Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / ( -จบเล่ม 1- ) บทที่59 หนึ่งท่าพิฆาตสังหาร

Share

( -จบเล่ม 1- ) บทที่59 หนึ่งท่าพิฆาตสังหาร

คลื่นวายุสังหารนับไม่ถ้วนถูกพ่นจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากหนิงอ้ายไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ประสานไปกับพลังวิญญาณของตนจนทำให้ระดับความเร็วของเขาเป็นที่น่าตกตะลึงแล้วคงยากที่จะรอดพ้นไปจากการโจมตีจากสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายย่อมไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาศโจมตีตนได้ฝ่ายเดียว เพราะเขาก็ได้ใช้บทเวทย์โจมตีของตนโต้กลับไปในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกัน

มหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!

ตู้ม! ตู้ม!

ทุกครั้งที่หนิงอ้ายหลบหลีกและส่งการโจมตีโต้กลับไปยังอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่โทสะของสัตว์อสูรยิ่งเพิ่มขึ้น มันไม่คาดคิดว่าการปะทะกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งจะทำให้มันสูญเสียลมปราณในร่างกายไปได้มากถึงเพียงนี้

พรึบ!

ชายผ้าคลุมสีเขียวอ่อนปลิวไหวสะบัดไปตามแรงลมที่ต้านปะทะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียจังหวะไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วทั้งร่ายกาย ก่อนที่แขนขวานั้นสะสะบัดออกเบื้องหน้า ขณะใช้ออกด้วยท่าร่างเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เข็มโลหะสีเงินทั้งเก้าพุ่งทะยานผ่านอากาศจนเกิดเสียง ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ได้ประสานปราณธาตุพิษอันเข้มข้นไปด้วย

เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เสียงจากเข็มโลหะสีเงินกระทบจนเกิดเสียงดัง เข็มเงินนี้ที่ถูกแฝงเร้นไปด้วยพลังลมปราณของหนิงอ้ายและปราณธาตุพิษของต้าเฮยกระแทกเข้ากับเกล็ดผิวหนังสีแดงมันวาวนั่น แม้จะอาบเคลือบด้วยพลังลมปราณของราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณเฉกเช่นหนิงอ้าย แต่ก็ไม่อาจเจาะทะลุเกล็ดของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไปได้ ไม่คาดคิดว่าจะมีความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้

แรกเริ่มก่อนหน้าเหตุการณ์ปะทะนั้น ต้าเฮยได้บอกถึงความต้องการกับเด็กหนุ่มแล้วว่ามันสามารถที่จะสังหารสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อเสียด้วยซ้ำ แต่หนิงอ้ายที่ต้องการทดสอบความสามารถขีดจำกัดฝีมือของตัวเองจึงได้แต่สั่งการให้เจ้าตัวน้อยไม่ต้องเคลื่อนไหวอันใด พร้อมกับมอบหมายหน้าที่ให้เฝ้าระวังความปลอดภัยกับลู่ซี อี้หลินและจินหั่วด้วย

เจ้าตัวน้อยเมื่อเห็นว่ามันสามารถทำประโยชน์ให้กับหนิงอ้ายได้ มันจึงตั้งใจทำตามคำสั่งอย่างแข็งขัน ยามเมื่อสัตว์อสูรที่เป็นลูกน้องของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะประมาทไม่ระวัง ตัว มันจึงจัดการสังหารโดยในทันที...

แต่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่มีผู้ใดรับรู้ เพราะว่ากลโกงอุบายที่เกิดขึ้นย่อมไม่หลุดพ้นสายตาอันแหลมคมของเจียงเฉิงหรือเจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เขาไม่คาดคิดว่าหนิงอ้ายจะมีสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้อยู่ในการครอบครองได้ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจเสียจริง ถึงแม้ว่าในใจยังคงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ว่าเหตุใดกลิ่นอายของสัตว์อสูรตัวนี้เขาจึงคุ้นชินอย่างบอกไม่ถูกเช่นนี้ได้กัน...

"วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดอย่าหวังว่าจะรอดจากข้าไปได้!!" เสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเอ่ยขึ้นด้วยโทสะสูงสุด ภาพตรงหน้าที่เหล่าสัตว์อสูรภายใต้บังคับบัญชาที่ต่างทยอยตกตายไปเช่นนี้นับได้ว่าเป็นการสูญเสียที่เกินจะรับไหวด้วยเพราะมันมีความหลังที่ไม่ดีกับผู้ฝึกตนสักเท่าไหร่ ดังนั้นในการทดสอบเข้าสำนักในครั้งนี้มันจึงจงใจแทรกแซงเพื่อไม่ให้รุ่นเยาว์เหล่านี้เข้าร่วมเป็นศิษย์ในสำนักได้สำเร็จและต้องการให้รุ่นเยาว์เหล่านี้เข่นฆ่ากันเพื่อความสนุกของมันที่เป็นดั่งเจ้าของชีวิตก็เท่านั้น

สิ้นเสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะแสงสีน้ำตาลเข้มทอประกายความลึกล้ำอย่างถึงที่สุด เหล่ามวลมหาวายุจากทั่วทั้งสารทิศต่างถูกชักนำมายังบริเวณนี้อย่างฉับพลันจนสามารถสังเกตได้ พริบตานั้นปรากฎเป็นร่างจำแลงของจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะสีน้ำตาลเข้มที่มีวายุคลั่งหมุนเวียนวนอยู่โดยรอบ เพียงชั่วอึดใจเดียวสิ่งนี้ได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายโดยทันที

"หนิงอ้าย!!!" เสียงของลู่ซี อี้หลินและจินหั่วดังขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ

ร่างจำแลงของจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้พุ่งเข้าโจมตีสหายของพวกเราด้วยความรวดเร็วเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณจะสามารถหลบพ้นได้ทันท่วงที แม้ว่าพวกเขาทั้งสามคนอยากเข้าช่วยเหลือหนิงอ้ายมากเพียงใด แต่บรรดาสัตว์อสูรที่รายล้อมพวกเขาด้วยอำนาจแห่งมนต์สะกดใจของสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถปลีกตัวไปได้โดยง่ายกัน

ตู้ม!

"ฮ่าฮ่าฮ่า สาแก่ใจข้ายิ่งนัก!!! เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณแต่บังอาจหลบหลู่ข้า สมควรแล้วที่ต้องตกตายไปเช่นนี้..."

"..."

"มองหน้าข้าเยี่ยงนี้หมายถึงอย่างไร? พวกเจ้าทั้งสามและคนที่เหลือก็อย่าหวังว่าจะรอดไปได้!!" อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเอ่ยขึ้นพร้อมกับตวัดสายตามองไปโดยรอบ ในที่สุดมันก็สามารถเป็นฝ่ายชนะจนได้ แน่นอนว่ารุ่นเยาว์ที่เหลือนี้มันย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านไปเช่นกัน

"พวกข้ามีป้ายหยกของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ สัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงเยี่ยงเจ้าจะรับมือกับเหล่าผู้อาวุโสของสำนักได้อย่างไร!!" สิ้นเสียงเอ่ยของลู่ซี เสียงแตกหักของป้ายหยกที่อยู่ในมือของทั้งสามคนได้ถูกบีบแตกด้วยความคับแค้นใจ ทว่าผ่านไปหลายจิบชาแล้วยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

"เด็กน้อย...เจ้าคิดว่าป้ายหยกนั่นจะสามารถใช้การได้ในอาณาเขตของข้าอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะผู้นี้เช่นนั้นรึ? หรือเจ้าเด็กที่ตกตายไปเมื่อครู่มันไม่ได้บอกพวกเจ้ากันว่าในบริเวณนี้ไม่สามารถใช้ป้ายหยกและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมิติได้ กว่าพวกน่าชังนั่นจะมาถึงพวกเจ้าคงได้ตายไปพร้อมกับเจ้าหนุ่มอวดดีคนนั้นเสียแล้วกระมัง ฮ่าฮ่าฮ่า..."

.......................................

ไม่ผิดไปจากคำพูดของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไปเท่าไหร่นัก บรรดาเหล่าผู้อาวุโสในห้องโถงที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ในตอนแรกที่กลุ่มรุ่นเยาว์เหล่านี้ต่างถูกสะกดไปไม่ต่างไปจากหุ่นเชิด พวกเขาต่างมีความเห็นที่ตรงกันว่าหากครบกำหนดการเข้าร่วมทดสอบแล้วพวกเขาจะส่งคนไปช่วยเหลือบรรดาเหล่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์เข้าร่วมสำนักในครั้งนี้

ไม่คาดคิดว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนได้ผ่านมายังเส้นทางนี้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าด้วยพรสวรรค์ของรุ่นเยาว์ทั้งสี่คนนี้ย่อมรอดพ้นไปจากการสะกดจิตของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะและสามารถผ่านเข้ามาถึงทางเข้าของสำนักศึกษาที่อยู่ไม่ไกลแล้วจากที่ตรงนี้ได้เป็นแน่

แต่กลับคาดไม่ถึงว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนจะมีน้ำใจช่วยเหลือบรรดารุ่นเยาว์ที่ถูกสะกดจิต ด้วยการกระทำเช่นนี้ต่างถูกใจบรรดาผู้อาวุโสของแต่ละตำหนักยิ่งนัก ความมีน้ำใจในเพื่อนมนุษย์กล่าวได้ว่าเป็นอีกคุณสมบัติที่เยี่ยมยอดของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาต่างไม่คาดคิดว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนจะตั้งใจท้าชนกับอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเช่นนี้ นับได้ว่าเต็มไปด้วยความกล้าหาญไม่น้อย

ภาพเหตุการณ์ที่รุ่นเยาว์ทั้งสี่คนได้สอดประสานรับมือกับสัตว์อสูรอย่างเป็นหนึ่งใจเดียวกันนับว่าน่าชื่นชมยิ่ง แน่นอนว่ากลิ่นอายของวิเศษที่มีความสามารถลึกล้ำพิศดารรวมไปถึงทักษะวิญญาณยุทธ์ที่ปรากฎขึ้นของพวกเขาทั้งสี่คนเช่นนี้ นับว่าทางสำนักศึกษาได้เก็บเกี่ยวต้นกล้าที่มีความสามารถและเป็นกองกำลังอันมั่นคงของสำนักในอนาคตได้

โดยเฉพาะประสาทสัมผัสอันลึกล้ำกว่ารุ่นเยาว์ช่วงอายุเดียวกัน รวมไปถึงบทเวทย์โจมตีที่คาดว่าน่าจะเป็นระดับเทวะขึ้นไปของเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายนั้น กลิ่นอายอันลึกล้ำของบทเวทย์ที่สัมผัสได้ย่อมเป็นเวทย์ระดับเทวะแต่ใครจะคาดคิดว่าผู้บัญชาการจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจเสียจริง

แม้จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มทั้งสี่คนรวมไปถึงรุ่นเยาว์ที่หมดสติไปอีกหลายสิบชีวิต ที่ตอนนี้ได้อยู่ในม่านปราการป้องกันของสมบัติวิเศษระดับสูงชิ้นหนึ่ง หากไม่ผิดไปแล้วละก็กลิ่นอายที่พวกเขาสัมผัสได้นั้นย่อมเป็นสมบัติวิเศษประจำตระกูลจินเป็นแน่ ดูแล้วเด็กหนุ่มที่มีนามว่าจินหั่วนั้นคงเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลจินคนต่อไป จึงทำให้สามารถครอบครองสมบัติประจำตระกูลเช่นนี้ได้

สำหรับเด็กหนุ่มที่มีนามว่าอี้หลินแม้ว่าในยามปกติจะเต็มไปด้วยความซุกซนสมกับวัย แต่เมื่อต้องปะทะรับมือหรือพบกับสถานการณ์ตึงเครียด ตัวคนนั้นกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความจริงจังไร้ซึ่งความโลเลอีกต่อไป กลิ่นอายของอัคคีเพลิงที่ปลดปล่อยออกมาย่อมเป็นสุดยอดวิชาของตระกูลอี้อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มคนนี้ฐานะในตระกูลคงไม่ธรรมดาสามัญเป็นแน่เพราะถึงกับสามารถบัญชาการและเรียนรู้อัคคีเพลิงของตระกูลได้อย่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก

กับเด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซี การปรากฏขึ้นของสมบัติวิเศษระดับสูงดั่งเช่นบัญชาการแห่งเทพอสูรอันเป็นสมบัติวิเศษอันสร้างชื่อของประมุขตระกูลหวังจิ่งหลง ย่อมคาดเดาได้ถึงน้ำหนักในใจของเด็กหนุ่มคนนี้ที่มีต่อประมุขของตระกูลไม่น้อย เพราะการจะมอบสมบัติวิเศษประจำตัวให้กับผู้ใดนั้นย่อมหมายถึงว่าคนผู้นั้นย่อมมีความสำคัญมากเพียงใด

ด้วยสมบัติวิเศษระดับสูงรวมไปถึงบทเวทย์อหังการที่ผู้เรียกใช้โดยเด็กหนุ่มทั้งสามคนย่อมทำให้พวกเขาคลายกังวลใจไปไม่น้อย พร้อมกันนั้นพวกเขาต่างลุ้นเอาใจช่วยอีกฝ่าย ทว่าทางฝั่งของเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายเป็นจังหวะเดียวกันที่พวกเขาได้เห็นท่าไม้ตายของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว ที่ว่าด้วยความเร็วของผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณก็ใช่ว่าจะสามารถหลบหนีได้โดยง่าย

พลังโจมตีอันอหังการได้เข้าโจมตีเด็กหนุ่มจนเกิดเสียงดังลั่นและเต็มไปด้วยฝุ่นควันที่ไม่อาจรับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เสียงตะโกนอันกราดเกลี่ยวของรุ่นเยาว์ทั้งสามคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงแตกหักของป้ายหยกประจำตัวชั่วคราวได้ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ผู้อาวุโสคุมกฎหนึ่งที่เตรียมตัวแต่แรกพร้อมจะเข้าไปในค่ายกลส่งภาพแต่กลับไม่สามารถเข้าไปได้ พวกเขาจึงได้รับรู้โดยพร้อมกันว่า ในบริเวณแห่งนั้นได้ถูกปิดกั้นจากอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไปแล้ว

สายตาของทุกคนต่างทอดมองไปยังเจียงเฉิงผู้เป็นเจ้าสำนักสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดที่ถูกเอ่ยขึ้นเเต่อย่างใด รวมไปถึงท่าทางภายนอกยังแสดงออกมาอย่างไรความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ตรงหน้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเหล่าผู้อาวุโสที่ในตอนแรกต่างจะเอ่ยขึ้นบางสิ่งอย่างแต่กลับถูกเสียงหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

"พวกท่านดูตรงนั้น!!!"

..................................

"วาจาใหญ่โตจริงตาเฒ่า คิดจะสังหารสหายของข้าหนิงอ้ายผู้นี้ เจ้าถึงพร้อมไปด้วยความสามารถเช่นนั้นรึ??"

"อย่างนี้ดีหรือไม่? หากตาเฒ่ายินยอมตกลงเป็นสัตว์อสูรในพันธะให้กับสหายของข้า...เช่นนั้นแล้วข้าจะละเว้นโทษตายของเจ้าดีหรือไม่??" เสียงของหนิงอ้ายดังขึ้น ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มได้ทะยานขึ้นจากหลุมลึกโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด ที่ปรากฎเป็นเพียงรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าเท่านั้นสิ่งนี้จึงทำสหายทั้งสามคน รวมไปถึงผู้ที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ต่างตกใจเป็นอย่างมาก ที่เด็กหนุ่มไม่เป็นอะไรจากโจมตีเมื่อครู่

"ตัวข้าเป็นถึงราชาผู้ปกครอง ผู้สืบเชื้อสายจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ แม้จะมีสายเลือดบรรพกาลเพียงเศษเสี้ยวแต่ก็ถือว่าเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและความเหนือชั้นกว่าเผ่าพันธ์เดียวกัน เด็กน้อยเช่นเจ้าอาจหาญถึงเพียงนี้เชียวรึ? ช่างใจกล้าเสียจริง!!!" เสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะตวาดกร้าวเสียงแข็ง มันไม่คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของสายเลือดที่มันภาคภูมิใจจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของรุ่นเยาว์คนหนึ่ง

"หนิงอ้ายผู้นี้ย่อมเต็มไปด้วยคุณสมบัติจะเอ่ยกับท่านเช่นนี้ได้ ข้าให้โอกาสตาเฒ่าอีกครั้งในการตอบรับคำเชิญ เจ้าจักยินยอมตกลงเป็นสัตว์อสูรในพันธะของสหายข้าหรือไม่!!!" หนิงอ้ายยกยิ้มมุมปากพร้อมกับเอ่ยออกไปพร้อมกับจิตสังหารอันกร้าวแข็ง ไม่คาดคิดสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจากเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้าสิบหกนี้ชวนให้ทุกคนต่างตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

"โอหังยิ่ง!!! ต่อให้เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่ยอมไปเป็นสัตว์อสูรรับใช้อย่างแน่นอน เช่นนั้นก็ตายเสียเถอะพวกเจ้าทั้งหมด!!!" อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะตะโกนดังก้องไปทั่วทั้งผืนฟ้า ก่อนที่จะสังเวยอายุขัยหลายร้อยปีเพื่อแลกกับพลังตบะทะลุขอบขั้นไปถึงระดับมายาขั้นต่ำที่เทียบเท่าได้กับราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสามัญผู้หนึ่ง ด้วยหมายที่จะทำลายทุกสิ่งในบริเวณแห่งนี้ให้หมดไปสิ้น

"เช่นนั้นตาเฒ่าเช่นเจ้าจงตกตายไปพร้อมกับความอวดดีเช่นนี้เถอะ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างเลือดเย็น

หนิงอ้ายหลับตาเพ่งสมาธิ ก่อนจะโคจรพลังลมปราณตามสุดยอดเคล็ดวิชาที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ลมปราณกล้าแกร่งได้พวยพุ่งโดยรอบตัวจากนั้นวงแหวนวิญญาณสีเหลืองเข้มซ้อนกันสามวงด้านหลังเปรียบดั่งสัญลักษณ์ของราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูง กลิ่นอายของกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปีได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้พบเห็น ก่อนที่จะปรากฏร่างจำแลงของอสูรแมงป่องแปดขามัจจุราชขนาดใหญ่ที่ครอบทับตัวของเด็กหนุ่มในทันที

"วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนมรกตเร้นลับ ทักษะวิญญาณผันแปรที่หนึ่งราชันย์แมงป่องอสรพิษมัจจุราชมรณะ สำแดงเดช!!"

สิ้นเสียงของหนิงอ้ายร่างจำแลงอันเกิดจากกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปี เงาร่างของอสูรแมงป่องแปดขามัจจุราชที่ถูกเสริมความแข็งแกร่งจากกระดูกวิญญาณอสรพิษเหมันต์บรรพกาลจนเกิดเป็นทักษะวิญญาณผันแปรที่แข็งกร้าวยิ่ง ไม่รั้งรอให้หนิงอ้ายบัญชาการ สุดยอดเงาร่างที่ถูกสอดประสานนี้ได้พุ่งเข้าโจมตีอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะอย่างไม่ทันตั้งตัว

ลิ่มเหล็กในสีเขียวดำนับร้อยนับพันปรากฎขึ้นจากพื้นที่ว่างเปล่าโดยรอบพุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วพร้อมกับกลิ่นคาวเลี่ยนของพิษอหังการ เมื่อตกกระทบสิ่งใดล้วนต่างระเหยกลายเป็นไอพิษทั้งสิ้น ก่อนที่ส่วนหางที่มีลิ่มเหล็กในฝังอยู่จะตวัดพุ่งตรงไปยังจุดตันเถียรของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะที่เป็นดั่งจุดกลางของพลังวิญญาณบ่มเพาะตบะของสัตว์อสูรได้ถูกทำลายลงร่างกายของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไม่ต่างไปจากสัตว์อสูรทั่วไปคงไม่เกินจริงไปนัก

"หัตถ์หยกบุษกรพุทธอัคคีพิโรธ!!"

หนิงอ้ายเลือกจบชีวิตของอีกฝ่ายที่กำลังดีดดิ้นทรมานนี้ด้วยสุดยอดเคล็ดวิชาฝ่ามือของเขา เด็กหนุ่มสูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ร่ายบทเวทย์โจมตีระดับเทวะ รวมไปถึงการฝืนใช้ทักษะวิญญาณผันแปรที่พึ่งฝึกฝนสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ยามร่างกายมีพลังลมปราณไม่พร้อมย่อมส่งผลเสียต่ออีกฝ่ายไม่น้อย

"หนิงอ้ายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง??"เสียงของลู่ซีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะตกใจกับความอหังการของเด็กหนุ่มเมื่อครู่แต่ถึงอย่างไรความเป็นห่วงที่มีต่ออีกฝ่ายก็มีมากกว่าเช่นกัน

หลังจากที่อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะตายตกไปบรรดาสัตว์อสูรที่ต่างถูกสะกดจิตในก่อนหน้าต่างฟื้นคืนสติและหนีหายไปสิ้น ดังนั้นพวกเขาทั้งสามคนจึงสลายเวทย์ป้องกันและสมบัติวิเศษก่อนที่จะเข้ามาถามสหายของตนด้วยความเป็นห่วง

"ทุกคนสบายใจได้ข้าปลอดภัยดีไม่ต้องเป็นห่วง อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้ตายตกไปแล้วอีกไม่นานกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมกลับมาฟื้นสติเช่นเดิมข้าว่าพวกเรารีบเดินทางไปยังทางเข้าของสำนักศึกษากันก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยพูดคุยกันดีหรือไม่??"

เมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว พวกเขาทั้งสามคนต่างส่งสายตาสำรวจอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงหนิงอ้ายเห็นท่าทางเช่นนี้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเก็บกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรตรงหน้าพร้อมกับร่างไร้วิญญาณนี้ ก่อนที่ร่างบางจะพุ่งตัวออกไปด้วยเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ในทันที

ใช้เวลาไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้นจากจุดที่พวกเขาทั้งสี่คนรับมือกับอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ คาดเดาได้ว่าน่าจะผ่านพ้นเขตป่าไป๋เซินหลินแล้ว เพราะบริเวณโดยรอบนี้ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้รวมไปถึงทุกสิ่งอย่างได้กลับมามีสีสันเขียวขจีอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว เมื่อมองไปไม่ไกลเห็นป้ายหยกแกะสลักนามของสำนักศึกษา

"ในที่สุดพวกเราก็มาถึงทางเข้าของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เสียที..."

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status