“แม่เลี้ยงเหรอ… พ่อพา ‘อีนั่น’ เข้ามาในบ้านของแม่!?” เสียงมะลิแหลมสูงขึ้น
“นี่มันบ้านของหนูกับแม่นะ!!” ปลายเสียงสั่นสะท้านด้วยทั้งความตกใจและโทสะ ดวงตาเรียวยาวเต็มไปด้วยน้ำใสวาววับ สะท้อนเงาของชายวัยกลางคนตรงหน้าอย่างไม่ยอมแพ้
“ใจเย็นก่อนลูก—”
“ไม่! หนูไม่ใจเย็น! แล้วนั่นใครอีกคน!? จันทร์เจ้าใช่ไหม!? จันทร์เจ้า! เพื่อนที่เคยหักหลังหนูตอนมัธยมไงพ่อจำไม่ได้เหรอ!?” เขาหันขวับไปมองหญิงสาวหน้าหวานที่ยืนกอดอกอย่างไม่สะทกสะท้านตรงมุมบันได
“อ้าว…มะลิจำกันได้ด้วยเหรอคะ ดีใจจังเลย” จันทร์เจ้าเอ่ยยิ้มๆ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยแววเยาะหยันแสนเยือกเย็น
“อย่ามาเรียกกูแบบนั้น! พ่อ! พ่อไล่พวกนี้ออกไปเลยนะ! บ้านนี้ของแม่! ของหนู! ไม่ใช่ของผู้หญิงที่พ่อไปรับมาจากไหนก็ไม่รู้!”
“พอแล้วมะลิ!” เสียงเจ้าสัววิรัตน์ตวาดลั่น ทำให้ทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทลงในชั่วพริบตา
มะลิชะงัก น้ำตาหยดหนึ่งกลิ้งผ่านแก้ม
เจ้าสัวหายใจแรง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “ลูกกลับมาเมืองไทยทั้งที พ่อก็ดีใจนะ แต่ลูกกลับอคติแบบนี้ พ่อผิดหวังมาก จันทราเขากลับตัวได้แล้ว ลูกควรปล่อยวางและมองปัจจุบัน”
“ควรปล่อยวางงั้นหรอ” มะลิหัวเราะในลำคอ “พ่อไม่เคยฟังหนูเลย หนูแค่ไม่อยากเห็นคนที่เคยทำร้ายหนูและแม่เข้ามาอยู่ในบ้าน ไม่อยากให้แม่ของหนูต้องเสียใจหากเธอมองลงมาจากข้างบน!”
“ถ้าแม่เขาอยู่ เขาคงเสียใจที่ลูกเป็นแบบนี้มากกว่า!”
มะลิสะอึก เหมือนถูกตบหน้าแรงๆ
“ถ้าลูกอยู่แล้วทำให้บ้านไม่สงบ…งั้นไปอยู่ที่อื่น ”
“พ่อ!” เสียงของมะลิแทบหลุดเป็นเสียงสะอื้น
“พ่อมีที่อยู่ให้แล้ว ภพ…จำได้ไหม คู่หมั้นของลูกตั้งแต่เด็ก เขายังรออยู่ที่ไร่ ไปอยู่ที่นั่นซะ ไปใช้ชีวิตให้รู้จักโตให้มากกว่านี้ พ่อจะโทรไปบอกเขาให้เอง…ไปเก็บของซะมะลิ”
ทุกคำที่พ่อพูดเหมือนตะปูตอกลงกลางหัวใจ เด็กชายที่เคยตามติดพ่อ ไม่เคยเชื่อว่าตัวเองจะถูกขับไล่ได้ง่ายดายขนาดนี้
แต่วันนี้…พ่อก็ทำให้รู้ว่า ที่นี่ไม่ใช่บ้านของ “หนู” อีกต่อไปแล้ว
มะลิวิ่งพรวดขึ้นบันไดราวกับหนีไฟจากใจตัวเอง ตรงไปยังห้องนอนชั้นสองที่เขาเคยคิดว่าเป็นที่ปลอดภัยที่สุดในโลก แต่วันนี้…มันกลับกลายเป็นแค่กล่องไม้ไร้ความอบอุ่น
เสียงประตูถูกผลักปิดอย่างแรง ก้องสะท้อนในความเงียบของห้อง
เด็กหนุ่มทรุดตัวลงหลังบานประตู หอบหายใจถี่จัดเหมือนอากาศในปอดไม่พอจะประคองหัวใจที่ปวดร้าว เขาทุบอกตัวเองแรงๆ ราวกับจะเค้นเสียงสะอื้นออกไปจากอก
เสียงร้องไห้ดังสั่น แต่มะลิกัดฟันแน่น กลั้นเสียงเอาไว้ด้วยความดื้อรั้น ไม่ต้องการให้ใครได้ยิน ไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพที่อ่อนแอ…น่าสมเพช และแตกสลายเช่นนี้
น้ำตาไหลไม่หยุดเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง ทว่าไม่มีมือไหนยื่นมาเช็ด ไม่มีอกไหนให้ซุกซบ ไม่มีคำปลอบโยนใดหลุดออกจากปากใคร…นอกจากความเงียบที่ยิ่งตอกย้ำว่าเขาเหลือตัวคนเดียว
เสียงหัวเราะของพ่อเมื่อสิบปีก่อน ดังก้องในห้องนั่งเล่น
“หนูวาดรูปแม่เสร็จแล้วครับ!” เด็กชายมะลิยื่นกระดาษขาวที่มีรูปครอบครัวสามคน — พ่อ แม่ และตัวเอง — พร้อมรอยยิ้มเปื้อนหน้า เขาวิ่งแจ้นเข้าไปหาพ่อที่กำลังดูเอกสารกองโตบนโต๊ะทำงาน
“วาดสวยนี่ครับลูก” พ่อเอ่ยเบาๆ แต่สายตายังคงจับอยู่ที่จอคอมพิวเตอร์
แม่ยิ้มจางๆ ก่อนจะเดินเข้ามาลูบหัวลูกชาย “เก่งที่สุดเลยลูกแม่”
เวลานั้น…แม้พ่อจะยุ่ง แม่จะเหนื่อย แต่บ้านก็ยังอบอุ่น
จนกระทั่งมะลิขึ้น ม.ต้น — ทุกอย่างเปลี่ยนไป
“คุณจะกลับมากี่โมงเหรอคะวันนี้?” แม่ถามขณะเก็บจานอาหารเย็นที่ไม่มีใครแตะเลยสักคำ
“ไม่แน่ อาจจะมีงานต่อ…หรือไม่ก็ไปดื่มกับลูกค้า” พ่อตอบเสียงห้วนโดยไม่สบตา
วันนั้นเป็นเพียงจุดเริ่ม
หลายเดือนผ่านไป พ่อกลับบ้านไม่เป็นเวลา บางวันกลับเช้า บางวันกลิ่นน้ำหอมผู้หญิงติดเสื้อมา มะลิที่เคยนั่งรอพ่อกลับบ้าน กลับต้องนั่งมองแม่ร้องไห้อยู่คนเดียวที่โต๊ะอาหาร
จนวันหนึ่ง…แม่เริ่มสะกดรอยตามพ่อ
และก็พบความจริงที่เลวร้าย
แม่ไม่ร้องไห้ในวันนั้น แต่กลับมาเงียบผิดปกติ — เหมือนเก็บแรงทั้งหมดไว้เพื่อจบทุกอย่างให้เด็ดขาด
“จะทำอะไรเหรอคะ?” มะลิถามเมื่อเห็นแม่หยิบเอกสารกองหนึ่งกับแฟ้มรูปถ่าย เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
แม่ยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่ไร้แวว “แม่จะจัดการให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม…”
“ลูกแม่จะต้องได้ทุกอย่างยังไงล่ะคะ” แม่หันมาหอมหัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพร้อมยิ้มกับมะลิ
ทว่า…ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมถอย เธอใส่ร้ายแม่ พูดให้พ่อเข้าใจผิดว่าแม่เป็นคนไม่ไว้ใจ พูดใส่ไฟว่ามะลิกำลังเป็นเด็กมีปัญหาเพราะแม่คุมเข้มเกินไป อีกทั้งยังก่อเรื่องใส่ร้ายแม่ของมะลิว่าเธอเข้ามาทำร้ายร่างกายตน
คืนนั้น…เสียงตะโกนดังลั่นบ้าน
“คุณมันไม่เอาไหน! ถึงขนาดได้เอาเลขาหน้าห้องเข้ามานอนด้วยเลยหรอคะ!”
“คนมีตั้งเยอะตั้งแยะแต่คุณกลับตาต่ำลงไปมองมันเนี่ยนะ!!”
เสียงตวาดจากคุณนายของบ้านดังลั่นทั่วห้องนอนของทั้งคู่ มันดังเสียงจนเล็ดลอดออกไปข้างนอกห้อง ทำให้ใครอีกคนมาแอบดูพวกเขาคุยกันอยู่หลังประตูบานนั้น
“คุณพูดจาให้มันดีๆ หน่อยนะ!”
เพี๊ยะ!
เสียงตบดังสะท้าน
มะลิที่แอบอยู่หลังประตูตัวสั่น ยกมือขึ้นมาป้องปากกลั้นเสียงร้องไห้ น้ำตาร่วงเต็มสองแก้ม เด็กชายวัยสิบสี่มืออีกข้างกำแขนเสื้อแน่น ไม่กล้าแม้แต่จะขัดขวาง
“คุณมันน่าเบื่อ! น่ารำคาญ! ผมไม่อยากอยู่กับคนแบบนี้ ผมแต่งกับคุณก็เพราะสัญญาบ้าๆนั่นไง! ที่ผมทนอยู่ก็เพราะพ่อของคุณเขาขอไว้ ไม่อย่างนั้นผมคงหนีไปมีเมียแบบเปิดเผยตั้งแต่แรกที่แต่งกับคุณแล้ว!!!”
เสียงพ่อแทงลึกเข้าไปในหัวใจ
มะลิหันหลังกลับวิ่งเข้าห้อง เอาหมอนปิดหน้าร้องไห้ทั้งคืน
และแม่ก็เก็บตัวเงียบหลังจากวันนั้น
ไม่พูด ไม่ยิ้ม ไม่ทำอาหาร ไม่แม้แต่จะตอบคำถามของลูก
จนกระทั่งวันหนึ่ง…ทุกอย่างเงียบเกินไป
มะลิเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่เพราะกลิ่นบางอย่างแปลกไป
สิ่งที่เขาเห็นคือร่างของแม่บนเตียง — เย็นเยียบ ไร้ลมหายใจ และในมือของแม่…กำเอกสารใบเดียว
ใบหย่าที่ไม่เคยถูกเซ็น
ยังไม่พ้นงานศพคุณชายของบ้านก็เอ่ยปากขอส่งลูกของตนไปเรียนที่ต่างประเทศ
เขาเพียงพูดสั้นๆ ว่า “พ่อส่งตัวลูกไปเรียนที่สิงคโปร์…ไปพักใจของตัวเอง และหาความรู้ให้มากๆ ที่นี่คงไม่เหมาะกับลูกอีกแล้ว”
จากนั้นมะลิก็ถูกส่งต่อไปสหรัฐฯ เพราะว่าเด็กชายไปมีเรื่องกับเพื่อนร่วมชั้น เขาถูกส่งตัวไป….ราวกับเด็กไม่มีเจ้าของ
และเมื่อเขากลับมา…ทุกอย่างในบ้านก็ยังไม่เปลี่ยน
พ่อยังเป็นพ่อคนเดิม
ที่ครั้งหนึ่ง เคยตบหน้าแม่ของเขา แล้วหันหลังให้ครอบครัวของเราโดยไม่รู้สึกอะไรเลย
ตัดกลับมาปัจจุบัน
มะลิยืนมองบ้านหลังเดิมที่ตอนนี้กลายเป็นของคนอื่น — จันทรา และจันทร์เจ้า หล่อนทั้งคู่กอดอกมองมะลิที่ขึ้นรถตู้พร้อมกับข้าวของที่ถูกยัดใว่กระเป๋าแบบลวกๆ พวกเธอยิ้มสมเพช ก่อนที่พากันหันหลังและเดินเข้าไปในตัวบ้าน
ริมฝีปากของเขากระตุกยิ้มเย็นชา หารู้ไม่ในใจของมะลิแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ มะลิในวัยยี่สิบห้ากับมะลิในวัยสิบห้าต่างก็เป็นมะลิที่ถูกส่งตัวไปอีกครั้ง….ราวกับว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ
มะลิถูกพาตัวออกจากกรุงเทพมหานคร มุ่งหน้าไปยังภาคตะวันออก สองข้างทางที่เคยเต็มไปด้วยตึกสูงกลับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีและต้นไม้ที่ทอดยาวสุดสายตา เขานั่งเงียบอยู่เบาะหลัง น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมาอย่างเงียบงัน จนสุดท้ายก็เผลอหลับไปในความเศร้า
สารถีที่นั่งอยู่เบื้องหน้า แอบมองคุณหนูผู้แสนโดดเดี่ยวผ่านกระจกหลังด้วยสายตาเวทนา…ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย มีเพียงเสียงล้อรถที่หมุนไปบนทางยาวเท่านั้น
เมื่อรถเคลื่อนมาถึงหน้าสวนผลไม้ขนาดใหญ่ มะลิสะดุ้งตื่นขึ้น พลันสายตาก็ปะทะกับต้นทุเรียนที่ปลูกเรียงรายตลอดสองข้างทาง คนขับรถลดกระจกลงและสอบถามคนงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ว่าบ้านของคุณภพไปทางไหน
“ตรงไปอีกหน่อย แล้วเลี้ยวซ้ายค่ะ จะเจอรั้วบ้านสีส้มอิฐ” คนงานหญิงชี้ไม้ชี้มือบอกทาง
สารถีพยักหน้า ขอบคุณ และขับต่อไปตามที่เธอบอก
เมื่อถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งขนาดใหญ่ สไตล์เรียบหรู มะลิก็เปิดประตูรถออกมายืนข้างนอก มองซ้ายแลขวาด้วยท่าทีระแวดระวัง คนงานบางส่วนที่ยืนอยู่หน้าบ้านพากันก้มหัวทักทายเขาอย่างสุภาพ แต่มะลิเพียงเชิดหน้าหนี ไม่เอ่ยตอบ…ในใจคิดว่าพวกนี้ก็คงเหมือนคนใช้ที่เคยเจอในบ้านเก่า ทำดีกับเขาต่อหน้าแต่ลับหลังก็พร้อมจะซ้ำเติม
ระหว่างที่คนงานทยอยขนของขึ้นบ้าน มะลิก็ทอดสายตามองบ้านตรงหน้า—บ้านสองชั้นทาสีโทนอบอุ่น เสาหน้าบ้านถูกประดับด้วยหินธรรมชาติ ทางเข้าปูคอนกรีตเรียบเนียน ต้นไม้หลากสายพันธุ์เรียงรายตามขอบรั้ว ประตูไม้สักแกะสลักอย่างดีส่งกลิ่นไม้หอมอ่อนๆ เมื่อยืนใกล้
ของทุกอย่างถูกนำขึ้นไปยังชั้นสองตามคำสั่งของเจ้าของบ้าน มะลิจึงเดินตามขึ้นไป ไม่อยากยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางสายตาแปลกหน้า
เมื่อขนของเสร็จ สารถีก็รีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งมะลิไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง
บันไดไม้ลั่นเบาๆ ใต้ฝ่าเท้า มะลิขึ้นมาถึงชั้นสองซึ่งมีเพียงสองห้องนอน ข้าวของของเขาถูกวางกองไว้หน้าห้องหนึ่ง เขากอดอก มองกล่องสัมภาระทั้งหมดเงียบๆ ก่อนจะเปิดประตูและยกกระเป๋าเข้าไปทีละใบ
กลิ่นหอมของไม้และสมุนไพรบางอย่างลอยมาแตะจมูกทันทีที่ประตูเปิดออก อากาศร้อนระอุภายในห้องทำให้มะลิเริ่มหงุดหงิด เขารีบเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า แต่ต้องชะงัก—ข้างในมีเสื้อผ้าผู้ชายแขวนเรียงอย่างเป็นระเบียบ ทั้งเสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น ขายาว และเสื้อเชิ้ตลายตาราง
“นี่เสื้อผ้าใคร…” มะลิพึมพำ หงุดหงิดในใจ แต่ก็ไม่คิดสนใจนัก เขาเพียงแค่ดันเสื้อผ้าเหล่านั้นไปอีกด้าน ก่อนจะเริ่มแขวนเสื้อผ้าของตนเองอย่างตั้งใจ
โดยไม่รู้เลยว่าระหว่างที่เขากำลังง่วนอยู่กับการจัดของ—มีชายหนุ่มร่างสูงยืนพิงประตู กอดอกมองเขาอยู่เงียบๆ ด้วยแววตานิ่งสงบ
ทันทีที่มะลิปิดประตูตู้เสื้อผ้า เขาก็หันไปสบตากับเจ้าของบ้านอย่างจัง
ภพ…ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งถึง 187 เซนติเมตร ผิวขาวอมเหลือง ใบหน้าคมจัด ดวงตาสองชั้นเรียวคม จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากบางเฉียบส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
ต่างจากมะลิที่ผิวขาวอมชมพู ตากลมโต ริมฝีปากกระจับสวย ผมสีชมพูน่ารักทำให้ดูน่าเอ็นดูราวตุ๊กตา ความสูงเพียง 160 เซนติเมตรยิ่งขับให้ดูบอบบางในสายตาคนมอง
ภพเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม “ยินดีต้อนรับนะครับ”
มะลิเพียงพยักหน้ารับสั้นๆ เสียงแผ่วเบารอดลำคอเท่านั้น เขาไม่อยากพูดอะไรนัก…กระเป๋าเสื้อผ้าที่ยังวางกองอยู่เรียกความสนใจจากอีกฝ่าย
“ทั้งหมดนี่เสื้อผ้าเหรอ?” ภพเลิกคิ้ว
มะลิพยักหน้าอีกครั้ง
ภพหัวเราะเบาๆ “งั้นใส่ในตู้ไปสิ”
“ใส่ไม่ได้…มันเต็มแล้ว” มะลิตอบเรียบๆ
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ เปิดตู้เสื้อผ้าออกก็พบว่ามันแน่นขนัดราวกับปลากระป๋อง เสื้อผ้าของเขาถูกเบียดจนแทบหายใจไม่ออก
“ เดี๋ยวให้ช่างมาต่อเติมให้ก็แล้วกัน คงจะ2-3วันถึงเสร็จ” เขาพูดพลางชี้ไปยังหน้าต่าง “ตอนนี้วางไว้ตรงนั้นก่อนก็ได้”
มะลิทำตามคำแนะนำ วางกระเป๋าไว้ตรงมุมห้องข้างหน้าต่าง แล้วทอดตามองออกไปยังสวนเบื้องล่าง
เขาไม่ได้ต้องการบ้านหลังใหญ่ ไม่ได้ต้องการตู้เสื้อผ้าอีกสักใบ…
สิ่งที่มะลิต้องการ—คือสักคนหนึ่ง ที่จะรับเขาไว้ในบ้าน…ในหัวใจ และไม่ไล่เขาไปไหนอีก
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนแก้มใสขณะมองไปยังหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว มะลิรีบเช็ดมันออก กลัวว่าคนด้านหลังจะเห็น…..
เสียงฝีเท้าของภพที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ทำให้มะลิรีบเช็ดน้ำตาออกจากแก้มอย่างลวกๆ ก่อนจะหันหลังกลับไปมองเขา ดวงตากลมโตยังแดงน้อยๆ ภพที่สังเกตเห็นแต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงเปลี่ยนเรื่องคุย
“บ้านเราร้อนหน่อยนะ แต่ตอนกลางคืนจะค่อนข้างหนาวเลย” น้ำเสียงของภพนิ่งแต่จริงใจ
มะลิรับผ้าเช็ดหน้ามาช้าๆ ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร เธอไม่ชินกับการแสดงความรู้สึกออกมาให้ใครเห็นอีกแล้วโดยเฉพาะผู้ชายแปลกหน้าที่กลายมาเป็นเจ้าบ้านของเธอในตอนนี้
“เดี๋ยวพี่จะพาเดินดูรอบบ้าน เผื่อจะพอทำให้รู้สึกดีขึ้น” ภพพูดต่อ ก่อนจะเดินนำออกไปจากห้อง พาคนตัวเล็กไปดูพื้นที่ต่างๆ เพราะการมากระทันหันแบบนี้ภพคิดว่าอีกคนคงรู้สึกไม่สบายใจไม่น้อย
มะลิมองแผ่นหลังสูงใหญ่ที่ทอดยาวลงไปยังบันไดไม้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตามไปอย่างเงียบๆ
สวนผลไม้ที่ล้อมรอบตัวบ้านนั้นร่มรื่นผิดจากที่เธอคาดไว้ กลิ่นหอมของผลไม้ผสมกลิ่นดินหลังฝนตกทำให้รู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกเดิมที่วุ่นวายในกรุงเทพฯ ภพพาเธอเดินดูแปลงทุเรียน มังคุด เงาะ และลำไย พร้อมอธิบายแต่ละต้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่คาดคั้น ไม่เร่งรัด
“ต้นนี้พ่อปลูกเองตั้งแต่พี่เรียนมัธยม ส่วนต้นนั้นป้าทับใจปลูก…ตอนแรกคิดว่าจะตาย แต่ดันรอดซะงั้น” เขาหัวเราะเบาๆ
มะลิไม่พูดอะไร แต่กลับเงยหน้ามองแสงแดดลอดใบไม้ ดวงตาเธอเริ่มคลายความหม่นลงเล็กน้อย บางที…ที่นี่อาจไม่แย่เท่าที่คิด
หลังจากเดินชมสวนเสร็จ ภพพามะลิกลับเข้าบ้าน พอเธอเดินผ่านห้องครัว กลิ่นข้าวสวยร้อนๆ กับไข่เจียวหอมฉุยลอยมาเตะจมูก
“ป้าทับใจทำไว้ให้ มะลิทานก่อนนะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม?”
มะลินิ่ง เธอไม่ได้ตอบ แต่ท้องกลับพยักหน้าแทนคำพูด ภพหัวเราะเบาๆ
“งั้นมากินด้วยกัน พี่ก็หิวเหมือนกัน”
มื้ออาหารเงียบๆ เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศชนบทและความเงียบของคนสองคนที่กำลังทำความรู้จักกันโดยไม่รู้ตัว…
Comments