บัวบูชาหลังจากที่เดินออกมาจากโต๊ะนั้น หญิงสาวก็เข้ามาสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ จากตอนแรกที่ใจเต้นแรงเพราะใบหน้าหล่อเหลานั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นอารมณ์โกรธมากกว่า นึกว่าจะแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ที่แท้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่
แกหวังอะไรอยู่เนี่ย บัวบูชา ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ขณะกำลังจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ ร่างบางก็ต้องสะดุดกับชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนแทบจะสิงกันอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องน้ำ
บัวบูชาตกใจตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ตอนนี้จะออกไปก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ยืนฟังบทสนทนาที่ดังแว่วมาเบา ๆ
“คืนนี้ คุณศิรา มีนัดที่ไหนต่อไหมคะ?” สองแขนเรียวถือวิสาสะยกขึ้นคล้องคอหนาของศิราเอาไว้
“ไม่มีครับ” ศิราตอบกลับ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวของเจ้าหล่อน ใครมันจะยอมให้ผู้หญิงยั่วอยู่ฝ่ายเดียว เขาก็เสือผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องโปรยเสน่ห์เขาถนัดนัก
“งั้น คืนนี้ไปดื่มต่อที่ห้องดาวไหมคะ?”
“ชวนผู้ชายไปที่ห้อง คุณดาว ไม่กลัวเหรอครับ?” ศิราเอียงคอมองผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย อย่างลองดูเชิง
“ถ้าเป็น คุณศิรา ดาวไม่เห็นจะต้องกลัว”
“หึ ผมให้คุณตัดสินใจใหม่อีกที เพราะหลังจากนี้คุณจะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้อีกแล้วนะ คนสวย” ศิราพูดพลางยกยิ้มมุมปากด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ ก่อนจะใช้นิ้วโป้งลูบไล้ตรงคางเรียว
“ดาว กลัวจะแย่” หญิงสาวตรงหน้าก็หาได้กลัว กลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปากแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ทำอะไรไปมากกว่านี้
“ขอโทษที่ขัดจังหวะ ขอทางหน่อยค่ะ” บัวบูชาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเดินออกไปจากตรงนั้นทันที หญิงสาวรีบเดินเข้าไปหลังร้านเพื่อรับออร์เดอร์ต่อ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงใกล้จะเลิกงานแล้ว ต้องรีบทำงานจะได้รีบกลับบ้านไปหาแม่ เลิกสนใจผู้ชายเจ้าชู้คนนั้นเสียที ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดใจ
ศิราเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยสีหน้ามีความสุข คินน์เห็นก็รีบทักเป็นคนแรกทันที แบบนี้ไม่ต้องเดาว่าเพื่อนเขาไปทำอะไรในห้องน้ำมา
“กูว่าล่ะ เข้าห้องน้ำนาน ที่แท้ก็นัดน้องสาวชุดแดงเดินตามไปนี่เอง”
“รู้มากนะมึง” ศิราถลึงตาใส่เพื่อน
“ไง สรุปไปต่อเหรอ คืนนี้”
“ไม่”
“ไม่ไป”
“ไม่เสือกครับ เพื่อน” ศิรายักคิ้ว
“ฮ่า ๆ สมน้ำหน้า” มาวินหัวเราะเสียงดัง
“อ้าว! ไอ้วิน สรุปมึงพวกใครเนี่ย” มาวินหัวเราะพลางยักไหล่ ก่อนจะหยิบแก้วไวน์มาดื่มต่ออย่างไม่สนใจ พลางโยกหัวเบาๆ ไปกับจังหวะดนตรี
หลังเที่ยงคืน บัวบูชาโบกมือลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะรีบเดินออกมารอเรียกแท็กซี่ที่หน้าร้าน ระหว่างที่ยืนรออยู่นั้น เสียงแตรรถยนต์ก็ดังขึ้น บัวบูชาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปทางที่มาของเสียง พบว่าเป็นรถยนต์ยี่ห้อหรูสีดำคันใหญ่ เคลื่อนที่มาจอดตรงหน้า
บัวบูชาหันมองซ้ายขวาก็ไม่เห็นมีใครนอกจากตัวเองที่ยืนรอรถอยู่คนเดียว อึดใจเดียวกระจกรถตรงฝั่งคนขับก็เลื่อนลง เผยให้เห็นใบหน้าคนเข้มของคนขับยื่นออกมานอกรถ
“น้องบัว ให้พี่ไปส่งไหมครับ?” ศิรายื่นหน้าออกไปถามคนตัวเล็กที่ยืนรอรถอยู่
“ไม่เป็นไรค่ะ บัวเรียกแท็กซี่แล้วค่ะ” บัวบูชารีบตอบปฏิเสธแทบจะทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
โชคดีที่ขณะนั้นมีแท็กซี่เปิดไฟว่างวิ่งผ่านมาพอดี บัวบูชาเห็นดังนั้นจึงรีบโบกมือเรียกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกล่าวขอตัว ทำราวกับว่าต้องการจะหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
หลังขึ้นรถมาได้ คนตัวเล็กก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกว่าจะออกไปกับแม่สาวชุดแดงคนนั้นซะอีก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะออกมาดักรอตอนเลิกงาน
“หึ หนีได้หนีไปเถอะ เจ้าลูกแกะ หนูหนีพี่ไม่พ้นหรอก” ศิราพูดกับตัวเอง ก่อนที่จะเหยียบคันเร่งมุ่งตรงไปยังคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองกรุงทันที
ภายในห้องอาหารบ้านกิจธนะวรกุล ประมุขของบ้านอย่างศัจกร กิจธนะวรกุล อดีตท่านประธานใหญ่ กำลังนั่งอยู่หัวโต๊ะด้วยใบหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ แต่แฝงด้วยความเยือกเย็นอยู่ในที จนผู้เป็นภรรยาอย่างคุณนายจันทรรัตน์ยังไม่กล้าสบตา แตกต่างจากลูกชายคนเดียวอย่างศิรา ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มที่ได้แบบฉบับมาจากคนเป็นพ่อกลับเรียบเฉย นั่งชิวล์ ๆ ไม่สะทกสะท้าน
คุณนายจันทรรัตน์มองสามี และลูกชายหัวแก้วหัวแหวนสลับกันไปมาพลางลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา พ่อลูกคู่นี้ยังไงกันนะ เมื่อก่อนไม่ลงรอยกันอย่างไรตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้สาวรับใช้ตักข้าวได้
“แกจะเริ่มทำงานเมื่อไหร่?” ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“ตอนนี้ผมยังไม่พร้อม” ศิราพูดด้วยใบหน้าที่เบื่อหน่าย
“แล้วเมื่อไหร่แกจะพร้อม ที่แกเที่ยวเล่นอยู่ที่อเมริกาเป็นปี แกยังพักผ่อนไม่พออีกเหรอไง?” น้ำเสียงที่ดังขึ้นของสามีทำให้ผู้เป็นภรรยารีบเอ่ยห้าม เพราะกลัวสองพ่อลูกจะทะเลาะกันกลางโต๊ะอาหาร
“คุณคะ ฉันว่า...”
“คุณจันทร์ หยุด! คุณก็เป็นซะแบบนี้ให้ท้ายมันเกินไป มันเลยกลายเป็นคนไม่สนโลก ไม่เอาการเอางาน แบบนี้จะไปดูแลกิจการที่ผมสร้างขึ้นมากับมือได้ยังไง”
“กิจการของพ่อ แล้วพ่อเคยถามผมสักคำไหม ว่าต้องการมันหรือเปล่า” ใบหน้าเคร่งเครียดเย็นชาเอ่ยถามผู้เป็นพ่อ
“ต้องการไม่ต้องการแล้วยังไง สุดท้ายมันก็เป็นสิ่งที่แกต้องทำอยู่ดี ในฐานะที่แกเป็นลูกชายเพียงคนเดียว อย่าลืมนะว่าถ้าไม่มีกิจการของฉัน แกจะได้อยู่อย่างสุขสบายแบบนี้ไหม คิดบ้างสิ” ประมุขของบ้านเดือดดาลด้วยความโมโห
“คุณคะ อย่าเพิ่งทะเลาะกัน ทานข้าวก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจะคุยกับลูกให้ ลูกเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน ให้ลูกพักสักอาทิตย์ก่อนเถอะค่ะ”
“ศิรา ลูกบอกคุณพ่อไปสิ ว่าอาทิตย์หน้าลูกจะเข้าบริษัท” จันทรรัตน์หันมาบอกลูกชายด้วยแววตาแกมขอร้อง
“ครับ อาทิตย์หน้าผมจะเข้าไป” ศิราต้องตอบรับอย่างเสียไม่ได้ เพราะบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มอึดอัด อีกอย่างเขาไม่อยากให้แม่รู้สึกไม่สบายใจ
“ดี จากนี้ฉันให้เวลาแก ๒ ปี เรียนรู้งานจากฉันทั้งหมด ระหว่างนี้แกจะทำอะไรก็ตามใจ ฉันจะไม่ยุ่งกับแก หลังจากนั้นก็เตรียมตัวรับตำแหน่งประธานต่อจากฉันทันที อ่อ แล้วเรื่องคู่นอนคู่ขาของแก ก็เพลา ๆ ลงบ้าง ที่นี่ไม่เหมือนอเมริกา นักข่าวรู้ขึ้นมาจะเสียภาพลักษณ์บริษัทฉันหมด”
“ครับ” ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยตกปากรับคำ พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
บาร์ร้านมาวิน
ตั้งแต่เจอลูกแกะตัวน้อยในร้านของเพื่อน ศิราก็กลายเป็นลูกค้าประจำของทางบาร์ไปโดยปริยาย ร่างสูงมาบ่อยจนทำให้เจ้าของร้านอย่างมาวินรู้สึกเบื่อขี้หน้าขึ้นมาบ้างแล้ว อย่างคืนนี้ก็เช่นกัน ศิรานั่งตรงที่ประจำโซน VIP มือหนายกแก้วไวน์ใบสวยขึ้นจิบอย่างละเมียดละไมพร้อมกับสเต๊กเนื้อวัววากิวอย่างดี
สายตาคมสำรวจบรรยากาศในร้านโดยรอบ เวลานี้ลูกค้าในร้านบางตาเพราะยังไม่ดึกมากเท่าไหร่ นัยน์ตาคมกวาดตามองหาใครบางคนที่ทำให้เขามาที่นี่แทบทุกคืน
ผ่านมาเกือบเดือนแล้วที่ชายหนุ่มเข้ารับตำแหน่งรองประธานบริษัท เรียนรู้งาน บริหารทุกอย่างจากผู้เป็นพ่อ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนถือว่าเริ่มดีขึ้นจากแต่ก่อน เพราะว่าเขาทำงานที่ได้รับมอบหมายออกมาได้ดี จนทำให้ผู้เป็นพ่อพอใจ
ที่ผ่านมาถึงชายหนุ่มจะต่อต้านสารพัด แต่ก็ยอมทำตามทุก ๆ อย่าง ถึงแม้จะไม่ใช่ทางที่ชอบ แต่ศิราก็สามารถทำมันออกมาได้ดีเสมอ ดูได้จากเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากอเมริกา ที่ผู้เป็นพ่อภูมิใจนักหนา
ถือว่าเป็นการถอยให้กันคนละก้าว ขอแค่ผู้เป็นพ่อไม่ก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัวเขามากจนเกินไป ชายหนุ่มก็ยินยอมบริหารบริษัทที่พ่อเป็นคนสร้างมันมากับมือให้
ขณะนี้เวลาใกล้จะห้าทุ่มแล้ว ศิรายังไม่ยอมกลับ คืนนี้เขายังไม่ได้คุยกับลูกแกะตัวน้อยเลย เห็นน้องเดินไปมาในร้านตลอดทั้งคืน แต่กลับไม่แวะเวียนมาใกล้โต๊ะที่เขานั่งอยู่เลยสักนิด ศิรากวักมือเรียกพนักงาน ก่อนจะแจ้งความประสงค์บางอย่าง ก่อนที่พนักงานคนดังกล่าวจะโค้งให้และเดินออกไป
ไม่นานเกินรอ ร่างบางของคนตัวเล็กก็ปรากฏต่อหน้าศิรา พร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะ คุณศิรา”
“บอกให้เรียกพี่” ศิราเอ่ยน้ำเสียงแกมดุนิด ๆ
“ไม่ดีกว่าค่ะ คุณเป็นลูกค้า อีกอย่างเราไม่ได้สนิทกัน” บัวบูชาก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาคมกริบคู่นั้น เพราะทุกครั้งที่สบตามันทำให้ใจของคนตัวเล็กเต้นแปลก ๆ ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยชอบใจนักก็เถอะ
“งั้น ถ้าสนิทแล้วหนูจะเรียกพี่ใช่ไหม?” ฝ่ายศิราที่ยังไม่ยอมแพ้พูดจาหยอกเย้า
“…”
“งั้นคืนนี้ให้พี่ไปส่งนะครับ กลับบ้านคนเดียวดึก ๆ มันอันตรายนะครับ อีกอย่างเราจะได้สนิทกันเร็ว ๆ น้องบัวว่าดีไหม?” ศิราพูดพลางทำสายตากรุ้มกริ่มส่งมาให้
“ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ บัวเกรงใจ”
“นี่ก็ตั้งเดือนกว่าแล้วนะ ทำไมน้องบัวยังไม่ใจอ่อนให้พี่สักทีคะ?” ส่งสายตาออดอ้อนราวกับเจ้าลูกหมาตัวโต จนบัวบูชาที่เงยหน้าขึ้นมามองสบตาคู่คมเข้าพอดี
“…”
“พี่อยากไปส่งจริง ๆ”
“งั้นก็ได้ค่ะ บัวเลิกงานเที่ยงคืนกว่านะคะ” สุดท้ายก็ทนลูกอ้อนไม่ไหวของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ไหว พอรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปบัวบูชาก็อยากจะตบปากตัวเองสักทีที่ปากไวใจเร็วไปหน่อย
“พี่จะรอนะ” รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้า ทำเอาใจดวงน้อยกระตุก บัวบูชารีบเบือนหน้าหนีเพราะใจเริ่มเต้นแรง
“ค่ะ” ร่างบางตอบกลับอ้อมแอ้ม
“งั้นพี่ขอกับแกล้มอีกสักอย่างนะครับ เอาอะไรก็ได้ หนูมาเสิร์ฟให้พี่นะ พี่อยากให้ทิปหนู”
“คุณศิรา ให้ทิปบัวทุกคืนเลย”
“แล้วไม่ดีเหรอคะ?” ชายหนุ่มย้อนถาม
“มันก็ดีค่ะ แต่ว่ามันบ่อยเกินไป บัวเกรงใจ” บัวบูชาพูดเสียงเบา
“ถ้าเป็นน้องบัว พี่เต็มใจครับ” เสือร้ายยิ้มอย่างมีเสน่ห์ส่งมาให้
“เอ่อ เดี๋ยวบัวไปสั่งกับแกล้มมาให้ คุณศิรารอสักครู่นะคะ” ร่างบางก็รีบกล่าวตัดบทก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้น เพราะกลัวชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าใบหน้าขาวกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะความเขิน หลังโดนรอยยิ้มร้ายก่อกวนหัวใจ
ตี๊ดดเสียงสัญญาณประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มแสนมีเสน่ห์ ศิราในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก กับกางเกงสแล็กส์สีกรม มันช่างดูเข้ากันเป็นอย่างมากในสายตาของบัวบูชาคนร่างสูงยื่นเสื้อสูทสีเดียวกันกับกางเกงให้คนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังมองมาที่เขานิ่งราวกับรูปปั้น“หนู เป็นอะไรคะ?”“เปล่าค่ะ” บัวบูชาตอบพร้อมกับส่ายหัวรัว ทำให้ศิรายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“พี่ศิรา จะทานข้าวหรือว่าอาบน้ำก่อนดีคะ?”“พี่ว่ากินข้าวก่อนดีกว่า ถ้าอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะไม่ได้กินข้าวเอา”“…”ร่างบางอึกอัก ทำตัวไม่ถูกกับคำพูดเย้าหยอกของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวลูกตำลึงสุกจนลามไปถึงใบหู“หน้าแดงใหญ่แล้ว หนูเขินเหรอคะ?” ร่างสูงเอ่ยแซว“พี่ศิรา ไม่แกล้งหนูสิ”“โอเคค่ะ พี่ยังไม่แกล้งตอนนี้ เรามากินข้าวกันก่อนดีกว่าเนอะ ตอนนี้พี่หิวมากเลย”“โห น่ากินจังเลยครับ” ศ
มือเรียวสวยหยิบนามบัตรใบเล็กสีดำขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ของคืนนี้แล้วก็ไม่อาจนับได้ “ศิรา กิจธนะวรกุล” ชื่อเจ้าของนามบัตรเด่นชัดอยู่ตรงหน้า พร้อมเบอร์โทรติดต่อ“เฮ้ออออ” เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นจากร่างบาง ทำให้ใบตองที่นั่งข้าง ๆ หันมามองด้วยความสงสัย“พี่บัว เป็นอะไรไปตองเห็นพี่ทำหน้ากลุ้มใจแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ” หญิงสาวอดไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป“พี่มีเรื่องให้ตัดสินใจนิดหน่อยน่ะ”“ปรึกษา ตอง ได้นะพี่” ใบตองสาวสวยเด็กนั่งดริ๊งก์ประจำร้านเอ่ย“ขอบใจจ้ะ”“ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นคุณศิราเลยเนอะ ปกติเขาจะมาหาพี่เกือบทุกคืน” หญิงสาวชวนคุย“บ้า มาหาพี่ที่ไหนกัน” บัวบูชา ก้มหน้าพูดกลบเกลื่อน“แหม พี่บัว ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น ดูก็รู้ว่าคุณเขาชอบพี่มาก ๆ เลยนะ”“…”“เป็นตองนะ ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก ถึงไม่ได้เป็นแฟน เป็นกิ๊กก็ยังดี”“เดี๋ยวเหอะ แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา
“แหมมมม มึง วาสนาคนเรานี่มันไม่เท่ากันซะจริงจริ้ง มึงว่าไหม?”“นั่นนะสิ บางคนทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทิปไม่ได้สักบาท” บัวบูชาหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดิน เนื่องจากได้ยินเสียงพูดคุยของพนักงานหญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงทางเดินแว่วมาเข้าหู“ส่วนคนบางคนเดินชม้อยชม้ายส่งสายตายั่วแขกก็ได้ทิปเป็นปึก ๆ สบายไปเลย ตอนนี้เดือน ๆ ได้หลายหมื่นแล้วมั้ง”“ก็วาสนามึงมีไม่เท่าเขาอะเนาะ ก็ต้องทำใจ”“แล้วก็ชอบทำเป็นเล่นตัวนะ อ่อยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่ละคนหน้าไม่เคยซ้ำ”บัวบูชาหยุดฟังจนบทสนทนาดังกล่าวจบไป ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ทำได้แค่ก้มหน้าเดินผ่านไป เลี่ยงทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนากระแหนะกระแหนเมื่อสักครู่หญิงสาวไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร ที่มาทำงานก็เพื่อหาเงิน ใครจะคิดยังไง จะว่ายังไงเธอไม่สน ร่างบางรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนยังไง ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่พวกขี้อิจฉา ที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองไม่ได้ ก็เท่านั้น“คุณศิรา รอนานไหมคะ” หลังเลิกงานบัวบูชารีบเดินออกมาจากร้านทันทีเพราะกลัวว่าอีก
บัวบูชาหลังจากที่เดินออกมาจากโต๊ะนั้น หญิงสาวก็เข้ามาสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ จากตอนแรกที่ใจเต้นแรงเพราะใบหน้าหล่อเหลานั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นอารมณ์โกรธมากกว่า นึกว่าจะแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ที่แท้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่แกหวังอะไรอยู่เนี่ย บัวบูชา ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ขณะกำลังจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ ร่างบางก็ต้องสะดุดกับชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนแทบจะสิงกันอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องน้ำบัวบูชาตกใจตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ตอนนี้จะออกไปก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ยืนฟังบทสนทนาที่ดังแว่วมาเบา ๆ“คืนนี้ คุณศิรา มีนัดที่ไหนต่อไหมคะ?” สองแขนเรียวถือวิสาสะยกขึ้นคล้องคอหนาของศิราเอาไว้“ไม่มีครับ” ศิราตอบกลับ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวของเจ้าหล่อน ใครมันจะยอมให้ผู้หญิงยั่วอยู่ฝ่ายเดียว เขาก็เสือผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องโปรยเสน่ห์เขาถนัดนัก“งั้น คืนนี้ไปดื่มต่อที่ห้องดาวไหมคะ?”“ชวนผู้ชายไปที่ห้อง คุณดาว ไม่กลัวเหรอครับ?” ศิราเอียงคอมองผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย อย่างล
หลังจากวันนั้นก็เป็นเวลากว่าสี่เดือนแล้ว ที่บัวบูชาทำงานที่บาร์แห่งนี้ ตอนนี้เรียกได้ว่าเธอรู้จักพนักงานในร้านทุกคนแล้ว โดยเฉพาะรุ่นน้องที่ชื่อใบตอง อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปีใบตองคือคนที่คอยช่วยเหลือเธอตลอดทั้งเรื่องงานหรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเวลาเจอกับพวกลูกค้าผู้ชายที่มือไวใจเร็ว ชอบแตะนิดแตะหน่อย หรือพวกที่ชอบพูดจาสองแง่สองง่าม แทะโลมต่าง ๆ นานาแรก ๆ บัวบูชาก็ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ แต่พอปรับตัวได้หญิงสาวก็เริ่มเอาตัวรอดเป็น อยู่ต่อหน้าลูกค้าก็พูดจาคะขา เอาอกเอาใจเก่ง ทำให้ตอนนี้รายได้จากทิปคืนหนึ่งก็ปาไปเกือบสี่พันบาทแล้วแต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าทุกคนในร้านจะดีกับเธอทุกคน มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด โดยเฉพาะกับพวกสาว ๆ ที่ทำงานที่ร้านมาก่อน พอเธอเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ก็เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า ทำให้คนพวกนั้นไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่บัวบูชาตัดความฟุ้งซ่านทิ้งไป ทุกวันนี้เธอพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแค่นั้นก็พอ ตอนนี้เธอต้องรีบกอบโกยเงินให้ได้มากที่สุด เพราะปลายเทอมหน้าก็เป็นเทอมสุดท้ายของภาคเรียนแล้วซึ่งเป็นเวลา
ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศสดใส บัวบูชาตื่นมาช่วยแม่เตรียมของตอนตีสามเหมือนเช่นเคย เช้านี้เธอได้ยินแม่บ่นว่าปวดขามากกว่าทุกวัน แถมอาการหายใจติดขัด หอบเหนื่อยง่ายที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้บ่อย ๆ ก็เหมือนจะมีอาการมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา“แม่ไหวไหมจ๊ะ? ถ้าไม่ไหววันนี้หนูขายเอง” บัวบูชาเอ่ยหลังสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียวของผู้เป็นแม่“แม่ไหวลูก มีเรียนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่” อุบลเอ่ย“แม่...แม่อย่าฝืนนะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา”“แม่ยังไหว บัวเตรียมของไว้ให้แม่ก็แล้วกัน แม่ขอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวตีห้าแม่ออกไปช่วยขาย”“จ้ะแม่ แต่ถ้าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้น เย็นนี้หยุดขายผัดไทยก่อนนะแม่ เลิกเรียนหนูจะรีบกลับบ้าน” บัวบูชาที่ยังรู้สึกเป็นห่วงจึงเอ่ยกำชับผู้เป็นแม่อีกครั้ง“จ้ะ”ครืน ครืน เสียงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องเล็กซึ่งตกรุ่นมาหลายปีแล้วดังขึ้น เพื่อนที่นั่งเรียนข้าง ๆ ได้ยินเสียงสั่นก็หันมามอง บัวบูชารีบล้วงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าใบเก่งพบว่าเป็นเบอร์ของแม่ที่โทรเข้ามา คิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกสงสัยว่าผู้เป็นแม่มีธุระอะไร มือบางจึงรีบกดรับสายทันที“แม่ ว่าไงจ๊ะ”“สวัสดีครับ ผมโทรจากกู้ภัยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป