“เอ่ออออ” ข้าอ้ำอึ้งอยู่ในคอด้วยความตระหนกตกใจ ไม่คิดว่าเจี่ยเจียจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเร็วเช่นนี้ แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีเรื่องใดที่จะปกปิดนางเอาไว้ได้เลย
“ใช่เขาใช่หรือไม่” ไป๋มี่อิงถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงดุ
ข้าสะดุ้งกายขึ้นตามเสียงของนาง ในหัวสับสนว่าจะกล่าวออกไปดีหรือเปล่า ถ้านางรู้เรื่องแล้วก็ควรจะยอมรับออกไป และขอร้องนางไปตามตรง
“ใช่เจ้าค่ะ...แต่เจี่ยเจียอย่าไปเอาเรื่องคุณชายจิ้นเลยนะเจ้าคะ”
ถ้าต้องแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นที่แสดงออกมาว่าไม่ชอบข้า และคนที่เขาชอบนั้นคือพี่สาวตนเองแล้วล่ะก็ ข้ายอมใช้ชีวิตอยู่กับลูกจนแก่ตายดีกว่าต้องมีชีวิตคู่ที่ขมขื่น ดูอย่างไรข้ากับเขาก็ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตฉันสามีภรรยาได้เลย เพราะต่างคนต่างไม่ได้รู้สึกดีต่อกันแม้แต่น้อย
“ได้เช่นไรกัน!!! เสี่ยวฝานมันต้องมารับผิดชอบเม่ยเหม่ยและลูกในท้องของมัน” ไป๋มี่อิงยังยืนยันคำเดิมด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงโทสะยามนี้ของนางที่ปะทุขึ้นมา
“เจี่ยเจียได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ถือว่าน้องขอร้อง” ข้ากลืนเสียงสะอื้นลงคอ กล่าวออกไปเสียงสั่น เว้าวอนนาง ยกแขนขึ้นกอดรัดเจี่ยเจียเอาไว้
ไป๋มี่อิงกัดฟันแน่น หลุบตามองท่าทางของไป๋ซิงหนี่ว์ นางมิอาจเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดถึงต้องปิดเรื่องนี้เอาไว้ จิ้นฝานทำผิด เขาต้องรับผิดชอบ เหตุใดไป๋ซิงหนี่ว์ต้องขอร้องและปกปิดด้วย
จะไม่ให้ไป๋ซิงหนี่ว์ปิดได้อย่างไร ที่จิ้นฝานขืนใจนางเพราะเขาเห็นนางเป็นตัวแทนไป๋มี่อิง ในคืนวันนั้นเขาคร่ำครวญพร่ำเรียกชื่อนางว่า ‘มี่เอ๋อร์’ นางไม่อยากให้พี่สาวตนเองมารับรู้เรื่องราวชวนปวดใจเหล่านี้
ไป๋มี่อิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ราวกับว่ากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก พอคิดออกถึงได้กล่าวขึ้น
“แต่...เฮ้อ” นางกล่าวไม่ทันจบก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหัวเสีย และเอ่ยออกไปใหม่ “เอาเถิด แล้วแต่เจ้า” นางรับคำน้องสาวอย่างขัดใจ
“ขอบใจเจ้าค่ะ...ข้าจะมิกล่าวถึงเรื่องพวกนี้อีก” ข้ากล่าวบอกนางเสียงแผ่ว กระชับอ้อมกอดนางมากขึ้น มันช่างเป็นวันที่เหนื่อยล้ามากเหลือเกิน
เจี่ยเจียเปรียบดั่งท่านแม่อีกคนของข้า ทุกๆ เหตุการณ์ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ เศร้า ต่อให้ข้าเกเรและกลั่นแกล้งนางมากเพียงใด เจี่ยเจียก็มิเคยทอดทิ้งข้าไปไหน อยากได้สิ่งใด หายากเท่าไร พอวันพรุ่งของเหล่านั้นจะถูกวางเอาไว้ในเรือนเหมย
นางเหนื่อยกับข้ามามากพอแล้ว...ตอนนี้ยังหาเรื่องหนักใจมาให้นางเพิ่มขึ้นไปอีก ข้ามิเคยเป็นน้องสาวที่ดีเลยสักครา เอาแต่ใจมาตลอด เห็นนางทุกข์ใจเช่นนี้แล้วรู้สึกละอายใจเหลือเกิน
“พี่จะไม่กล่าวถึงมัน...” ไป๋มี่อิงกล่าวเสียงแผ่วเบา ในหัวครุ่นคิดหาแผนการเอาไว้เต็มหัว และกล่าวขึ้นอีก
“แต่ว่า...ปัญหามันใหญ่เกินกว่าสตรีผู้หนึ่งจะรับไหว” ไป๋มี่อิงกล่าวปลอบ ลูบแผ่นหลังที่สั่นไหวในอ้อมแขน
“เจ้ายังมีพี่…การตั้งท้องไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย พี่มองว่าเป็นเรื่องน่ายินดีเสียด้วยซ้ำที่จะมีเด็กเกิดขึ้น การให้กำเนิดชีวิตเล็กๆ ขึ้นมาเป็นเรื่องงดงาม” ไป๋มี่อิงเอ่ยขึ้นต่อ
“งดงามอย่างไรกัน...เด็กที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดนั้นน่ะหรือ” ข้าที่ซุกหน้าตรงอกนางเอ่ยขึ้น มองอย่างไรก็ไม่เห็นเป็นเรื่องน่ายินดีเลยสักนิดเดียว
“ซิงหนี่ว์ ถึงแม้ว่าเด็กจะเกิดจากความผิดพลาด แต่มันหาใช่ความผิดของเขาที่เกิดมาไม่ ถ้าพวกเขาเลือกเกิดได้ คงมิมาเลือกเกิดเป็นบุตรของบิดามารดาที่ไม่พร้อมหรอกนะ ในเมื่อผิดพลาดแล้วนั้นก็ต้องทำใจยอมรับ ถ้าวันใดที่ลูกเจ้าโตขึ้นมาแล้วรับรู้เรื่องราวในอดีตว่าแม่ของเขาไม่ต้องการ
มิคิดว่ามันโหดร้ายกับเด็กผู้หนึ่งเกินไปหรอกหรือ มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาแม้แต่น้อย ตอนเกิดก็เลือกเกิดไม่ได้ เลือกบิดามารดาตามใจก็ไม่ได้ สุดท้ายต้องเกิดมาเจอสภาพแวดล้อมที่น่าเศร้า ทั้งที่มิใช่ความผิดของเขาแม้แต่น้อย” ไป๋มี่อิงกล่าวอธิบายเนิบช้า
ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องเลือกที่จะมองทางให้สว่างขึ้น หากจมอยู่ในปัญหา จะมองหาทางออกได้อย่างไร
“แล้วมันใช่ความผิดของข้าหรืออย่างไร สุดท้ายผู้ที่ทุกข์ใจก็มีแต่ข้าผู้เดียว” ข้ากล่าวแย้ง คนที่แบกรับทั้งหมดคือข้า คนที่เผชิญหน้าคือข้า คนที่ต้องถูกตราหน้าก็คือข้า
“มันอาจจะไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้าก็จริง แต่เมื่อปัญหาเกิดขึ้น และไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ จึงต้องเรียนรู้จะมองมันให้กระจ่าง ฟังข้านะน้องรัก เจ้ามิต้องกังวลใจว่าผู้ใดจะนินทา พี่จะจัดการปัญหานี้ ขอแค่เพียงให้เจ้ากับหลานสุขภาพแข็งแรง ถึงแม้ว่าจะนานไปหน่อย แต่ปัญหาทั้งหมดจะคลี่คลายลง” ไป๋มี่อิงกล่าวอย่างใจเย็น
“ท่านส่งข้าไปอยู่ที่อื่นได้หรือไม่...ข้ามิอยากอยู่ในเมืองหลวงแล้ว” ข้าเอ่ยขอร้องนาง
“อดทนน้องพี่ ยิ่งเจ้าหายออกจากเมืองหลวงจะยิ่งชวนให้ผู้คนสงสัย” ไป๋มี่อิงเอ่ย
“ข้าต้องทำเช่นไร…ยิ่งช้าท้องข้าก็ยิ่งใหญ่ขึ้น” ข้าสูดลมหายใจเข้า แล้วกล่าวออกเสียงแหบปนสะอื้น
“เชื่อพี่อีกสักครา ดูแลตัวเองและหลานให้ดี อนาคตให้ข้าจัดการเอง” ไป๋มี่อิงตอบ
ข้านิ่งเงียบปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา มิแคล้วต้องให้นางแก้ไขปัญหาให้อีก แต่ยามนี้ข้าหมดหนทางแล้วจริงๆ ความหวังเดียวคือรอให้นางจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ให้จบลง…
ส่วนตัวข้าก็สบายตัว ทานอาหารได้คล่องคอมากขึ้น ถึงแม้จะยังมีอาการแพ้ท้องอยู่ก็ตามที หรืออาจจะเป็นเพราะคำแนะนำก่อนหน้านี้ที่ช่วยทำให้สบายใจมากขึ้นก็อาจเป็นไปได้ คำแนะนำของเขาคล้ายกับยาในรูปแบบหนึ่งเจิ้งเหรินอี้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นสีหน้าชื่นมื่นสดใสขึ้นของคุณหนูรองไป๋ ก็ก้มหน้าลงยกจอกชาขึ้นดื่ม แย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย และทอดสายตามองดูนางรำด้านหน้าต่อส่วนจิ้นฝานลุกจากที่นอน จัดอาภรณ์เข้าที่แล้วก็เดินออกจากกระโจมเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้เขาเดินไปนั่งโต๊ะด้านหน้าสุด ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างโต๊ะของเสนาบดีฝ่ายขวา และยังได้เอ่ยทักทายเสนาบดีจางออกไปสองสามประโยค“ซือจื๋อมานั่งโต๊ะเดียวกันเถิด” เสนาบดีจางเอ่ยเรียกอย่างเป็นมิตร“ขอรับ” จิ้นฝานรับคำ ลุกขึ้นไปร่วมโต๊ะและนั่งหลังตรง หลุบตามองบ่าวที่กำลังเทสุราลงจอกให้เขาเหตุใดต้องเป็นสุรา เพราะอากาศหนาวสุราจึงช่วยดับความหนาวภายในร่างกายลงได้หลายส่วน พวกเขาจึงนิยมนั่งจิบกันเรื่อยๆ ขณะล้อมวงสนทนาสายลมยามดึกพัดผ่าน ทำให้เปลวไฟในคบเพลิงวูบไหว สายลมนี้พัดเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของสุราในมือจิ้นฝานลอยเข้าจมูกมันเป็นกลิ่นหอมที่เหม็นชวนให้ลมในท้องก่อตัวเป็นพายุ ร
“ซิงหนี่ว์ เมื่อครู่คุณชายจิ้นมองทางนี้ด้วย” หลิงจูเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ เขย่าแขนเสื้อสหายเบาๆ“เหอะๆ” ข้าเพียงหัวเราะแห้งในคอ เขยิบกายหันหลังให้กับคุณชายจิ้นแทน วันนี้อากาศสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆ นับว่าเป็นวันดี เช่นนั้นแล้วจำเป็นต้องมองแต่สิ่งที่สบายใจและเป็นมงคล หากเห็นของอัปมงคล วันนี้อาจจะวิบัติเอาได้ทางด้านจิ้นฝานรับสุราต้มร้อนๆ ขึ้นมาเป่าไปได้สองลม เพื่อให้ความอบอุ่นคลายหนาวยามเช้า พลันก็ย่นคิ้วเข้า ขยับจอกสุราขึ้นมาจ่อจมูก ทำสีหน้ากระอักกระอ่วน และวางลงไปบนโต๊ะตามเดิมเสนาบดีจางเห็นท่าทางไม่สู้ดีของเขาจึงเอ่ยทักออกไปด้วยความสงสัย“สุรามิถูกปากหรือซือจื๋อ”“กลิ่นมิค่อยถูกจมูกขอรับ” จิ้นฝานตอบไปตามตรง“กลิ่นก็ปกติดีนี่” เสนาบดีจางเอ่ย ยกจอกสุราขึ้นมาดม เงยหน้าขึ้นมองจิ้นฝานอย่างแปลกใจ และเอ่ยขึ้นมาใหม่“ซือจื๋อลองยกขึ้นมาดมดูใหม่เถิด ถ้ากลิ่นยังเหมือนเดิมอาจจะเป็นจอกสุราที่ล้างไม่สะอาดกระมัง จะได้ให้บ่าวมาเปลี่ยนให้ใหม่”“ขอรับ” จิ้นฝานที่คิ้วยุ่ง หลุบตาลงยกจอกสุราขึ้นมาดมเฮือกหนึ่ง ท้องไส้ก็พลันปั่นป่วนขึ้นมาเสียดื้อๆท่านเสนาบดีจางทำตาโต ตกใจมองสีหน้าดำแดงที่เปลี่ยนมาอมเขียวร
๒ความจริงที่มาพร้อมความจำใจเขาผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบาและยืดกายขึ้น ปล่อยมือของนางวางลงช้าๆ และกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น“มีอาการทุกวันไหม”“เกือบทุกวันเจ้าค่ะ” ข้าตอบอย่างเข้าใจในคำถามของเขา“มีอาการอันใดอีกนอกจากอาเจียน” เจิ้งเหรินอี้กลับมาทำสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิมเอ่ยถามนางอีก“ไม่ค่อยอยากอาหาร ส่วนมากที่กินเข้าไปคือต้องกินอย่างหลีกเลี่ยงมิได้” ข้าตอบเสร็จก็เม้มปากเข้า มองสีหน้าเป็นมิตรของบุรุษตรงหน้า“อืม...อาการข้างเคียงช่วงนี้ท่านมีเรื่องให้คิดหนักหรือ หยินภายในจึงมิสมดุลเช่นนี้” เจิ้งเหรินอี้กล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและฟังรื่นหู“มีเจ้าค่ะ จะส่งผลร้ายหรือไม่เจ้าคะ” ข้าเอ่ยถามอย่างร้อนใจ"มากเกินจำเป็นก็ส่งผลร้าย ขนาดคนที่มีร่างกายดีก็ทรุดได้เช่นกัน” เจิ้งเหรินอี้กล่าวจบ ริมฝีปากบางก็ปิดสนิท และยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่เข้าใจในความทุกข์ของนางที่เก็บเอาไว้“ข้า…” เสียงแผ่วเบาลอดออกจากปาก หลุบตามองท้องตนเอง พยายามจะไม่คิด แต่มิอาจลบล้างความคิดและความทรงจำได้เลย และเงยหน้าขึ้นไปเอ่ยกับหมอเจิ้ง“ข้าควรจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”“คุณหนูไป๋หมายถึงร่างกายหรือสภาพจิตใจ” เจิ้งเหรินอ
“โป๊ยกั๊กนี่นำไปต้มดื่มทุกวันกับน้ำชา ไม่เกินสามวันจะเป็นปกติตามเดิม เจ้าเพียงแค่ข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น ข้านำติดกายมาด้วยเพียงเล็กน้อย ถ้าหมดก็ไปขอเอาได้จากในครัว” เจิ้งเหรินอี้กล่าว“จริงหรือเจ้าคะ!” เสี่ยวเมิ่งกล่าวขึ้นเสียงดังอย่างดีใจ นางเพียงข้อเท้าเคล็ดเท่านั้น นึกว่าจะหักเสียแล้ว บ่าวน้อยกล่าวขึ้นในใจ“ฮ่าๆ จริงสิ ข้าจะโป้ปดเจ้าให้ได้อันใด” เจิ้งเหรินอี้หัวเราะก่อนจะเอ่ยตามอย่างขบขันเสี่ยวเมิ่งฉีกยิ้มกว้างก้มหัวขอบใจอีกสามรอบ ส่วนเจิ้งเหรินอี้ก็ยืนประกบมือไว้ด้านหน้าขา และเลื่อนสายตาไปมองคุณหนูตระกูลไป๋ ก่อนจะกล่าวออกไปอีก“ตาท่านแล้ว แต่ข้าต้องขอออกไปล้างมือก่อนสักครู่” เขาหลุบตามองเท้าเสี่ยวเมิ่ง เป็นนัยแฝงไปด้วยข้าเบิกตาขึ้นเล็กน้อย กำมือใต้แขนเสื้อ หายใจติดขัด ก่อนจะพยักหน้ารับเขาอย่างเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจในยามนี้จะให้หลิงจูสหายคนสนิทนี้ออกไปด้านนอกนั้น ควรจะใช้วิธีอันใดถึงจะดูแนบเนียนมากที่สุด พอหมอเจิ้งหมุนกายเดินออกจากห้องไป ก็ผุดความคิดหาข้ออ้างได้ออก“หลิงจู ข้าหิวข้าวยิ่งนัก” ข้าแสร้งกล่าวเสียงอ่อน เดินกุมท้องไปนั่งด้านข้างของนาง“ซิงหนี่ว์ เจ้ายังมิได้กินข้าวตั้งแต่
“ใช่เจ้าค่ะ” หลิงจูเอ่ยขึ้นอีกเจิ้งเหรินอี้ยิ้มรับอย่างเป็นมิตรและเอ่ยขึ้น “แม่นางมีธุระอันใดกับข้าหรือ”“กล่าวไปสิซิงหนี่ว์” หลิงจูกระทุ้งข้อศอกเบาๆ ไปด้านข้าง“ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ข้ามีนามว่าไป๋ซิงหนี่ว์ ส่วนนี่หลิงจู จะรบกวนให้ท่านหมอมาตรวจดูอาการของบ่าวคนสนิทให้เสียหน่อย”เจิ้งเหรินอี้ที่ยังแย้มยิ้มกว้างอยู่นั้น ก็เอียงหน้าลงด้านข้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลุบตามองสตรีงามตรงหน้า พลางใช้หัวครุ่นคิดไปด้วยว่า ‘ไป๋’ ใช่แซ่หนึ่งในสิบตระกูลมหาอำนาจลำดับที่หนึ่งหรือไม่ แต่นับว่าหายากที่เจ้านายจะใส่ใจดูแลบ่าว เขาจึงพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ พร้อมกับผายมือออกไปด้านหน้า“เชิญแม่นางไป๋นำทาง”“ขอบใจมากเจ้าค่ะ ที่ไม่รังเกียจตรวจดูอาการบ่าวของข้า” ข้าขอบใจแทนเสี่ยวเมิ่ง หมอหลวงนั้นเปรียบดั่งขุนนาง พวกเขาตรวจให้เพียงบุคคลชั้นสูง ไม่มีทางที่จะลดตัวลงมาตรวจอาการบ่าวเช่นนี้ได้“แม่นางไป๋กล่าวเกินไปแล้ว” เจิ้งเหรินอี้กล่าวอย่างเป็นมิตร เดินมาขนาบข้างไป๋ซิงหนี่ว์“มิทราบว่าหมอหลวงมีนามว่าอันใดหรือเจ้าคะ เมื่อครู่พวกข้าเสียมารยาทมิได้เอ่ยถามชื่อกลับ” หลิงจูชะโงกหน้าจากอีกฝั่งไปถาม“ข้ามีนามว่าเจิ้งเหรินอ
เป็นไปตามที่จิ้นฝานคิดเอาไว้ เช้าวันที่หนึ่งเขาสะดุ้งกายตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอาเจียนของไป๋ซิงหนี่ว์ ลากยาวจนเกือบสองชั่วยาม เขานอนฟังเสียงนั้นเอาแขนหนุนหัวสองข้าง ทอดมองเพดานอย่างทอดถอนใจด้วยความที่มีนิสัยสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับผู้อื่นที่ไม่สนิท จึงออกไปพบปะสนทนากับขุนนางด้านนอกเพียงเล็กน้อย และเข้ามาเก็บตัวต่อในห้อง ตลอดทั้งวันเขาจะได้เสียงอาเจียนของนางเป็นพักๆ จึงเป็นการรบกวนเขาค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน“เคร้ง!” พลันก็มีเสียงเขวี้ยงบางสิ่งที่กระทบเข้ากับผนังห้อง ตามมาด้วยเสียงตะโกนขึ้นสูงของสตรีที่เขาชังหน้า“ว้ายยย เสี่ยวเมิ่ง! ไปเอาอาหารมาใหม่ที ข้าไม่ไหวแล้ว” น้ำเสียงนี้บ่งบอกถึงความไม่พอใจ และเอาแต่ใจของไป๋ซิงหนี่ว์ที่เขาสัมผัสได้บุรุษที่แหงนหน้ามองเพดาน มีหนังสือหนึ่งเล่มเปิดหน้าเอาไว้วางบนอก ริมฝีปากหนาปริออกกล่าวออกมาอย่างไร้เสียง“เรื่องมากยิ่งนัก”คำกล่าวนี้ล้วนมาจากความนึกคิดของตนเองจากการคาดการณ์ แต่เขามิอาจรู้ได้ว่าหลังกำแพงไม้นี้ เหตุการณ์จริงๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่จากนั้นเสียงทั้งหมดก็กลับมาเงียบสงบตามเดิม ไร้เสียงสนทนาโวยวายของนางต่ออีก ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องข้างๆ กัน แต่จะได