๘
เข้าครัว
เหตุการณ์เมื่อวานจบลงได้ไม่ใช่เพราะว่าปรับความเข้าใจ แต่เป็นเพราะว่าหลังจากที่ชุนเอ๋อร์เดินออกไปกลางทุ่งนาได้ไม่ถึงเค่อ ฝนที่ไม่มีเค้าว่าจะตกลงมาเลยก็ดันตกลงมาเสียงั้น
กลายเป็นหลันเฟิงที่ต้องถอดชุดคลุมของตัวเองออกแล้วใช้วิชายุทธ์ขั้นสูงวิ่งเข้ามาหาชุนเอ๋อร์แล้วพากลับเข้าเรือนโดยที่ไม่เปียกฝนเลยสักนิด นางทั้งตกใจทั้งตื่นตาตื่นใจ แค่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็รู้สึกภูมิใจในตัวบุตรชายแล้ว
“วันนี้จะทำอะไรให้เด็ก ๆ ทานดีนะ”
วันนี้ชุนเอ๋อร์ตื่นเช้ากว่าปกติ นางตั้งใจจะทำอาหารเช้าให้ชายหนุ่มทั้งหลายได้ชิม เมื่อแปรงฟันล้างหน้าแต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกจากเรือนนอนตรงไปเรือนครัว
“ใครเข้าครัวแต่เช้า”
ชุนเอ๋อร์เห็นควันไฟลอยออกมาจากเรือนครัวทั้งยังได้ยินเสียงสะเก็ดไฟแตกถี่ ๆ
“เสี่ยวเฉินทำอาหารหรือ”
นางคาดเดา จนกระทั่งเดินเข้ามาในครัวแล้วเห็นร่างสูงกำลังง่วนอยู่กับการซาวข้าว...
“เสี่ยวเฉิน”
แล้วนางก็ทายถูก!
เกาจี้เฉินจับจังหวะฝีเท้าของชุนเอ๋อร์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว พอนางเอ่ยทักเขาจึงหันไปผงกศีรษะให้เป็นการทักทาย เมื่อซาวข้าวเสร็จแล้วก็เอาหม้อไปตั้งเตาเตรียมล้างผักต่อ
“ทำอะไรทานหรือ เสี่ยวกูกุช่วยอะไรได้บ้าง”
เกาจี้เฉินมองไปรอบ ๆ ใจจริงเขาอยากให้นางนั่งอยู่เฉย ๆ แต่เห็นสายตาหวังจะผ่อนแรงเขาแล้ว จึงได้ผายมือไปที่ผักแทน
“ล้างผัก”
“ได้เลย”
ชุนเอ๋อร์ยิ้มรับ นางเห็นเกาจี้เฉินเดินออกไปจากครัว สักพักก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมถือปลาตัวใหญ่มาด้วยสามตัว
“โอ้! นี่...”
ที่นี่ไม่มีตลาด เขาไปจับปลาตั้งแต่ยังไม่สว่างเลยหรือ
“จับตั้งแต่เมื่อวาน”
เกาจี้เฉินเห็นสายตาตั้งคำถามของนางจึงได้ตอบให้นางหายข้องใจ จัดการขอดเกล็ดปลาด้วยความชำนาญจนชุนเอ๋อร์ตะลึง
“เสี่ยวเฉินทะลวงไส้ปลาเก่งนัก นอกจากรสชาติอาหารจะอร่อยแล้วยังรู้จักวิธีการจัดการวัตถุดิบด้วย ยอดฝีมือจริง ๆ”
คนถูกชมชะงักไป ในใจคิด...
ยอดฝีมืออะไรนะ ทะลวงไส้ปลาหรือ
“เสี่ยวกูกุ ปกติข้าไม่ทะลวงไส้ปลา…”
แต่ทะลวงพุงคนมากกว่า
เกาจี้เฉินเก็บคำพูดสุดท้ายเอาไว้ในใจ เขาเห็นสีหน้าดีใจของนางแล้วหว่างคิ้วพลันขมวดเข้าหากัน
มีอันใดให้น่าดีใจหรือ
“อ้อ! ว่าแต่เสี่ยวเฉินจะทำน้ำแกงปลาใช่หรือไม่ ส่วนผักหั่นแล้วผัดกับน้ำมัน”
เกาจี้เฉินพยักหน้ารับ ชุนเอ๋อร์จึงได้เสนอหน้าที่ของตัวเองเพิ่ม “เช่นนั้นเสี่ยวกูกุทำเอง”
หนึ่งชั่วยามต่อมา
“โอ้โฮ! อาหารน่าทานทั้งนั้นเลยขอรับ เสี่ยวกูกุทำเองหรือ”
จางจงกว่านเป็นคนแรกที่เข้ามานั่งที่โต๊ะรับประทานอาหาร เขาเห็นชุนเอ๋อร์กำลังจัดโต๊ะกับข้าวอยู่คนเดียวจึงเข้าใจว่านางเป็นคนทำอาหารทั้งหมด
“ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”
จางจางกว่านทำหน้าสงสัย แต่เมื่อเห็นเกาจี้เฉินยกหม้อมาจึงได้รู้ว่าใครเป็นพ่อครัวร่วมในอาหารมื้อเช้า
“ยกมาเป็นหม้อเลย”
ชุนเอ๋อร์ทำหน้าตกใจ อยู่คนเดียวมานาน ทานอาหารน้อย หากนางทานคนเดียว หม้อนี้ต้องแบ่งทานสามวันเป็นอย่างต่ำ
“เสี่ยวกูกุไม่คิดว่าพวกเราจะทานเยอะกระมัง เดี๋ยวต่อไปก็ชินขอรับ พวกเราทานเป็นหม้อกันแบบนี้เลย”
อือ! สมกับเป็นชายวัยเจริญพันธุ์
เวลาผ่านไปไม่นาน หลันเฟิงและโจวฉือเหอก็เดินเข้ามาในครัว ชุนเอ๋อร์ได้กลิ่นสะอาดมาจากตัวพวกเขาจึงทราบว่าเพิ่งอาบน้ำกันมา
“เพิ่งกลับมาจากการฝึกยุทธ์ขอรับท่านแม่”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับเบา ๆ จากนั้นก็หันไปมองจางจงกว่าน
เหมือนเพิ่งตื่นนอนเลย
“เจ้านี่ถ้าไม่บังคับก็ไม่ทำหรอกขอรับเสี่ยวกูกุ”
โจวฉือเหอตอบชุนเอ๋อร์เพราะอ่านท่าทางของนางออก ร่างสูงหย่อนก้นนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับจางจงกว่าน
สีหน้าข้าอ่านง่ายขนาดนี้เลยหรือ
เมื่อจัดเตรียมตะเกียบ ถ้วยและช้อนเอาไว้ซดน้ำแกงเสร็จแล้วทุกคนก็เริ่มทานอาหาร ชุนเอ๋อร์ตักหนึ่งคำแล้วเคี้ยวช้า ๆ ดูปฏิกิริยาของทุกคนตอนทานผัดผักที่นางปรุงรสเอง
“อือ รสชาติดี”
คนทำเป็นปลื้ม เห็นทุกคนทานอย่างเอร็ดอร่อยนางก็พลอยเจริญอาหารไปด้วย
ที่จริงอาหารรสชาติทั่วไป แต่พอได้ทานร่วมกับทุกคนแล้วชุนเอ๋อร์รู้สึกว่าความอร่อยเพิ่มขึ้นหลายระดับ
ชุนเอ๋อร์ยังไม่ได้ทานน้ำแกงปลา เมื่อเห็นหลันเฟิงซดน้ำแกงก็เอ่ยถามรสชาติ
“เป็นอย่างไรบ้าง ฝีมือการทะลวงไส้ปลาของเสี่ยวเฉิน”
“แค่ก ๆ”
หลันเฟิงถึงกับสำลักในทันที ในหัวเขาตอนนี้เห็นเป็นภาพของเกาจี้เฉินกำลังจ้วงแทงศัตรูอยู่ด้วยความบ้าระห่ำ
ดวงตาคมกริบมองเกาจี้เฉิน เริ่มสงสัยแล้วว่าเขาใช้วิธีการใดในการขอดเกล็ดปลา มารดาถึงได้กล่าวว่า ‘ทะลวงไส้’ ออกมาได้
เกาจี้เฉินอ่านสายตาหลันเฟิงออกตอบเสียงเรียบ
“ข้าควักไส้ปลาแบบปกติ”
“มีแบบไม่ปรกติด้วยหรือ”
ชุนเอ๋อร์หันไปถามบุตรชายด้วยสีหน้างุนงง หลันเฟิงยิ้มแทนคำตอบ ใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาสีขาวใส่ถ้วยให้ชุนเอ๋อร์
“ท่านแม่ลองชิมเนื้อปลา”
“อ้อ เฟิงเอ๋อร์ก็ทานเยอะ ๆ”
หลังจากนั้นบนโต๊ะอาหารก็ตกอยู่ในความเงียบเพราะทุกคนตั้งใจทานอาหาร เมื่อทานเสร็จแล้วก็พากันไปนั่งเล่นตากลมที่ศาลาข้าง ทุ่งนา
หลันเฟิงและโจวฉือเหอเอาหมากล้อมของชุนเอ๋อร์มาเล่นโดยมีจางจงกว่านมองดูอยู่เงียบ ๆ
ส่วนชุนเอ๋อร์นั้นขลุกอยู่ในครัวกับเกาจี้เฉิน เพราะเขาบอกว่าจะทำขนมกุ้ยฮวาให้นางได้ลองชิม นางเลยถือโอกาสนี้ขอเรียนรู้วิธีการทำ
“ขนมกุ้ยฮวาหอม ๆ มาแล้ว”
ชุนเอ๋อร์ถือถาดขนมเข้ามาในศาลาโดยมีเกาจี้เฉินเดินถือถาดน้ำชาหนัก ๆ ตามหลังมาด้วย
“ท่านแม่ทำเป็นแล้วใช่หรือไม่”
หลันเฟิงมองชุนเอ๋อร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เห็นนางยิ้มไม่หุบจึงคิดว่านางทำเป็นแล้ว
“ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปต้องทำเป็นแน่ แม่จดสูตรไว้แล้ว”
“ขอรับท่านแม่ เดี๋ยวเฟิงเอ๋อร์จะซื้อแป้งมาไว้ให้เพิ่ม”
ชุนเอ๋อร์ชะงัก ในใจคิด...
เฟิงเอ๋อร์ยังจำเหตุกาณ์นั้นได้สินะ
สมัยหนีมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ ชุนเอ๋อร์เคยทำครัวไหม้ไปหลายครั้ง ตอนนี้อาหารคาวเริ่มพัฒนาฝีมือแล้ว แต่อาหารหวานยังต้องฝึกฝนต่อ
“เสี่ยวเฉิน!”
อยู่ ๆ จางจงกว่านก็เรียกเกาจี้เฉินด้วยท่าทางจริงจัง ทุกคนจับจ้องไปที่เขาเป็นสายตาเดียว
ส่วนเกาจี้เฉินมุ่นคิ้วทันทีเมื่อโดนจางจงกว่านเรียกเช่นนี้ จ้องหน้าเขานิ่ง ๆ รอฟัง
“ข้าอยากขอเจ้าแต่งงาน คนอะไรรสมือดีเป็นบ้า ของคาวเลิศรสของหวานหอมทุกคำที่เคี้ยว”
จางจงกว่านทานไปชมไป ส่วนผู้ที่ได้รับคำชมกลับมองจางจงกว่านด้วยหางตา ท่าทางจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน
“ข้าจะไม่เข้าครัวอีกตลอดชีวิต”
ทุกคนหัวเราะให้กับคำพูดของเกาจี้เฉินไม่เว้นคนที่จะขอผู้อื่นแต่งงาน ชุนเอ๋อร์หัวเราะจนน้ำตาไหล ในใจคิด...
เสี่ยวกว่านกับเสี่ยวเฉินตลกมาก