สปอร์ตคาร์คันหรูแล่นผ่านเส้นทางคดเคี้ยวที่ทอดตัวไปตามแนวภูเขาและต้นไม้เขียวขจี แต่ทว่าบรรยากาศภายในรถกลับเงียบสงัด จนได้ยินเพียงแค่เสียงของเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์ วายุเหลือบไปมองคนตัวเล็กที่นั่งหลับพิงกระจกอยู่เป็นระยะ ภาพสมัยที่เขาและเธอยังรักกันอยู่ก็ฉายกลับมาให้เห็นอีกครั้ง
เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่มีเสียงหวาน ๆ ของเธอที่เรียกเขาว่าเฮียเหนืออีกแล้ว รอยยิ้มที่แสนสดใสนั่นเขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นอีก
"เฮียคิดถึงสองนะ..คิดถึงมาโดยตลอด" เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับถนนข้างหน้า โดยที่ไม่รู้เลยว่า ผู้หญิงที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับจะยังมีสติอยู่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเธอก็ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมาทั้งหมด
ก่อนหน้านี้อภิชญาเลือกที่จะแกล้งหลับเพื่อหนีความอึดอัดที่เกิดขึ้น ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้ แต่เธอไม่หลงเชื่อคำพูดของคนหลอกลวงเป็นครั้งที่สองหรอก
ถ้าเชื่ออีกครั้งเธอก็กินหญ้าแทนข้าวแล้ว!
แกล้งหลับไปแกล้งหลับมา เธอก็เดินทางข้ามเวลาเสียอย่างนั้น รู้ตัวอีกทีรถที่เธอนั่งมาก็มาหยุดอยู่หน้าร้านเหล้าเมื่อคืนเป็นที่เรียบร้อย อภิชญาถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยสภาพงัวเงียและน้ำลายยืด เธอใช้หลังมือเช็ดที่ขอบปากอย่างลวก ๆ ด้วยความอับอาย
"ขอบคุณที่มาส่งค่ะ" เสียงหวานพูดขึ้นด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน ฝ่ามือเล็กปลดเข็มขัดนิรภัยออก จากนั้นก็เปิดประตูเตรียมลงจากรถด้วยความไวแสง เธอหันกลับมาสบตาวายุเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะก้าวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
วายุมองตามหลังเธอไปโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปสักคำ เขาทำได้เพียงนั่งนิ่งอยู่บนรถและปล่อยให้เธอเดินจากไป วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ยังไงในอนาคตเธอก็ต้องกลับมาอยู่เคียงข้างเขาอีกครั้งอยู่ดี
เขาจะไม่มีทางปล่อยเธอไปอีกครั้งแน่นอน เขาสาบานเลย!
หกปีก่อน
จู่ ๆ ฝนที่เคยตกใส่ร่างกายก็หายไป วายุจึงเงยหน้าขึ้นมามองด้วยขอบตาแดงก่ำ และได้พบเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนกางร่มให้เขาอยู่
เธอสวมใส่เสื้อนักศึกษาและกระโปรงพลีทยาวระดับหัวเข่า เป็นเด็กสาวตัวเล็กสูงประมาณร้อยหกสิบ หน้าตาน่ารักไร้ซึ่งการเติมแต่ง ผมสั้นประบ่าอีกทั้งยังผิวขาวผุดผ่อง สังเกตได้จากมือที่เธอกำลังถือร่มอยู่ในเขาในตอนนี้
"พี่โอเคหรือเปล่าคะ..มีอะไรให้หนูช่วยมั้ย" เธอเอ่ยถามเขาด้วยท่าทีห่วงใย ซึ่งก็คงจะไม่แปลกที่เธอถามเขาอย่างนั้น ก็เพราะว่าสภาพของเขาในตอนนี้ มันดูไม่ได้เลยสักนิด
วายุถูกแฟนสาวที่คบกันมา8ปีบอกเลิกอย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เธอให้เหตุผลว่า คบกับเขาแล้วเธอไม่มีความสุขเลยสักนิด เธออึดอัดที่ต้องคบกับผู้ชายที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชีวิตเธอ ทั้งที่เขาทำไปทั้งหมดก็เพราะว่ารักและเป็นห่วงเธอทั้งนั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีความหึงหวงและเอาแต่ใจรวมอยู่ด้วยก็ตาม
เธอเดินเข้ามาพูดในสิ่งที่ต้องการจะพูด และเดินจากออกไปอย่างไม่หันกลับมามองที่เขาอีก
วายุพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า นี่คงเป็นการแกล้งเล่นของม่านฟ้าอย่างแน่นอน เขานั่งรออยู่ที่สนามบาสตรงนี้มาราว ๆ สองชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่เมฆมืดครึ้มจนกระทั่งฝนตก ม่านฟ้าก็ยังไม่เดินกลับมา..
วายุส่ายหน้าเบาเล็กน้อย เขารู้สึกไม่โอเคเลยสักนิด กระทั่งแรงจะลุกก็ยังไม่มี โดนแฟนที่รักกันมาแปดปี บอกเลิกแบบไม่มีเวลาให้เตรียมใจ เขาแม่งไปต่อไม่เป็นเลยบอกตรง ๆ
เลยได้แค่นั่งรอให้เธอกลับมาเหมือนหมารอเจ้าของอยู่อย่างนี้นี่ไง!
คนตัวเล็กที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงทำได้เพียงย่อตัวลงมานั่งอยู่ด้านหน้าของเขา เธอจ้องมองใบหน้าของเขาอย่างพินิจ โดยที่มืออีกข้างหนึ่งก็ยังคงกำร่มไว้แน่น ผู้ชายคนนี้หน้าตาเหมือนรุ่นพี่ในคณะของเธออย่างกับแกะ แต่แววตาและบรรยากาศรอบตัวกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"อกหักเหรอคะ" อภิชญาเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางเสียงฝน เพราะสังเกตเห็นว่าขอบตาของเขาแดงก่ำ เหมือนคนที่ผ่านร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง ทว่าเจ้าของใบหน้าคมคายกลับไม่ยอมตอบอะไรกลับมา เขาทำเพียงแค่พยักหน้าตอบเธอเท่านั้น
บอกตามตรงว่าเธอไม่รู้ว่าจะปลอบเขายังไงดี บางทีหากเธอพูดมากกว่านี้อาจจะทำให้เธอโดนด่าว่าเสือกก็ได้ อีกอย่างนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องมาสนใจ ใครจะอกหักหรือเลิกกับใคร ก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอ
อภิชญานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจยื่นร่มในมือของตนให้กับเขา อย่างไรรถของเธอก็จอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ถ้าจะวิ่งกลับไปที่รถ ก็คงจะไม่เปียกสักเท่าไหร่หรอกมั้ง..
แต่ผู้ชายคนนี้นี่น่ะสิ เธอไม่รู้เลยว่าเขาจะนั่งอยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย
"ถ้ารอจนรู้สึกได้แล้วว่าเขาไม่มีทางเดินฝ่าฝนกลับมาหา พี่ก็กลับบ้านเถอะนะคะ อย่ารอเลย ทำร้ายตัวเองเปล่า ๆ" เมื่อพูดจบ เธอก็วิ่งฝ่าสายฝนออกไป โดยทิ้งร่มไว้ในมือเขาหนึ่งคัน
และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเธอ..
วิลล่าหรูสองชั้นสไตล์โมเดิร์นที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและวิวธรรมชาติ มีผู้เป็นเจ้าของคือ วายุ รัตนกิจโกศล และ ภรรยาอย่างคุณ อภิชญา รัตนโกศล ซึ่งเป็นตระกูลมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของภาคเหนือ"หล่อจังเลยเว้ยลูกพ่อ เมฆค้าบหมุดค้าบเรียกพ่อหน่อยเร็ว พ่อ ดูปากพ่อแล้วพูดตามนะ พ่อ!" วายุที่เพิ่งกลับจากการประชุมแวะมาเติมพลังใจด้วยการเล่นกับลูกชายฝาแฝดทั้งสองของเขาอภิชญาที่เห็นอย่างนั้นก็ได้แต่นั่งขำ กับภาพที่เห็น ลูกของเธอเพิ่งจะเกิดมาได้แค่เดือนเดียวเอง แต่คนเป็นพ่ออยากจะให้ลูกพูดซะแล้ว เดี๋ยวเธอจะจับตาดูเอาไว้เลย ถ้าวันหนึ่งลูกอยู่ในวัยช่างจ้อแล้วเขามาบ่นกับเธอว่าลูกพูดมาก เธอจะตีให้แขนเป็นรอยนิ้วเลย"เฮีย..ลูกยังพูดไม่ได้นะคะ"ตั้งแต่เหนือเมฆ กับ เหนือสมุทรคลอดออกมา ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่เคยเงียบเหงาอีกต่อไป เรียกได้ว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งเลยก็ว่าได้ เมื่อวันก่อนย่าทวดกับปู่ทวดก็เพิ่งกลับไปกรุงเทพ หลังจากมาปักหลักอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์ ขนาดคนที่อยู่ไกลยังขยันบินมาหาเหลนขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ใกล้ อย่างคุณปู่คุณย่า แล้วก็คุณตาคุณยายเลย รายนั้นมาแทบจะทุกวัน ทางด้านเพื่อนพ่อและเพื่อนแม่เองก็ไม
ดวงอาทิตย์สีทองอร่ามค่อยๆ ลับขอบฟ้า ทิ้งร่องรอยสีส้มอมชมพูไว้บนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ขณะที่เสียงคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนชายหาดที่เงียบสงบ วายุและอภิชญาเดินเคียงคู่กันไปตามแนวทรายขาวละเอียด เท้าเปล่าของพวกเขาจมลงในทรายนุ่มราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยนุ่นสายลมเย็นพัดโชยมาแผ่วเบา พัดพาเอาความสดชื่นมาด้วย วายุสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอดก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา มันเป็นความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขาก้มลงมองผู้หญิงตัวเล็กที่เดินอยู่ข้าง ๆ ใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้ม สดใสราวกับดวงอาทิตย์"สวยจังเลย" เขาเอ่ยขึ้นอย่างเผลอตัว ขณะนั้นเองนับสองก็หันมามองเขาด้วยแววตาแปลกใจ"อะไรสวยคะ""วิวตรงนี้ไง..วิวว่าสวยแล้ว แต่เมียเฮียสวยกว่าอีก" เขาตอบกลับด้วยสีหน้าระรื่นไม่สะทกสะท้าน แถมยังขโมยหอมกอดคนตัวเล็กเสียฟอดใหญ่ ทำเอาอภิชญาหน้าแดงขึ้นมาทันที เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ เพื่อแก้เขินรู้สึกว่าเขาจะปากหวานกว่าปกติอีกนะเนี่ย..ทั้งคู่เดินเล่นต่อไปเงียบ ๆ มีเพียงเสียงคลื่นทะเลที่ซัดเข้าหาชายฟังคอยบรรเลงให้ฟังตลอดทั้งทาง เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับผู้หญิงที่เขารักนั้น มันช่า
หลังจากที่วายุออกจากโรงพยาบาลเขาก็มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ให้เด็ดขาดซึ่งนั่นก็คือเรื่องของน้ำหวาน เขานัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง โดยที่ให้นับสองนั่งอยู่โต๊ะด้านหลังใกล้ ๆ กัน"หวานคุณมีอะไรจะสารภาพมั้ย" วายุถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา บอกตามตรงว่าหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเขาก็มองว่าน้ำหวานเป็นคนดีที่น่าสงสารเหมือนสมัยก่อนไม่ได้อีก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างอะไรกับงูพิษเลยสักนิด"เฮียพูดเรื่องอะไรคะ" น้ำหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ถ้ายอมรับตั้งแต่ตอนนี้ผมจะยอมยกโทษให้ ค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมก็ยังคงช่วย" "เฮียพูดเรื่องอะไรคะหวานไม่เข้าใจ" เธอยังคงยืนยันว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น วายุที่ทนดูการแสดงต่อไปอีกไม่ไหวจึงได้พูดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม"คุณบอกว่าคุณท้องได้ห้าเดือนแล้วใช่มั้ย แต่ตอนที่เราไปอัลตราซาวด์ ผลตรวจอายุครรภ์ของคุณมันเพิ่งจะสี่เดือนเองด้วยซ้ำ" วายุพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือกชวนให้เสียวสันหลัง"ไหนเฮียบอกว่าเชื่อหวานไงคะ ฮึก.." เมื่อไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง เธอจึงร้องไห้ออกมา เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ผลมาโดยตลอด แต่ทว่าคราวนี้มันกลับไม่เป็นอย่า
"ลูกของผมมีคนเดียวก็คือลูกที่เกิดจากผมกับสองเท่านั้น ส่วนคนอื่นผมพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ลูกของผมแน่นอน และผมก็ป้องกันตลอดด้วย อีกอย่างวันสุดท้ายที่เจอกับน้ำหวานผมตั้งใจจะไปตัดความสัมพันธ์กับเธอก่อนที่ผมจะมาง้อสองอีก ไม่มีทางเป็นลูกผมแน่นอน พ่อครับแม่ครับผมควรทำยังไงดี ผมขาดใจตายแน่ ๆ ถ้าสองหอบลูกหนีผมไป"สองสามีภรรยาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับกุมขมับ ทำไมเขาถึงได้ทำอะไรไม่ปรึกษาใครเลยสักนิด อันที่จริงหากเขาเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหนูนับสองตรง ๆ แทนที่จะโกหกกันเพื่อให้เธอสบายใจ เรื่องมันคงไม่บานปลายถึงขนาดนี้"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แกไปอธิบายกับหนูนับสองเองก็แล้วกัน" ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นพลางใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองเบา ๆ บอกตามตรงเขาก็เคืองนิดหน่อยที่พี่ชายของหนูนับสองกระทืบลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาซะน่วมแต่ถ้ามองในมุมของพี่ชายที่มีน้องสาว สิ่งที่หนูนับสองเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก และสิ่งที่เจ้าเหนือทำมันเหมือนเป็นการหยามหน้าคนเป็นพ่อและพี่ชาย เขาจึงไม่คิดที่จะเอาความกับบ้านของหนูนับสอง เพราะเขาเองก็เข้าใจดีว่า ลูกใคร ใครก็รัก"เจ้าชู้นักก็แบบนี้แหละแม่ไม่ช่วยหรอก ทำตัวเองทั้งนั้น" คุณหญิงทอฝันเอ่ย
สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงราวกับฟ้ารั่ว ตั้งแต่เที่ยงคืนมาจนถึงตีสอง ความเย็นยะเยือกราวกับใบมีดกรีดผ่านร่างกายของคนที่นั่งคุกเข่าอยู่หน้าบ้านของอภิชญาตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาวายุยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แม้ว่าร่างกายของเขาหนาวเหน็บจนตัวสั่นเทิ้ม แต่หัวใจของเขากลับร้อนรุ่มด้วยไฟแห่งความหวัง ว่าพ่อของนับสองจะยอมให้เขาได้พบกับเธอถ้าหากว่าเขายอมนั่งอยู่ตรงนี้จนถึงเช้า อภิชญามองลงมาจากหน้าต่างชั้นสองด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอพยายามทำใจแข็ง ปิดผ้าม่านลงและข่มตานอนให้หลับ แต่ภาพของเฮียเหนือที่นั่งตากฝนอยู่หน้าบ้านยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอเวลาล่วงเลยไปจนถึงตีสาม หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอแง้มม่านออกมาดูและพบว่าเขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม โชคดีที่ดูเหมือนว่าฝนจะซาลงแล้ว และความอดทนของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหมือนกัน! อภิชญาไม่สามารถทนดูเขาฝืนทนอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีก ถ้าเขายังดื้อดึงอยู่แบบนี้ มีหวังเขาได้ตายอยู่หน้าบ้านเธออย่างแน่นอน นับสองหยิบร่มและเดินลงมาหาเขาในตอนตีสาม ร่างกายของวายุสั่นเทิ้มด้วยความหนาว รอยฟกช้ำตามตัวตอนนี้ม่วงจนเห็นได้ชัด หญิงสาวที่เห็นแบบนั
อภิชญาลืมตาตื่นขึ้นมาที่เตียงของตนเองในตอนเย็น โดยที่ด้านข้างมีเฮียหนึ่งคอยนั่งเฝ้าอยู่ตลอดเวลา เธอเป็นลมไปเพราะเจอกับเรื่องสะเทือนใจ บวกกับอาการอ่อนเพลียจากการพักผ่อนน้อย"หนู..ตื่นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างครับรู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย" เฮียหนึ่งเอ่ยถามอาการของนับสองด้วยความเป็นห่วง ฝ่ามือหนาแตะลงบนหน้าผากมนเพื่อให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้มีไข้"ค่ะ.. หนูแค่เพลีย ๆ พักสักหน่อยเดี๋ยวก็คงหาย" อภิชญาตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง เธอไม่เข้าใจเจตนาของผู้หญิงคนนั้นเลยสักนิด ว่าที่คอยส่งรูปนั่นรูปนี่มาให้เพราะต้องการอะไรกันแน่ ทั้งที่ผู้หญิงคนนั้นกับเธอก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แม้กระทั่งหน้าตาก็ยังไม่เคยเห็น ถ้าว่ากันตามตรงตัวเธอเองนั้นไม่มีทางที่จะเป็นเมียน้อยของเฮียเหนือได้ เพราะเธอคือคนที่เขาพาไปเปิดตัวกับที่บ้าน ถ้าทั้งหมดนี่เป็นแค่การกลั่นแกล้งหรือเรื่องเข้าใจผิดล่ะ..การที่เธอหนีเขาออกมาเลยแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรือเปล่าอย่างน้อยเธอก็ควรฟังเหตุผลจากปากของเฮียเหนือ ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร..แต่วันนั้นเขาก็ควรจะพูดความจริงสิ เรื่องที่เขาโกหกเธอมันยังคงไม่เปลี่ยนไป เลิกหาข้ออ้างมาเข้าข้างคนเลวคนนั้นได้แล้ว อภิ