ตกดึกข้านั่งหลุบตามองท้องตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งโกรธ เกลียด แค้น ตั้งใจจะหลีกหนีออกไปอยู่ที่อื่น พอคลอดออกมาก็จะมอบเด็กให้เป็นบุตรคนเล็กของท่านพ่อ นี่คือแผนการที่ผุดขึ้นมาในหัวก่อนหน้านี้
แต่คำกล่าวของเจี่ยเจียกลับลบล้างความคิดเห็นแก่ตัวนี้ เด็กที่เกิดมาไม่ผิด ที่ผิดคือบุรุษต่ำทรามผู้นั้น
เอาเถิด…วันนี้ยังไม่อาจทำใจได้ พลันพออุ้มท้องไปประเดี๋ยวก็เกิดความผูกพันขึ้นมาเอง ข้ากล่าวปลอบใจตนเองอยู่นานก็ถึงคราเข้านอน สูดดมกลิ่นหอมของสมุนไพรคลายความเครียดที่พ่อบ้านหมิงนำมาให้ยามเย็น และนอนหลับสนิทลงไปในที่สุด
ความมืดที่จมดิ่งและเงียบสงบ แต่มิใช่ว่าจะไม่มีพายุ เปรียบดั่งใจมนุษย์ ความกลัวที่เกิดขึ้นจากการทรมาน ความเจ็บที่เกิดขึ้นจากการไม่ยินยอม และการยัดเยียดในสิ่งที่ไม่ต้องการ เป็นสิ่งที่ส่งผลตรงกับจิตใจและความรู้สึกของคนเรา
ภายนอกที่สงบนิ่ง หากจิตใจและความรู้สึกยังจดจำ มันยังฝังรากลึกอยู่ภายใต้จิตใจของพวกเขา
ไป๋ซิงหนี่ว์เองก็เป็นเช่นนั้น ความเจ็บปวดนี้ถูกระบายออกมาจากจิตใต้สำนึกยามนางนอนหลับ ทุกค่ำคืนฝันร้ายนั้นจะวกกลับมาใหม่ ต้นขาทั้งสองสั่นระริกแนบเข้าหากัน ฝ่ามือจิกลงที่นอนเกร็งจนเห็นเส้นเลือด
ความเจ็บทางกายที่ไม่ยินยอม และทางใจที่ถูกยัดเยียด มิต้องเอ่ยถึงเลยว่าสำหรับครั้งแรกของสตรีจะโหดร้ายแค่ไหน มันปวดร้าวฉีกขาด เจ็บแสบมากเพียงใด เมื่อมิได้มีความรู้สึกร่วมด้วย ยังต้องใช้เวลาในการรักษาตัวอยู่นาน และลำบากในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก
ความเลวร้ายทั้งหมดคือสิ่งที่จิ้นฝานทิ้งเอาไว้ให้กับนาง นางที่ไม่เคยข้องแวะกับเขา หรือยุ่งเกี่ยวกับเขาแม้แต่น้อย นางที่แทบไม่เคยสนทนาด้วย แต่ไฉนกลับเป็นที่ระบายอารมณ์ใคร่ของเขาไปได้
ณ กลางดึกนี้ ดวงหน้างามซีดเซียวทรุดโทรมตามสภาพจิตใจ นอนกระสับกระส่าย เหงื่อผุดเต็มกรอบหน้า และแผ่นหลัง เสียงคร่ำครวญที่ดังลอดออกปากริมฝีปากแห้ง คำกล่าวเว้าวอนขอความเห็นใจจากปีศาจชั่วช้าที่นางเผชิญอยู่ในฝัน ฝ่ามือใหญ่ของมันเอื้อมเข้ามาใกล้ ดวงหน้าหยิ่งทระนงกำลังยิ้มเยาะบีบแขนนางเอาไว้แน่น
ความเจ็บปวดนี้ถ้าไม่รู้สึกหรือเจอด้วยตนเอง ไม่ละเอียดลออต่อความนึกคิดหรือเห็นใจแล้วไซร้ ก็ไม่อาจเข้าใจความทุกข์ที่นางเผชิญอยู่ได้ มันถือเป็นฝันร้ายตามหลอกหลอนให้ทรมานใจ ราวกับเป็นเงาตามตัวมิมีผิด
“ข้าเจ็บ...ปล่อยข้าคุณชายจิ้น!” พรึบ! ข้าสะดุ้งกายตื่นขึ้นมากลางดึกจนกลายเป็นเรื่องปกติ นอนหายใจเข้าออกๆ ให้ใจเย็นลง แล้วยกแขนเช็ดเหงื่อที่ไหลเปียกหน้า
มันถึงคราที่ข้าจะต้องจริงจังต่อความรู้สึกตัวเองเสียที มิเช่นนั้นอาจจะส่งผลต่อเด็กในท้องได้ ถ้านอนหลับครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้
วันรุ่งขึ้น
ข้าตื่นแต่เช้าขึ้นมาอ้วกด้วยอาการแพ้ท้อง หาใช่เพราะอาการเครียดอย่างที่เคยคิดเอาไว้ เมื่อจัดการตัวเองเข้าที่แล้วจึงเดินไปร่วมกินมื้อเช้าที่ตัวคฤหาสน์อย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว
ข้ามองถ้วยข้าวตนเอง ใจจดใจจ่อเพื่อจะหาวิธีรักษาอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นทุกๆ คืน เพราะเวลานี้ตัวข้าหาใช่คนเดียวเหมือนเมื่อก่อน ตั้งใจว่าจะดูแลเด็กที่เกิดมาให้ดี และไม่ทำร้ายเขา ผู้บริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งวุ่นวายมันมิใช่ความผิดของเขาที่ต้องมาร่วมรับกรรมนี้
ไป๋ซิงหนี่ว์อยู่ในความคิดของตนเอง เหม่อมองถ้วยข้าว ส่วนมือก็คีบอาหารร่วงหล่นวนเวียนอยู่เช่นนั้น ทำให้ไป๋มี่อิงที่นั่งสนทนาหยอกเย้ากับเหล่าฮูหยินทั้งสองนั่นคือ เยี่ยเปาและจิวเซียนจึงเอ่ยขึ้น
“เม่ยเหม่ย…วันนี้ออกไปเที่ยวเล่นที่โรงเตี๊ยมหรือไม่ วันนี้ข้าจะพาจิวเซียนและคุณชายเยี่ยไปด้วย ถ้าไปกันหลายๆ คนคงจะสนุกสนานกันมิน้อย”
“เจี่ยเจีย…” ข้าได้สติคืนกลับ ลังเลใจอยู่ว่าจะไปดีหรือไม่ แต่เกือบหนึ่งเดือนมานี้ก็เอาแต่อยู่ในคฤหาสน์ ข้าควรจะออกไปเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย อย่างน้อยๆ ข้าควรจะไปพบปะผู้คน ดีกว่าอุดอู้จมอยู่แต่ในความคิดของตนเอง ถึงได้กล่าวตกลงออกไป
“ไปเจ้าค่ะ”
“เยี่ยมไปเลย…” ไป๋มี่อิงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง เวลารวบรัดเข้ามาทุกที ปล่อยรั้งไว้นานกว่านี้มีหวังท้องไป๋ซิงหนี่ว์คงโตขึ้นจนเห็นได้ชัดเจน นางต้องรีบจัดการให้เสร็จภายในสามเดือนนี้
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จข้าจึงขอตัวกลับไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ อืม...ว่าแต่แต่งกายเช่นไรดี ข้าเลือกหยิบอาภรณ์ที่ออกแบบเรียบง่ายสามชุด จากนั้นมินานก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงสาวใช้ของเจี่ยเจีย
“เสี่ยวเมิ่งเองเจ้าค่ะคุณหนูรอง คุณหนูใหญ่ส่งข้ามาเป็นบ่าวประจำตัวดูแลท่าน” เสี่ยวเมิ่งเอ่ย
“เข้ามาเลย ข้ามิได้ขัดไม้” ข้าตอบนาง
“ว่าแต่คุณหนูทำอันใดอยู่หรือเจ้าคะ” เสี่ยวเมิ่งเอ่ยถามคุณหนู
“กำลังเลือกชุดอยู่ เจ้าว่าข้าควรจะใส่สีไหนดี ระหว่างสีเหลืองกับสีฟ้า” ข้าเอ่ยถาม
“สีไหนก็เหมาะกับคุณหนูทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งปากหวานกล่าวเอาใจ
“ตอบมา ข้าต้องการให้เจ้าเลือก มิใช่มากล่าวเอาใจเช่นนี้” ข้าเอ่ยไปตามตรง
เสี่ยวเมิ่งยิ้มแห้งๆ นางลืมนึกไปเลยว่าคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรองนั้นต่างกัน คุณหนูใหญ่อะลุ่มอล่วยอะไรก็ได้ อีกทั้งยังใจดี แต่คุณหนูรองนั่นค่อนข้างเนี้ยบเป็นพิเศษ ถ้าจะกล่าววาจาหยอกล้อเล่นด้วยจะถูกตอกกลับตรงไปตรงมาเช่นนี้
“แฮ่ม...สีเหลืองก็ดีนะเจ้าคะ ดูสดใสดี” เสี่ยวเมิ่งกระแอมคอก่อนจะกล่าวออกไป
“เอาสีเหลืองตามเจ้ากล่าว...ประเดี๋ยวมาช่วยทำผมให้ข้าด้วย” ข้ากล่าวจบก็เดินไปหลังฉากไม้กั้นฉลุลายเถาวัลย์องุ่น ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อย และเดินกลับมานั่งโต๊ะเครื่องแป้ง
“ปากเขายังเล็ก เมื่อโตขึ้นมาหน่อยสองเดือนสามเดือนได้ เขาก็จับดูดถึงลานนม...แต่จะว่าไปแล้วนั้นเหมือนตอนที่เสี่ยวฝานดื่มนมข้าไม่มีผิด” ฮูหยินหม่านกล่าวขึ้น ทำสีน่าปลื้มปริ่มมองเอ้อเหอเสี่ยงพอสิ้นคำกล่าวของท่านแม่ ในหัวก็แล่นภาพดวงหน้าคุณชายจิ้นซ้อนทับกับลูกขึ้นมาทันที ข้าอุตส่าห์ลืมไปแล้วเพราะความเจ็บ ไฉนความคิดนี้ถึงวกกลับมาได้อีกกันเมื่อสลัดภาพคุณชายจิ้นออกจากหัว ภาพอาเอ้อยามขยับปากดูดนมกลับทำให้ข้ามีความสุขถึงแม้ว่าจะเจ็บจนร้องไห้ก็ตามทีกินเก่งเช่นนี้ต้องเหลือให้น้องอีกสองคนด้วยรู้หรือไม่ ข้าเอ่ยกับเขาในใจ แล้วเหลือบตาไปมองอาลิ่ว อาปา ที่กำลังร้องไห้อยู่ ดูท่าหนทางให้นมลูกวันนี้ยังอีกยาวไกลนัก…เรือนซิ่วของจิ้นฝานด้านข้างจะมีต้นไม้ใหญ่ ถ้ายืนใต้ต้นไม้นั้นจะมองทะลุหน้าต่างเรือนเข้าไปด้านในเป็นห้องนอน และมองเห็นจิ้นฝานที่กำลังผลัดเปลี่ยนมาสวมเป็นชุดขุนนางในยามนี้ ขยับปากกล่าวกับสวี่เจียวไปด้วย ไม่รู้ว่าเขากล่าวอะไรออกมาถึงทำให้สวี่เจียวตกใจอยู่ไม่น้อยนํ้าเสียงของคนทั้งสองเบาราวกับสายลม แต่เนื้อหาของบทสนทนาน่าจะดูตกใจอยู่มาก จนทำให้สวี่เจียวที่ยืนถือเสื้อคลุมนั้นถึงกับมือไม้อ่อนทำเส
พลันเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง เสียงหยอกล้อผสมกับเสียงร้องไห้ก็ดังกระทบเข้ามาที่หูจากห้องด้านข้าง ตอนแรกที่ได้ยินก็ไม่คิดว่าจะดังถึงขั้นแสบหูเช่นนี้ “คุณชายน้อยลิ่วร้องโยเยไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ” เสียงที่ดังลอดออกมาคือแม่นางเฉินข้าจึงผลักประตูเข้าไปในห้องเห็นคุณชายจิ้นนั่งนิ่งยกนํ้าชาขึ้นจิบอย่างสงบ ปรายตามองมาทางข้า ท่ามกลางความวุ่นวายที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาท่านแม่กล่อมเด็กอ่อนใบหน้าที่เหมือนกับคุณชายจิ้น ฮูหยินเฒ่ามีสีหน้าตระหนกไม่ต่างกัน อุ้มเด็กน้อยที่มีใบหน้าเหมือนคุณชายจิ้น แม่นางเฉินหางตาตก สีหน้าอมทุกข์ อุ้มเด็กหน้าเหมือนคุณชายจิ้นคุณชายจิ้นหนึ่ง คุณชายจิ้นสอง คุณชายจิ้นสาม คุณชายจิ้นสี่ บ้าจริง! บุตรชายแฝดสามคนได้พ่อของเขามาทั้งหมดราวกับคุณชายจิ้นแยกร่าง และย่อส่วนลงให้ตัวเล็กลงขนาดกะทัดรัด“หนี่ว์เอ๋อร์ตื่นแล้วหรือ พวกเขากำลังหิวนมพอดีเลย” ฮูหยินหม่านกล่าว ก่อนหน้านี้ก็ให้แม่นมป้อนไปแล้ว กินจุบจับไปห้าหกทีก็ไม่ยอมกินอีก“เห็นตัวเล็กหน้าซื่อๆ แต่กลับเลือกกินตั้งแต่เด็ก” ฮูหยินเฒ่ากล่าวบ่น ใช้นิ้วเขี่ยลงไปที่หน้าผากปาเหอเสี่ยง หรือเจ้าแปดที่ร้องไห้ลั่นในอ้อมแขนของนาง“เหมือนพ่อเขา
“ดูเล็กไปหมดเลยขอรับ จมูก ปาก หู” จิ้นฝานกล่าวไปตามที่เห็น ภาพน้องสาวน้องชายของเขาที่เคยอุ้มยามเด็กเลือนรางไปตามกาลเวลา พอมาวันนี้ความรู้สึกนั้นก็ย้อนกลับมาอีกครั้งมันหอมหวานไปด้วยความสุขความยินดีอยู่ด้านในอกของเขาคล้ายจะล้นทะลักออกมาข้างนอก“อาฝาน เจ้าต้องเป็นนักคัดลอกฝีมือดีเป็นแน่” ฮูหยินเฒ่ากล่าวเย้า“ทำไมหรือเจ้าคะ” ฮูหยินหม่านเอ่ยถามอย่างสงสัยในคำกล่าวนั้น“เจ้าดูเสีย ราวกับเอาหน้าอาฝานมาแปะไว้” ฮูหยินเฒ่ากล่าว หลุบตาลงมองเหลนชายที่อุ้มเอาไว้“ฮ่าๆ” ฮูหยินหม่านได้ยินก็ลั่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ หันไปลูบหัวบุตรชายพร้อมกับกล่าวไปด้วยว่า“สงสัยว่าตอนทำ เจ้าคงจะขยันปั้นน่าดู”จิ้นฝานที่ได้ยินก็หลุบตาลงมองเอ้อเหอเสี่ยง คืนนั้นมันบางเบาราวกับหมอก พร่ามัวอยู่ในความทรงจำ ครุ่นคิดเท่าไรก็ครุ่นคิดไม่ออก ส่วนไหนของคุณหนูรองหน้าตาเป็นแบบไหนเขาเองก็จำไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาก็รู้เพียงแค่ว่าปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว ยิ่งช่วงเอวมิต้องกล่าวถึงเมื่อแวะหามาลูกแล้วนั้นก็ถึงคราไปหาแม่ของลูกชายที่ห้องนอนใหญ่ด้านข้าง เขานั่งลงบนเตียงลูบหัวฮูหยินน้อยที่นอนหลับอย่างเบามืออยู่เนิ่นนาน…สัมผัสเบาๆ ที่หัว
“ฮึ เวลาผ่านไปเร็วนัก ยามนั้นท่านยังเป็นเด็กหนุ่ม มาบัดนี้เติบโต ดูทระนง และสง่าสมฐานะเสนาบดีฝ่ายขวาในอนาคตอย่างยิ่ง” เสนาบดีจางกล่าว สายตามองลึกเข้าไปในดวงตาดุดันของชายหนุ่มที่ยืนเบื้องหน้า“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น” จิ้นฝานตอบเสียงนิ่ง หน้านิ่งกวาดตามองเหล่าฮูหยินของเสนาบดีจางที่นั่งตัวสั่นภายในห้องนับผ่านทางสายตาขุนนางเฒ่าผู้นี้มีภรรยาสิบคน แต่กลับมีบุตรเพียงไม่กี่คนเท่านั้น บุตรชายห้าคน บุตรสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนที่ยังไม่แต่งออกไป“ข้าขอสนทนากับท่านในฐานะที่เคยเป็นเจ้านายกับลูกน้องกันมาหลายปีหน่อยเถิด ไท่จื่อจะลงโทษตัดสินตระกูลจางถึงโทษขั้นไหน” เสนาบดีจางถามเสียงอ่อน ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหมดหวัง“โทษประหารเก้าชั่วโคตร โทษของผู้ที่คิดคดก่อกบฏไม่มีผ่อนปรน” จิ้นฝานตอบตามตรง หลุบตาลงมองชายชราที่นั่งมือสั่น วางกับพนักแขน“แต่พวกนาง และพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าจะรับโทษไว้ทั้งหมด” เสนาบดีจางที่นั่งก้มหน้าลงเอ่ยขึ้น“ท่านเป็นถึงเสนาบดี คงจะทราบดีว่าโทษนี้ไม่อาจเลือกปฏิบัติได้ เมื่อทำผิดใหญ่หลวง ย่อมต้องรับผิดชอบทั้งหมดร่วมกัน” จิ้นฝานตอบเสียงนิ่ง“คุณชายจิ้น...” เสนาบดีจางเงยหน้าขึ้นสบดวงต
จิ้นฝานมองมือของนางที่ยกค้างกลางอากาศแล้วยิ้มออกมา ก่อนจะหลับตาลงและขยับหน้าไปแนบกับฝ่ามือของนางอย่างช้าๆ นิ่งค้างสักพัก แล้วดึงหน้ากลับมาลืมตาช้าๆ มองภาพสะท้อนตัวเองบนดวงตาคู่หวานของนาง“เจอกันวันพรุ่ง” จิ้นฝานกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้าย หมุนกายกลับหลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรีบร้อนข้ายืนนิ่ง และสูดลมเข้าจมูก เมื่อครู่นี้...เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น สัมผัสนั้นราวกับความฝันเสี่ยวเมิ่งยืนมองฮูหยินน้อยที่ยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง นางจึงส่ายหน้าเบาๆ ในท่าทีของนายท่าน จะไม่ให้ฮูหยินตกใจได้อย่างไร อยู่ๆ ก็ใช้ข้ออ้างมาขอเบี้ย เพื่อมาลาภรรยาก่อนจะออกไปทำงานใหญ่ ยังมิวายหยอดสาวงามหนึ่งที แล้วรีบวิ่งหนีไปเสียดื้อๆ ลูกเล่นเขานับว่าแพรวพราวขึ้นทุกวัน“เสี่ยวเมิ่ง เจ้าเห็นเหมือนที่ข้าเห็นหรือไม่...” ข้าเอ่ยเสียงขาดหายหันหลังกลับไปถามนางด้านหลัง“นายท่านตั้งใจจะแวะมาลาฮูหยินน้อยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวไปตามตรง“เขาต้องเพี้ยนไปเป็นแน่” ข้าเอ่ย เอามือที่สัมผัสหน้าคุณชายจิ้นก่อนหน้านี้มากุมเอาไว้ แล้วเดินเข้าเรือนไปตอนนี้คล้ายกับว่าในหัวใจเหมือนมีกลีบบุปผาเบ่งบานอยู่เต็มไปหมด จะให้บรรยายออกมานั้นข้าเองก็ไม่อาจเข
๑๑ฝูงลิงเมื่อดอกเหมยโรยราร่วงหล่นลงพื้นจนหมดต้นแล้วนั้น มันก็เริ่มผลิใบอ่อนขึ้นมาใหม่มีสีเขียวเต็มต้น จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงผลัดใบออก บ่งบอกถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปอีกหนึ่งฤดู ยามนี้ข้านั่งเล่นตรงระเบียง เอนตัวพิงหมอนด้านข้าง นั่งดูสีใบไม้ในสวนผ่านแสงจันทร์สีนวลในคืนนี้ท้องของข้าขยายใหญ่มาก ไม่ใช่มากธรรมดา มันใหญ่มากของมาก มิใช่แฝดสองที่คิดเอาไว้ ท่านหมอกล่าวบอกว่าน่าจะแฝดสามหรือไม่ก็แฝดสี่ได้ ถ้าดูจากขนาดท้องนี้ก่อนหน้านี้สองเดือนเกือบสามเดือนได้ คุณชายจิ้นมาขอยุติข้อตกลงไว้ชั่วคราวก่อน เพราะเขาติดทำภารกิจ ต้องกลับเรือนดึกดื่นเกือบเช้าทุกวัน จึงไม่อยากเข้ามากวนข้ากับลูกยามดึกข้าเองก็ไม่ติดใจอันใด เพราะรู้ว่าเขานั้นกำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องในวังหลวง จึงกลายเป็นว่าเห็นหน้าเขาไม่เกินสิบครั้งได้กระมังที่ผ่านมา แต่ละครั้งที่เจอก็ตอนมาขอเบี้ยรายเดือนของเขา เดือนไหนเบี้ยหมดไวก็อาจจะเจอสองครั้งสามครั้งต่อเดือน ไม่รู้ว่าเอาเบี้ยไปเททิ้งหรืออย่างไร หมดเร็วยิ่งนักส่วนเจ้าโซว่ก็ตัวโตขึ้น มันเป็นพันธุ์ผสมหมาป่า รูปร่างจึงใหญ่กว่าสุนัขบ้าน มีเรียวขาที่ยาวตัวสูงปราดเปรียวสีขาวฟูฟ่อง แต่กลับมีนิสัย