“แหมมมม มึง วาสนาคนเรานี่มันไม่เท่ากันซะจริงจริ้ง มึงว่าไหม?”
“นั่นนะสิ บางคนทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทิปไม่ได้สักบาท” บัวบูชาหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดิน เนื่องจากได้ยินเสียงพูดคุยของพนักงานหญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงทางเดินแว่วมาเข้าหู
“ส่วนคนบางคนเดินชม้อยชม้ายส่งสายตายั่วแขกก็ได้ทิปเป็นปึก ๆ สบายไปเลย ตอนนี้เดือน ๆ ได้หลายหมื่นแล้วมั้ง”
“ก็วาสนามึงมีไม่เท่าเขาอะเนาะ ก็ต้องทำใจ”
“แล้วก็ชอบทำเป็นเล่นตัวนะ อ่อยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่ละคนหน้าไม่เคยซ้ำ”
บัวบูชาหยุดฟังจนบทสนทนาดังกล่าวจบไป ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ทำได้แค่ก้มหน้าเดินผ่านไป เลี่ยงทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนากระแหนะกระแหนเมื่อสักครู่
หญิงสาวไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร ที่มาทำงานก็เพื่อหาเงิน ใครจะคิดยังไง จะว่ายังไงเธอไม่สน ร่างบางรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนยังไง ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่พวกขี้อิจฉา ที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองไม่ได้ ก็เท่านั้น
“คุณศิรา รอนานไหมคะ” หลังเลิกงานบัวบูชารีบเดินออกมาจากร้านทันทีเพราะกลัวว่าอีกคนจะรอนาน ร่างบางเจอเข้ากับศิราที่ยืนรออยู่ตรงนั้นพอดี
“ไม่นานค่ะ รถพี่อยู่ทางนี้” ศิราเดินนำอีกฝ่ายไปยังรถที่จอดอยู่หน้าร้าน ก่อนจะเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับให้กับคนตัวเล็ก
“หนูบอกทางให้พี่ด้วยนะ”
“ค่ะ”
ระหว่างทางความเงียบได้เข้ามาปกคลุมเป็นระยะ ทำให้บรรยากาศภายในรถดูอึดอัดสำหรับบัวบูชา ด้วยความที่เป็นคนไม่ค่อยพูดกับใครหากไม่ได้สนิท ยิ่งมานั่งอยู่ในรถแคบ ๆ กับผู้ชายอย่างคุณศิรามันทำให้เธอนั่งตัวเกร็งไปตลอดทาง แต่กระนั้นก็เอ่ยบอกทางแก่คนตัวหนาเป็นระยะ ๆ
“ไม่ต้องเกร็งนะครับ ทำตัวตามสบาย เพราะน้องบัวต้องได้นั่งรถพี่อีกบ่อย ๆ” ด้านศิราเห็นว่าคนน้องนั่งนิ่งตัวแข็งเลยชวนคุยเล่น เพื่อผ่อนคลาย
“…” บัวบูชาอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองคนด้านข้างอย่างนึกสงสัย
“เพราะว่าจากนี้พี่ก็จะไปส่งน้องบัวอีกไงครับ” ร่างสูงพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“คุณศิราคะ บัวขอถามอะไรหน่อย ได้ไหม?”
“ได้สิคะ” ศิราพูดด้วยท่าทางสบาย
“คุณศิรา...” บัวบูชาก้มหน้าจนคางแทบจะชิดอก รู้สึกประหม่าจนไม่กล้าพูด
“หนูอยากรู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับหนู ใช่ไหม?” เป็นศิราเองที่เอ่ยปากออกมาก่อน มีเหรอว่าเขาจะดูไม่ออกว่าคนตัวเล็กรู้สึกอย่างไร
“ค่ะ” บัวบูชาพยักหน้าก้มหน้างุด
“เอาตรง ๆ เลยนะ พี่ไม่อยากอ้อมค้อม พี่สนใจหนู”
“...”
บัวบูชาหันหน้ามามองหน้าคนตัวสูงแทบจะทันที แววตาที่มองมาบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าร่างบางกำลังเกิดความสับสนในใจ
“สรุปง่าย ๆ คือ พี่อยากได้หนู และพี่ก็พร้อมจะเลี้ยงดูหนูกับแม่ของหนูให้อยู่อย่างสุขสบาย”
“หมายถึง ให้บัวขายตัวให้คุณเหรอ?”
“จุ๊ ๆ ไม่เอาค่ะ ไม่พูดแบบนั้น มันไม่ได้เรียกว่าขายตัวครับน้องบัว มันเรียกว่าการได้ประโยชน์ร่วมกันมากกว่า” ศิราเอ่ยปราม
“แต่บัวก็ต้องนอนกับคุณ?” บัวบูชามองใบหน้าหล่อคมเข้มด้านข้างของศิรานิ่ง
“พี่ไม่รู้จะอธิบายให้หนูเข้าใจยังไงดี เอ่อ หนูเคยได้ยินคำว่าเด็กเลี้ยงไหม?” ศิราหันมาถาม
บัวบูชาครุ่นคิดเพียงครู่ก็พยักหน้าให้คำตอบ
“นั่นแหละค่ะ”
“ที่คุณศิรา เทียวไล้เทียวขื่อมาหาบัวที่ทำงานทุกวันก็เพราะเหตุผลนี้เหรอคะ”
“มันก็ส่วนหนึ่ง ครั้งแรกที่เจอหนูพี่บอกตามตรงเลยว่าพี่ถูกใจหนูมาก ๆ ตอนนั้นพี่ยอมรับนะว่าพี่แค่อยากนอนด้วยเท่านั้น แบบ ซื้อ จ่าย จบ ครั้งเดียว”
“…”
“แต่พอหลังจากพี่ได้มาที่ร้านบ่อย ๆ พี่เห็นหนูทุกวัน หนูเป็นเด็กดี น่ารัก แถมยังเป็นเด็กกตัญญู พี่เลยอยากที่จะส่งเสียเลี้ยงดูหนูแบบระยะยาว”
“แล้วมันต่างจากการขายตัวตรงไหนคะ?”
“พี่ไม่อยากให้หนูคิดแบบนั้น เรียกว่ามันเป็นธุรกิจก็แล้วกันนะ เราต่างก็ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งคู่ พี่ได้ตัวหนู หนูได้เงินจากพี่”
“...”
“พี่อยากช่วยเหลือหนูจริง ๆนะครับ”
เกือบสามสิบนาที รถยนต์คันหรู ยี่ห้อ Mercedes-Benz สีดำ ก็เคลื่อนตัวมาจอดหน้าตึกแถวสองชั้น สภาพกึ่งเก่ากึ่งใหม่ที่อยู่อาศัยของสองแม่ลูก
“ขอบคุณมานะคะ ที่มาส่ง บัวขอตัวก่อนนะคะ” บัวบูชายกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูเพื่อที่จะลงจากรถ จังหวะนั้นศิราก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นนามบัตรใบเล็กให้อีกฝ่าย
“อันนี้เบอร์ติดต่อของพี่ มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ตลอดนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะ” บัวบูชาพยักหน้า ก่อนจะรับนามบัตรใบนั้นเก็บลงในกระเป๋า จากนั้นจึงเดินเข้าไปในบ้านทันที
แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูเหล็กยืด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน หญิงสาวค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าผ้าใบเก่า และพบว่าเบอร์ที่โทรมาเป็นของพี่ฟ้า พยาบาลสาวที่จ้างมาดูแลมารดา
บัวบูชารีบกดรับสายทันที ร่างบางรู้สึกเป็นห่วงแม่ขึ้นมาจนเริ่มใจคอไม่ดี อดที่จะใจเสียไม่ได้ที่อีกฝ่ายโทรมาเวลานี้ เพราะปกติพี่ฟ้าจะโทรหาเธอเวลาที่มีเรื่องฉุกเฉินเกี่ยวกับแม่เท่านั้น
“ว่าไงคะ พี่ฟ้า”
“น้องบัว คุณแม่ชักค่ะ ตอนนี้พี่อยู่ที่โรงพยาบาล XX นะคะ”
“…”
โทรศัพท์แทบจะร่วงจากมือทันทีที่ได้ยินปลายสายพูดจบ บัวบูชายืนนิ่งไปชั่วครู่ หลังรวบรวมสติได้เจ้าตัวก็หันหลังวิ่งออกมาจากหน้าบ้าน ก่อนที่ร่างเล็กจะชนเข้ากับร่างของคนคนหนึ่งเต็มแรงจนล้มลงไปก้นจ้ำเบ้า
“น้องบัว เป็นอะไรไหมครับ?” เป็นศิราที่รีบไปพยุงคนตัวเล็กให้ลุกขึ้น ร่างสูงที่กำลังรอให้คนตัวเล็กเข้าบ้านไปก่อนถึงจะกลับ สังเกตเห็นว่าน้องรับโทรศัพท์ด้วยสีหน้าร้อนรน เลยรีบเดินมาหาเผื่อน้องมีอะไรให้ช่วยเหลือ
“มีอะไรหรือเปล่า หนูวิ่งออกมาทำไม?”
“แม่บัวชักค่ะ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล” บัวบูชาละล่ำละลักบอกอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ใจเย็น ๆ ก่อนครับ ตั้งสติก่อนนะ” ศิราเห็นคนน้องตกใจจนตัวสั่นเลยเตือนสติ
“ค่ะ ๆ” บัวบูชาพยักหน้ารัว ๆ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เพราะเป็นห่วงแม่
“โรงพยาบาลไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“แต่ว่า...”
“ไม่ต้องเกรงใจ มันดึกมากแล้ว แท็กซี่ก็คงจะหมดแล้ว แล้วหนูจะไปยังไงคะ”
“ก็ได้ค่ะ”
เวลานี้ตีสองกว่าแล้ว บัวบูชายังนั่งมองผู้เป็นแม่ที่นอนไร้สติอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลไม่ไปไหน เจ้าตัวร้องไห้จนตาบวม หลังคุณหมอแจ้งว่า แม่มีอาการแทรกซ้อนจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หากเมื่อครู่พามาโรงพยาบาลช้ากว่านี้อีกเพียงนิด แม่อาจจะไม่รอด
คุณหมอให้คำแนะนำมาว่าควรจ้างพยาบาลดูแลทั้งกลางวัน กลางคืน ในเวลาที่เธอต้องไปทำงาน เพราะคนไข้กล้ามเนื้ออ่อนแรงในระยะแรกแบบแม่ ไม่สามารถใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นได้ ควรที่จะหยุดพักหรือหยุดใช้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นไปก่อน จนกว่าจะหายเพราะถ้าหากยังฝืนใช้จะทำให้อาการของกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นซ้ำๆ แบบเรื้อรังได้ และถ้าเป็นแบบนั้นโอกาสที่จะกลับมาหายเป็นปกติคงยาก
บัวบูชาคิดไม่ตกเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว ไหนจะค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ค่าจ้างพยาบาลพิเศษ ทุกวันนี้เงินค่าทำงานที่ร้านคาเฟ่ และบาร์มันเยอะก็จริง แต่มันก็ไม่พอกับค่าใช้จ่ายอยู่ดี
ทุกวันนี้เธอจ้างพี่ฟ้าเป็นรายเดือน ๆ ละสามหมื่นบาท ทำงานแปดชั่วโมง/วัน ส่วนช่วงเวลาหนึ่งทุ่มถึงเที่ยงคืนที่ทำงานที่บาร์ เธอก็จะจ้างพี่ฟ้าพิเศษคิดเป็นรายชั่วโมงไป ชั่วโมงละสองร้อยบาท เดือน ๆ หนึ่งต้องเสียค่าจ้างพยาบาลพิเศษไปเยอะมาก ๆ
คนตัวเล็กฟุบหน้าบนโต๊ะ ร้องไห้ออกมาเบา ๆ จนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ทุกวันนี้เรียนก็ต้องเรียน ไหนจะทำงานจนสายตัวแทบขาดอีก ปัญหาทุกอย่างประเดประดังเข้ามาทุกด้านจนแทบมองไม่เห็นทางออก
แต่ถึงจะเหนื่อยเพียงใดบัวบูชาก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้ เธอต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตคนที่รักเอาไว้ให้ได้ แม้จะต้องยอมแลกมาด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นคนก็ตาม
“แม่ฟื้นแล้วเหรอจ๊ะ เดี๋ยวหนูเรียกหมอก่อนนะ” เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่ลืมตาขึ้น บัวบูชาก็รีบกดปุ่มฉุกเฉินเรียกพยาบาลทันที ไม่นานก็มีทั้งคุณหมอ และพยาบาลเดินเข้ามาในห้อง หลังจากตรวจอาการเบื้องต้นแล้ว คุณหมอก็หันมาพูดกับญาติคนไข้
“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ นอนรอดูอาการอีกสักคืนก่อน ถ้าไม่มีอะไรแล้วพรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้”
“ขอบคุณมากค่ะ คุณหมอ”
“ต่อไปต้องระวังให้มากกว่านี้นะครับ พยายามอย่าฝืนใช้กล้ามเนื้อ ทานยาให้ครบ และตรงเวลา โรคนี้อาจใช้เวลารักษานานกว่าจะหาย แต่ญาติก็ต้องเผื่อใจไว้บ้างนะครับ เพราะไม่ใช่ทุกเคสที่กลับมาเป็นปกติ”
“ค่ะ”
“มีอีกเรื่องที่ผมจะอยากแนะนำ ก็คือเรื่องโรงพยาบาล อยากแนะนำให้ทางญาติพาคนไข้ไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนที่ดีกว่านี้นะครับ ทางนั้นจะมีบุคลากร และเครื่องไม้เครื่องมือในการรักษาที่ทันสมัยมากกว่าที่นี่”
“แล้วหนูต้องทำยังไงคะ?”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ทางโรงพยาบาลจะจัดการเรื่องส่งตัวคนไข้เอง ส่วนทางญาติแค่เตรียมเอกสารของคนไข้ให้พร้อมรอไว้ได้เลยครับ”
“ค่ะ ยังไงหนูจะแจ้งอีกทีนะคะ”
“ได้ครับ งั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ”
คล้อยหลังคุณหมอไป บัวบูชาตานั่งลงข้างเตียง มือบางกุมมืออันหยาบกร้านของผู้เป็นแม่ไว้แน่นดวงตาคู่สวยแดงระรื่น เพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักทั้งคืน
“แม่ไม่ย้ายนะลูก มันแพง เราไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น”
“แม่ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องเงินหนูจัดการเอง แม่แค่รักษาตัวเองให้หายก็พอ เรื่องอื่นแม่ไม่ต้องห่วงนะ” บัวบูชาพูดกับผู้เป็นแม่
“แล้วลูกจะไปหาเงินมาจากไหนตั้งเยอะแยะ แค่ค่าจ้างพยาบาลพิเศษก็แทบจะไม่พอแล้ว”
นางอุบลพูดไปร้องไห้ไป สงสารลูกสาวเพียงคนเดียวจับใจ ตอนนี้เป็นที่พึ่งให้ลูกไม่ได้ แถมยังมาเป็นภาระให้ลูกอีก ด้วยโรคที่เป็นอยู่ทำให้ช่วงล่างครึ่งตัวอ่อนแรง ขยับไม่ได้ แม้ไม่ได้นอนติดเตียง แต่ก็ต้องนั่งรถเข็นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
มือเหี่ยวย่นหยาบกร้านเพราะทำงานหนักมาเป็นเวลานานยกขึ้นลูบหัวทุยสวยเบา ๆ บัวบูชาใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นแม่ ใบหน้าสวยหวานจิ้มลิ้มเชิดขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แม่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ หนูหาได้จ้ะ”
“แม่ขออย่างเดียว อย่าทำอะไรไม่ดี นะลูก”
ดวงตาคู่สวยไหววูบชั่วครู่เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพราะไม่อยากให้มารดาคิดมาก
“หนูไม่ไปโกง หรือขโมยเงินใครมาหรอกจ้ะ แม่ก็รู้นิสัยหนูดี แบบนั้นหนูไม่ทำหรอก” บัวบูชาให้คำมั่นสัญญา
“จ้ะ แม่เชื่อ”
ตี๊ดดเสียงสัญญาณประตูห้องดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มแสนมีเสน่ห์ ศิราในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก กับกางเกงสแล็กส์สีกรม มันช่างดูเข้ากันเป็นอย่างมากในสายตาของบัวบูชาคนร่างสูงยื่นเสื้อสูทสีเดียวกันกับกางเกงให้คนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังมองมาที่เขานิ่งราวกับรูปปั้น“หนู เป็นอะไรคะ?”“เปล่าค่ะ” บัวบูชาตอบพร้อมกับส่ายหัวรัว ทำให้ศิรายิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“พี่ศิรา จะทานข้าวหรือว่าอาบน้ำก่อนดีคะ?”“พี่ว่ากินข้าวก่อนดีกว่า ถ้าอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะไม่ได้กินข้าวเอา”“…”ร่างบางอึกอัก ทำตัวไม่ถูกกับคำพูดเย้าหยอกของอีกฝ่าย ใบหน้าจิ้มลิ้มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวลูกตำลึงสุกจนลามไปถึงใบหู“หน้าแดงใหญ่แล้ว หนูเขินเหรอคะ?” ร่างสูงเอ่ยแซว“พี่ศิรา ไม่แกล้งหนูสิ”“โอเคค่ะ พี่ยังไม่แกล้งตอนนี้ เรามากินข้าวกันก่อนดีกว่าเนอะ ตอนนี้พี่หิวมากเลย”“โห น่ากินจังเลยครับ” ศ
มือเรียวสวยหยิบนามบัตรใบเล็กสีดำขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ของคืนนี้แล้วก็ไม่อาจนับได้ “ศิรา กิจธนะวรกุล” ชื่อเจ้าของนามบัตรเด่นชัดอยู่ตรงหน้า พร้อมเบอร์โทรติดต่อ“เฮ้ออออ” เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นจากร่างบาง ทำให้ใบตองที่นั่งข้าง ๆ หันมามองด้วยความสงสัย“พี่บัว เป็นอะไรไปตองเห็นพี่ทำหน้ากลุ้มใจแบบนี้มาหลายวันแล้วนะ” หญิงสาวอดไม่ได้จึงเอ่ยถามออกไป“พี่มีเรื่องให้ตัดสินใจนิดหน่อยน่ะ”“ปรึกษา ตอง ได้นะพี่” ใบตองสาวสวยเด็กนั่งดริ๊งก์ประจำร้านเอ่ย“ขอบใจจ้ะ”“ว่าแต่ช่วงนี้ไม่เห็นคุณศิราเลยเนอะ ปกติเขาจะมาหาพี่เกือบทุกคืน” หญิงสาวชวนคุย“บ้า มาหาพี่ที่ไหนกัน” บัวบูชา ก้มหน้าพูดกลบเกลื่อน“แหม พี่บัว ใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้น ดูก็รู้ว่าคุณเขาชอบพี่มาก ๆ เลยนะ”“…”“เป็นตองนะ ไม่ปล่อยให้หลุดมือหรอก ถึงไม่ได้เป็นแฟน เป็นกิ๊กก็ยังดี”“เดี๋ยวเหอะ แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา
“แหมมมม มึง วาสนาคนเรานี่มันไม่เท่ากันซะจริงจริ้ง มึงว่าไหม?”“นั่นนะสิ บางคนทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด ทิปไม่ได้สักบาท” บัวบูชาหยุดชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวเดิน เนื่องจากได้ยินเสียงพูดคุยของพนักงานหญิงสาวสองคนที่อยู่ตรงทางเดินแว่วมาเข้าหู“ส่วนคนบางคนเดินชม้อยชม้ายส่งสายตายั่วแขกก็ได้ทิปเป็นปึก ๆ สบายไปเลย ตอนนี้เดือน ๆ ได้หลายหมื่นแล้วมั้ง”“ก็วาสนามึงมีไม่เท่าเขาอะเนาะ ก็ต้องทำใจ”“แล้วก็ชอบทำเป็นเล่นตัวนะ อ่อยคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แต่ละคนหน้าไม่เคยซ้ำ”บัวบูชาหยุดฟังจนบทสนทนาดังกล่าวจบไป ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง ทำได้แค่ก้มหน้าเดินผ่านไป เลี่ยงทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนากระแหนะกระแหนเมื่อสักครู่หญิงสาวไม่ต้องการเป็นศัตรูกับใคร ที่มาทำงานก็เพื่อหาเงิน ใครจะคิดยังไง จะว่ายังไงเธอไม่สน ร่างบางรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนยังไง ผู้หญิงพวกนั้นก็แค่พวกขี้อิจฉา ที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองไม่ได้ ก็เท่านั้น“คุณศิรา รอนานไหมคะ” หลังเลิกงานบัวบูชารีบเดินออกมาจากร้านทันทีเพราะกลัวว่าอีก
บัวบูชาหลังจากที่เดินออกมาจากโต๊ะนั้น หญิงสาวก็เข้ามาสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ จากตอนแรกที่ใจเต้นแรงเพราะใบหน้าหล่อเหลานั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นอารมณ์โกรธมากกว่า นึกว่าจะแตกต่างจากผู้ชายคนอื่น ที่แท้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่แกหวังอะไรอยู่เนี่ย บัวบูชา ผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ ขณะกำลังจะก้าวขาออกจากห้องน้ำ ร่างบางก็ต้องสะดุดกับชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนแทบจะสิงกันอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องน้ำบัวบูชาตกใจตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นชัด ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร ตอนนี้จะออกไปก็ไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ยืนฟังบทสนทนาที่ดังแว่วมาเบา ๆ“คืนนี้ คุณศิรา มีนัดที่ไหนต่อไหมคะ?” สองแขนเรียวถือวิสาสะยกขึ้นคล้องคอหนาของศิราเอาไว้“ไม่มีครับ” ศิราตอบกลับ พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นโอบรอบเอวของเจ้าหล่อน ใครมันจะยอมให้ผู้หญิงยั่วอยู่ฝ่ายเดียว เขาก็เสือผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องโปรยเสน่ห์เขาถนัดนัก“งั้น คืนนี้ไปดื่มต่อที่ห้องดาวไหมคะ?”“ชวนผู้ชายไปที่ห้อง คุณดาว ไม่กลัวเหรอครับ?” ศิราเอียงคอมองผู้หญิงตรงหน้าเล็กน้อย อย่างล
หลังจากวันนั้นก็เป็นเวลากว่าสี่เดือนแล้ว ที่บัวบูชาทำงานที่บาร์แห่งนี้ ตอนนี้เรียกได้ว่าเธอรู้จักพนักงานในร้านทุกคนแล้ว โดยเฉพาะรุ่นน้องที่ชื่อใบตอง อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปีใบตองคือคนที่คอยช่วยเหลือเธอตลอดทั้งเรื่องงานหรือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเวลาเจอกับพวกลูกค้าผู้ชายที่มือไวใจเร็ว ชอบแตะนิดแตะหน่อย หรือพวกที่ชอบพูดจาสองแง่สองง่าม แทะโลมต่าง ๆ นานาแรก ๆ บัวบูชาก็ทำตัวไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ แต่พอปรับตัวได้หญิงสาวก็เริ่มเอาตัวรอดเป็น อยู่ต่อหน้าลูกค้าก็พูดจาคะขา เอาอกเอาใจเก่ง ทำให้ตอนนี้รายได้จากทิปคืนหนึ่งก็ปาไปเกือบสี่พันบาทแล้วแต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าทุกคนในร้านจะดีกับเธอทุกคน มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด โดยเฉพาะกับพวกสาว ๆ ที่ทำงานที่ร้านมาก่อน พอเธอเข้ามาทำงานได้ไม่นาน ก็เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า ทำให้คนพวกนั้นไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่บัวบูชาตัดความฟุ้งซ่านทิ้งไป ทุกวันนี้เธอพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแค่นั้นก็พอ ตอนนี้เธอต้องรีบกอบโกยเงินให้ได้มากที่สุด เพราะปลายเทอมหน้าก็เป็นเทอมสุดท้ายของภาคเรียนแล้วซึ่งเป็นเวลา
ในเช้าวันจันทร์ที่อากาศสดใส บัวบูชาตื่นมาช่วยแม่เตรียมของตอนตีสามเหมือนเช่นเคย เช้านี้เธอได้ยินแม่บ่นว่าปวดขามากกว่าทุกวัน แถมอาการหายใจติดขัด หอบเหนื่อยง่ายที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้บ่อย ๆ ก็เหมือนจะมีอาการมากกว่าทุกวันที่ผ่านมา“แม่ไหวไหมจ๊ะ? ถ้าไม่ไหววันนี้หนูขายเอง” บัวบูชาเอ่ยหลังสังเกตเห็นสีหน้าซีดเซียวของผู้เป็นแม่“แม่ไหวลูก มีเรียนก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงแม่” อุบลเอ่ย“แม่...แม่อย่าฝืนนะ เดี๋ยวจะไม่ไหวเอา”“แม่ยังไหว บัวเตรียมของไว้ให้แม่ก็แล้วกัน แม่ขอไปนั่งพักก่อน เดี๋ยวตีห้าแม่ออกไปช่วยขาย”“จ้ะแม่ แต่ถ้าวันนี้อาการยังไม่ดีขึ้น เย็นนี้หยุดขายผัดไทยก่อนนะแม่ เลิกเรียนหนูจะรีบกลับบ้าน” บัวบูชาที่ยังรู้สึกเป็นห่วงจึงเอ่ยกำชับผู้เป็นแม่อีกครั้ง“จ้ะ”ครืน ครืน เสียงสั่นจากโทรศัพท์เครื่องเล็กซึ่งตกรุ่นมาหลายปีแล้วดังขึ้น เพื่อนที่นั่งเรียนข้าง ๆ ได้ยินเสียงสั่นก็หันมามอง บัวบูชารีบล้วงมือถือขึ้นมาจากกระเป๋าผ้าใบเก่งพบว่าเป็นเบอร์ของแม่ที่โทรเข้ามา คิ้วขมวดเป็นปมอย่างนึกสงสัยว่าผู้เป็นแม่มีธุระอะไร มือบางจึงรีบกดรับสายทันที“แม่ ว่าไงจ๊ะ”“สวัสดีครับ ผมโทรจากกู้ภัยนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป