกำลังจัดกระเป๋าเตรียมไปมีตติ้งภาคเหนือ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่าเป็นผมคนเดียวมากกว่าที่กำลังจัดกระเป๋าทั้งของผมและของพี่วิน ส่วนอีกฝ่ายน่ะ เอาแต่นอนมองผมทำโน่นทำนี่ เอามือเท้าคาง กลิ้งตัวไปมาบนเตียงอย่างอารมณ์ดี“ใช่แล้ว เอาไปหมดนั่นเลย รวมสกินแคร์ในขวดเล็ก ๆ ที่พี่เตรียมไว้บนโต๊ะหน้ากระจกด้วยครับ”ผมหันไปมองสกินแคร์ที่พี่วินบอกก็ได้แต่ส่ายหน้า นี่เขาลืมไปรึเปล่าว่าเราไปแค่ไม่กี่วัน เขาเอาทุกอย่างไปหมดราวกับจะย้ายบ้านยังไงอย่างนั้น“แล้วเสื้อคู่ กางเกงคู่ พี่จะเอาไปทุกชุดเลยเหรอ”“ครับ ทุกชุดเลย ของภัทก็ด้วย เราจะได้ใส่เหมือนกันไง”“เอาจริงดิ?”“อื้ม ตามนั้น”พี่วินยักคิ้วยียวน เขายังคงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง มองหน้าผมเป็นครั้งคราว รอยยิ้มบนใบหน้าเกิดขึ้นแทบตลอดเวลาที่ได้ดูผมจัดกระเป๋าให้เขาและเตรียมข้าวของทุกอย่างที่จำเป็นให้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่านอกจากหน้าที่เลขาและคนรักแล้ว ตอนนี้ผมพ่วงหน้าที่แม่บ้านไปอีกตำแหน่งด้วยรึเปล่า แต่ไม่ว่าจะหน้าที่ไหนผมก็เต็มใจครับ เพราะผมรักเขา รักมากที
ผมกับภัทเป็นแฟนกันครับ แจ้งให้ทราบ เผื่อใครยังไม่ทราบ ถ้าทราบแล้วก็อยากให้ทราบอีก“พี่วิน พี่ส่งข้อความอะไรไปในไลน์กลุ่มพนักงานเนี่ย”ผมเอ่ยถามหลังจากที่เห็นข้อความแจ้งเตือนในกลุ่มไลน์พนักงาน และตอนนี้เราสองคนกำลังทานมื้อเที่ยง ก่อนจะกลับไปบริษัท“เปิดตัวไงครับ พี่อยากทำอะไรแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”“แบบนี้?”“อื้ม ใช่ พี่อยากประกาศให้โลกรู้ อยากบอกทุกคนว่าภัทเป็นแฟนพี่ ในที่สุดก็ได้ทำตามใจสักที”“ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ กรุปไลน์บริษัทมีพนักงานตั้งเยอะแยะนะพี่ อีกอย่าง วันก่อนพี่ก็บอกพนักงานทุกคนไปแล้วรอบนึงนี่นา”“แล้ว?”คนตรงหน้ามองผมด้วยสีหน้ายียวนกวนบาทาเป็นอย่างมาก หากไม่ติดว่าผมรักเขามากผมอยากจะเอื้อมมือไปเขกกบาลเขาสักทีเดี๋ยวนี้เลย“ก็ไม่แล้วยังไงหรอก ผมแค่ไม่ชิน แต่ถ้าพี่สบายใจที่จะประกาศเรื่องของเรากับใคร ๆ ก็แล้วแต่พี่ครับ”พูดจบผมก็ก้มหน้ากินข้าวต่อ ส่วนอีกฝ่ายก็นั่งหัวเราะชอบใจ ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้พี่วินจะมีท่าทีหรือการกระทำอะไรแปลก ๆ ตามมาอีกรึเปล่า เพราะเขาดูมีความสุขซะเหลือเกินที่เราสองคนไม่ต้องปิดบังสถานะอีกต่อไปแล้วและหลังจากที่ผมกับพี่วินกลับมาบริษัท ทุกอย่างก็เป็นไ
พ่อของพี่วินสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้องประชุม แม้แต่พี่วินเองก็ตาม แม้ว่าเขาจะพยายามขออยู่ข้าง ๆ ผม แต่พ่อเขาก็ไม่ยอม ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาอยากคุยกับผมจะเป็นเรื่องซีเรียสขนาดหนัก ถึงขั้นไม่ยอมให้ใครอยู่ในห้องเลย สุดท้ายพี่วินเลยต้องจำยอมออกจากห้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ตอนนี้เลยมีแค่ผมและผู้ก่อตั้งองค์กรอยู่ในห้องประชุมกว้างขวาง ทั้งห้องเงียบสนิท แม้แต่เสียงของเครื่องปรับอากาศยังไม่มีให้ได้ยิน หัวใจของผมเต้นเร็วและแรงจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว เดาไม่ออกเลยว่าเขามีเรื่องสำคัญอะไรจะคุยกับผมผมที่เป็นแค่พนักงานธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น“ฉันติดตามการทำงานของเธออยู่ตลอดนะ เป็นพนักงานที่อายุงานน้อยที่สุดในบริษัท แต่กลับทำผลงานได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังได้รับคำชมจากลูกค้าหลายคนเรื่องของการบริการ ที่ฉันรู้เพราะคำชมพวกนั้นส่งตรงมายังเว็บเพจของบริษัทที่ฉันคอยดูอยู่ตลอด”ผมได้แต่ก้มหน้านิ่ง สมองกำลังประมวลว่าเขากำลังเอ่ยชมผมอยู่รึเปล่า ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนสมองเบลอและอ๊องมาก อาจเพราะตื่นเต้นที่เขาเรียกคุยส่วนตัว และผมก็ฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่องเลย“ขอบใจเธอมากที่มาช่วยงานวิน แต่มีเรื่องนึงที่ฉันอยากรู้”“ครับท