๗
เด็กขี้อิจฉา
นานทีเดียวกว่าหลันเฟิงจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นปกติได้ โจวฉือเหอเห็นเขานั่งนิ่งเงียบมาสักพักแล้วจึงได้เดินเข้ามาสนทนาด้วย
“เหล่าต้าอย่ารู้สึกแย่ไปเลย ข้าเองก็คิดไม่ต่างจากท่าน”
หลันเฟิงเงยหน้ามองโจวฉือเหอ เมื่อหันไปมองเกาจี้เฉินแล้วเขาพยักหน้าให้จึงทราบว่าไม่ใช่ตนเท่านั้นที่หลงคิดว่าลูก ๆ ของชุนเอ๋อร์มีความหมายตามตัว
“เมื่อครู่ข้าไปนับไก่ของเสี่ยวกูกุมา ขนาดเอาไปแจกเพื่อนบ้านแล้วยังมีตั้งสามสิบตัว ไม่ธรรมดาเลยสตรีคนนี้”
จางจงกว่านเดินเข้ามานั่งในเรือนร่วมกับสหาย เทชาลงถ้วยดื่มดับกระหาย ทว่าในตอนที่กำลังเป่าชาไล่ความร้อนกลับสัมผัสได้ว่าถูกสายตาสามคู่จับจ้อง เขาจึงวางถ้วยชาลงโต๊ะแล้วเอ่ย
“ทำไมหรือ”
มองขนาดนี้ใครจะดื่มลง
“จงกว่าน ตอนแรกเจ้าคิดว่าลูกของเสี่ยวกูกุคืออะไร” โจวฉือเหอเป็นฝ่ายถามแทนใจทุกคน
“อ้อ ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นน้องหมาน้องแมว แต่ใครจะไปคิดว่าเสี่ยวกูกุหมายถึงไก่”
เขาหยุดพูดเพียงเท่านั้นเพราะติดหัวเราะ
“คิดไปแล้วก็แปลกดีเหมือนกัน เมื่อก่อนคนในพรรคบอกว่าข้าบ้าหรือเปล่าที่เรียกหมาแมวว่าน้อง มาตอนนี้ข้าว่าตัวเองไม่ได้ประหลาดคนแล้วนะ เพราะขนาดเสี่ยวกูกุยังเรียกไก่ว่าลูกเลย”
จางจงกว่านหัวเราะร่วน จนกระทั่งสังเกตเห็นสายตาของทุกคนจึงหยุดหัวเราะ
“เหตุใดมองหน้าข้าเช่นนั้น”
ที่เขาขนลุกที่สุดคือสายตาของหลันเฟิง ในใจคิด...นี่ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ
“เฮ้อ~เอาเถอะ! แล้วท่านแม่ล่ะ”
เป็นเขาเข้าใจผิดไปเอง หลันเฟิงจึงไม่อยากเอาโทสะไปลงที่คนอื่น ถามถึงมารดาตนแทนเรื่อง ลูก ๆ น้อง ๆ
“กำลังให้อาหารไก่อยู่ขอรับ”
“อ้อ”
หลันเฟิงรับคำสั้น ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วกลับไปโรงเรือนที่ใช้ขังไก่ พอไปถึงก็ได้ยินเสียงมารดาร้องว่า...
“กุ๊ก ๆ ว่าไงจ๊ะ กุ๊ก ๆ”
“ท่านแม่”
หลันเฟิงเรียกมารดาเสียงเบา ใบหน้าผุดรอยยิ้มเมื่อได้ยินมารดาทำเสียงเล็กเสียงน้อย ล่าสุดที่เขาได้ยินนางใช้เสียงลักษณะนี้ก็ตอนที่เขาอายุ 10 หนาว
“ท่านแม่”
ชุนเอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงเรียกเพราะเสียงไก่กว่ายี่สิบตัวดังกลบ หลันเฟิงจึงเพิ่มระดับเสียง คราวนี้ทำร่างบางสะดุ้งตกใจ มือข้างที่ว่างยกขึ้นทาบหน้าอก
“เฟิงเอ๋อร์ แม่ตกใจหมดเลย น้องก็ตกใจด้วย ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก” ชุนเอ๋อร์เอ่ยเสียงหวานเชื่อมแล้วย่อกายลงไปรับลูกเจี๊ยบเข้าสู่อุ้งมือ
หลันเฟิงตัดพ้อเมื่อเห็นมารดาโอ๋ไก่ไม่โอ๋เขา กอปรกับเหตุการณ์เมื่อครู่จึงได้พรั่งพรูความในใจ
“ก็ใช่สิ! เฟิงเอ๋อร์ตัวโตมากแล้ว ท่านแม่ก็เลยไม่เอ็นดูเฟิงเอ๋อร์แบบเมื่อก่อน”
ชุนเอ๋อร์ชะงักเมื่อได้ยินบุตรชายกล่าวเช่นนั้น นางค่อย ๆ ช้อนตามองหลันเฟิงจึงเห็นว่าเขาก็ตกใจในสิ่งที่ตนเองกล่าวออกมาเช่นกัน
“เฟิงเอ๋อร์น้อยใจแม่หรือ”
“เอ่อ ท่านแม่ คือว่า…”
ชุนเอ๋อร์วางลูกเจี๊ยบลงที่เดิม จากนั้นก็เดินไปสวมกอดหลันเฟิงหลวม ๆ หากเป็นเมื่อก่อนเวลาที่นางกอดเขา นางจะชอบลูบศีรษะเขาเล่นทุกครั้ง แต่ยามนี้เขาตัวโตกว่านางมาก มือบางจึงได้ลูบที่แผ่นหลังของเขาขึ้นลงแทน
“ไม่ต้องน้อยใจไปหรอก เด็ก ๆ เหล่านี้ก็คือตัวแทนของลูกทั้งนั้น เมื่อก่อนแม่อยู่คนเดียวไม่มีใครให้พูดด้วย เพื่อนที่ดีที่สุดของแม่รองจากท่านลุงเฉียนก็คือพวกเขานะ”
คำพูดไม่กี่ประโยคทำหลันเฟิงเปลี่ยนอารมณ์ น้ำเสียงที่แฝงความเศร้าหมองของนางทำให้ใจแกร่งคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเคล้น
“ท่านแม่ เฟิงเอ๋อร์ขอโทษขอรับ เฟิง…”
“ขอโทษแม่ทำไม”
ชุนเอ๋อร์ผละออกจากเขา สบตาบุตรชายอยากให้เขาได้เห็นสายตาแห่งความรัก
“ไม่มีอันใดให้ต้องขอโทษ หากย้อนเวลากลับไปได้แม่ก็ยังเลือกเส้นทางเดิม เพราะฉะนั้นอย่าได้โทษตัวเอง”
“ท่านแม่...”
หลันเฟิงเรียกมารดาเสียงอ่อน ชุนเอ๋อร์จึงสำทับอีกประโยค
“ลูกต้องทำงานคุ้มกันภัยมิใช่หรือ เมื่อมันสามารถเป็นอาชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของลูกได้ แม่ก็ดีใจแล้ว”
กล่าวให้เขาดีใจได้ก็คือท่านแม่ กล่าวให้เขาเสียใจได้ก็คือท่านแม่ ในยุทธภพนี้ไม่มีใครสามารถทำกับเขาแบบนี้ได้อีกแล้ว
“แดดตอนบ่ายเริ่มแรงขึ้นแล้ว เราเข้าเรือนกันเถิดขอรับ”
ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับ หลันเฟิงยื่นมือมาจับมือมารดาพานางเดินเข้าไปในเรือน ภาพแรกที่ดึงสายตาของชุนเอ๋อร์คือภาพของจางจงกว่านที่กำลังกัดผิงกั๋ว[1]ลูกใหญ่เข้าปาก
“เอี่ยวอูอุอาแอ้ว” (เสี่ยวกูกุมาแล้ว)
จางจงกว่านกล่าวเรียกชุนเอ๋อร์ทั้ง ๆ ที่ในปากยังมีเนื้อผิงกั๋วอยู่ จังหวะที่เขาพูดมีน้ำลายผสมน้ำผิงกั๋วกระเด็นออกมาจากปากด้วย เกาจี้เฉินที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ รีบลุกขึ้นหลบแทบไม่ทัน
“เสี่ยวกว่าน กลืนก่อนก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”
ชุนเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ แล้วเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิมของเกาจี้เฉิน
“เป็นเสี่ยวกูกุที่ไม่นึกรังเกียจเสี่ยวกว่าน”
ชุนเอ๋อร์ยิ้ม “เสี่ยวกูกุจะรังเกียจได้อย่างไร” จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของเขาอย่างเอ็นดู ถ้านางยังมีสามีอยู่ นางก็อยากมีบุตรที่หน้าตาน่ารักแบบนี้อีกสักคนหนึ่งเหมือนกัน
“ท่านแม่!”
หลันเฟิงเรียกชุนเอ๋อร์เสียงดังจนนางสะดุ้งตัวโยน จางจงกว่านเองก็ตกใจเช่นกัน เขาไม่ได้ตกใจเสียงหลันเฟิง แต่เขาตกใจสายตาที่มองมายังเขามากกว่า
“เฟิงเอ๋อร์ เรียกกันเบา ๆ ก็ได้ อยู่ห่างกันแค่นี้เอง”
หลันเฟิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนลมหายใจออกมา
“ท่านแม่ เฟิงเอ๋อร์มีอะไรจะคุยด้วยขอรับ”
กล่าวจบก็ไม่รอให้ชุนเอ๋อร์ตอบรับหรือปฏิเสธ เดินนำชุนเอ๋อร์ออกไปจากเรือนแล้ว
“ปกติเฟิงเอ๋อร์อารมณ์แปรปรวนแบบนี้ตลอดเลยหรือ”
ชุนเอ๋อร์ถามเหล่าสหายของบุตรชายอย่างข้องใจ ในความคิดของนาง เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน ไม่เว้นแม้แต่หลันเฟิง
“ปกติเหล่าต้าไม่ค่อยแสดงอารมณ์หรอกขอรับ แต่ช่วงนี้นับว่าแปรปรวนจริง ๆ” จางจงกว่านเป็นคนตอบคำถามแทนทุกคน
“งั้นหรือ” ชุนเอ๋อร์พยักหน้ารับจากนั้นก็เดินตามบุตรชายออกไป
จางจงกว่านเดินออกไปมองสองแม่ลูก เห็นแผ่นหลังของหลันเฟิงเดินเร็วไปกลางทุ่งนา ไม่ไกลกันนั้นมีชุนเอ๋อร์เดินตามออกไปติด ๆ
จางจงกว่านส่ายหน้าให้พวกเขาแล้วเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
“ที่แท้ท่านประมุขก็เป็นเด็กขี้อิจฉา เห็นเสี่ยวกูกุเอ็นดูข้ามากกว่าก็เลยอารมณ์เสียใส่กัน พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร”
-_- โจวฉือเหอ
-_- เกาจี้เฉิน
[1] ผิงกั๋ว หมายถึง แอปเปิ้ล