ระหว่างการเดินทางหนิงอ้ายได้ทราบว่าสตรีผู้เป็นศิษย์พี่ของเขามีนามว่าไป๋เหลียนฮวา ผู้มีมีศักดิ์เป็นหลานของผู้อาวุโสเหวินหวู่ นางเป็นศิษย์ลำดับที่ห้าที่ได้เข้าสังกัดอยู่ในตำหนักนี้มาได้หลายปีเเล้ว ด้วยเพราะนางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในตำหนัก ดังนั้นหน้าที่ในการดูเเลรับผิดชอบต่าง ๆ ผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้มอบอำนาจให้นางจัดการแทบทั้งสิ้น
ฟังว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองออกไปทำภารกิจบางอย่างให้ผู้อาวุโสเหวินหวู่ อีกไม่นานคาดการณ์ว่าคงใกล้กลับสำนักแล้ว ทางฝั่งของศิษย์พี่สามกำลังเข้ากักตัวเนื่องจากมีสัญญาณว่าจะเลื่อนละดับในเร็ววันนี้ สำหรับศิษย์พี่สี่ด้วยเพราะมีนิสัยที่ไม่ชื่นชอบความวุ่นวายเท่าไหร่นักจึงพำนักอยู่ในเรือนของตนเพื่อศึกษาตำราและทดลองปรุงโอสถต่าง ๆ
ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เหล่านี้จะไม่ยินดีต้อนรับหนิงอ้ายมาเป็นศิษย์น้อง พวกเขาล้วนต่างตื่นเต้นที่จะได้ศิษย์น้องคนใหม่เข้าตำหนักของตน แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดเข้าตาท่านเจ้าตำหนัก จึงทำให้หลังจากการรับศิษย์ลำดับที่ห้าเมื่อหลายปีมาเเล้วนั้น บรรดาศิษย์ในตำหนักจึงเลิกให้ความสนใจและเข้าร่วมพิธีการทดสอบศิษย์ใหม่ จึงเป็นนางเองที่เป็นผู้จัดการทุกสิ่งอย่างเช่นเดิม โดยที่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่ทราบว่าตำหนักของตนได้รับศิษย์ใหม่เสียที หากนับไปแล้วนั้นหนิงอ้ายนั้นเป็นศิษย์น้องเล็กที่อายุน้อยที่สุดที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น
ตลอดเส้นทางเดินนั้นที่หนิงอ้ายและศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวา พวกเขาทั้งสองคนได้เดินทางผ่านทางถนนที่ถูกปูพรมด้วยหินก้อนที่ถูกตัดด้วยรูปทรงหกเหลี่ยมที่เท่ากัน บริเวณโดยรอบตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยอาคารจีนโบราณขนาดน้อยใหญ่ รวมไปถึงตำหนักย่อยต่าง ๆ อันเป็นสถานที่ตั้งของอีกสามตำหนักที่เหลือที่ตั้งอยู่ในแต่ละทิศ เนื่องจากว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นอยู่ในพื้นที่เกือบด้านในสุดของเขตสำนักศึกษา
ไป๋เหลียนฮวาได้เอ่ยเสริมขึ้นว่าดังนั้นแล้วจึงทำให้สภาพแวดล้อมจึงเต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่สวยงาม ถึงแม้ว่าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะตั้งอยู่ในเขตทางเหนือของมหาทวีปบูรพาที่พื้นที่ส่วนใหญ่รวมไปถึงพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของสำนักต่างเป็นพื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะเเข็งและมีสภาพหนาวเย็นที่เปรียบดั่งปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่งพิศดารยากต่อการบุกทะลวง
ด้วยเพราะทางสำนักได้กางค่ายกลขนาดใหญ่ครอบคลุมเขตพื้นที่ฝ่ายนอกทั้งหมด ส่งผลให้บริเวณด้านในล้วนไม่ได้รับผลกระทบจากความหนาวเย็นเหล่านี้ พวกเขาทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งเค่อด้านหน้าปรากฎเป็นประตูทางเข้าที่ถูกทำขึ้นจากหินก้อนใหญ่ที่ถูกสลักอย่างสวยงามว่า ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ไป๋เหลียนฮวาหันมายิ้มกับกับหนิงอ้ายเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไป
ทันทีที่หนิงอ้ายเข้ามาในบริเวณของตำหนัก เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าพื้นที่แห่งนี้ถูกปกป้องด้วยค่ายกลเฉพาะของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ผู้ที่จะผ่านเข้ามาได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ได้รับการอนุญาตจากผู้อาวุโสเหวินหวู่ผู้เป็นเจ้าตำหนัก รวมไปถึงศิษย์ของตำหนักที่มีป้ายหยกกำกับเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านประตูส่วนหน้ามาได้ ที่โดยรอบของตำหนักนี้นั้นหนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงปราณฟ้าดินที่หนาแน่นกว่าพื้นที่ส่วนนอกหลายเท่าเลยทีเดียว...
"พื้นที่ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นท่านอาจารย์เหวินหวู่ได้ไหว้วานให้ผู้อาวุโสกุ้ยเจินเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลสร้างมหาค่ายกลที่สามารถดึงดูดปราณฟ้าดินเข้ามารวบรวมในพื้นที่นี้รวมไปถึงชักนำกระเเสปราณบริสุทธิ์จากสมุนไพรระดับสูงที่มีการปลูกไว้ในโรงเรือนด้านหลังเพื่อให้พื้นที่ในตำหนักของเรามีปราณฟ้าดินที่มากมายเพียงพอสำหรับสมุนไพรวิเศษและพวกเราเหล่าศิษย์ในตำหนัก..."
"แม้ว่าอีกสามตำหนักที่เหลือต่างมีมหาค่ายกลลักษณะคล้ายคลึงกันที่สามารถดึงดูดปราณฟ้าดินเช่นนี้ได้ก็จริง เเต่ถึงอย่างนั้นพวกเขายังด้อยไปด้วยสิ่งที่ส่งเสริมนั่นคือเหล่าสมุนไพรดับสูงที่ถูกปลูกไว้อย่างมากมายในตำหนักของเรา..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายด้วยนางสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มนั้นสัมผัสได้ถึงปราณฟ้าดินเหล่านี้ได้เช่นกันดูท่าแล้วญาณสัมผัสของศิษย์น้องผู้นี้ของนางนั้นคงเท่าเทียมกับมากกว่านางอย่างแน่นอน
"อาศัยสมุนไพรวิเศษระดับสูงชักนำกระเเสปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ให้ไหลเวียนโดยทั่วตำหนัก อีกทั้งมหาค่ายกลผืนนี้ยังถูกเสริมไปด้วยผลึกปราณธาตุทั้งสี่ที่หาได้ยากยิ่งและเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์สิบส่วนและด้วยเหตุนี้ทั่วทั้งตำหนักจึงเต็มไปด้วยปราณฟ้าดินที่หนาแน่นเช่นนี้นั่นเอง..."หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ด้วยความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
คำกล่าวของเด็กหนุ่มทำเอาไป๋เหลียนฮวาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะกว่าที่นางจะรู้ว่าทางตำหนักได้ใช้ผลึกปราณธาตุในการเสริมค่ายกลนี้นั้นก็ใช้เวลาไปเกือบปี แต่หนิงอ้ายที่ก้าวเท้าในตำหนักเพียงไม่กี่จิบชาเท่านั้นกลับสัมผัสได้
"ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายจะรู้ได้ถึงความลับที่ซุกซ่อนอยู่และสามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ญาณสัมผัสของเจ้านั้นนับว่าเหนือชั้นกว่ารุ่นเยาว์วัยเดียวกันยิ่งนัก..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยชื่นชมเด็กหนุ่มด้วยความประทับใจในความรอบรู้ของอีกฝ่าย
"ศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวากล่าวชมข้าเกินไปขอรับ ลู่เกอพี่ชายของข้าที่เป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล ยามว่างมักจะศึกษาตำราที่ท่านตานำมาให้เกี่ยวกับค่ายกล ข้าที่เบื่อ ๆ จึงเข้าไปก่อกวนจนท้ายที่สุดก็ถูกบังคับให้นั่งศึกษาด้วยกัน บ่อยครั้งเข้าข้าจึงพอมีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลอยู่บ้างขอรับ...." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความสัตย์จริงเพราะก่อนหน้าที่ตอนที่อยู่ในตระกูลหวัง เมื่อท่านตาได้รู้แล้วว่าพวกเขาทั้งสองคนจะเข้าร่วมสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ท่านจึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำหนักทั้งสี่
ลู่ซีที่มีความสนใจในศาสตร์แห่งค่ายกลจึงมุ่งเน้นศึกษาตำราดังกล่าว ตัวเขาในตอนนั้นแม้จะมีอ่านตำราที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งค่ายกลของอีกฝ่ายอยู่บ้างแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะอ่านตำราของศาสตร์อื่น ๆ ไปพร้อมกัน
"ถึงที่พักของเจ้าแล้ว เรือนนี้จะเป็นเรือนที่อยู่ใกล้กับผู้อาวุโสเหวินหวู่มากที่สุด เจ้าคงเหนื่อยกับการทดสอบก่อนหน้ามากเป็นแน่เช่นนั้นแล้วเจ้าจงจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและนอนพักเสียเถิด ยามโหย่วค่อยไปเจอกันที่เรือนรับรองแล้วกัน..." ไป๋เหลียนฮวานั้นเอ่ยกำชับเด็กหนุ่มไปอีกเล็กน้อยก่อนที่จะแยกตัวออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายนั้นได้พักผ่อน
เรือนเล็กหลังนี้นั้นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ นับได้ว่าเหมาะสมกับความต้องการของเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะปกติหนิงอ้ายไม่ชื่นชอบตัวห้องที่มีเครื่องเรือนมากมายสักเท่าไหร่ เน้นความเรียบง่ายสบายตาไปเสียมากกว่า หลังจากเดินสำรวจคร่าว ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะระบายรอยยิ้มที่เเสดงความพึงพอใจออกมา
ตัวเรือนมีห้องนอนและห้องน้ำในตัว อีกทั้งห้องนั่งเล่นที่อยู่ริมหน้าต่างติดกับสระบัวนับว่าถูกใจเขาเป็นอย่างยิ่ง หนิงอ้ายตั้งใจว่าตนจะเก็บของสักเล็กน้อยเท่าที่จำเป็น ก่อนที่จะอาบน้ำจัดการตัวเองแล้วพักผ่อนก่อนที่จะไปตามนัดหมายที่ศิษย์พี่ไป๋ได้แจ้งแก่เขานั่นเอง
"เอาละต้าเฮยเข้ารอข้าอาบน้ำอยู่ที่นี่อย่าไปเที่ยวซนที่ไหน ข้าจะรีบออกมาหรือว่าเข้าจะเข้าไปอาบน้ำกับข้า ฮ่าฮ่าฮ่า..." หนิงอ้ายเอ่ยหยอกล้อขึ้นพร้อมกับลูบหัวเจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้เลื้อยออกจากช่องในเสื้อคลุมก่อนที่จะชูคอให้เด็กหนุ่มลูบเบา ๆ
สิ้นเสียงคำเชิญชวนของเด็กหนุ่มอสรพิษสีดำตัวน้อยไม่รอช้ารีบเลื้อยหนีจากแขนของร่างบางไปยังเตียงนอนราวกับกลัวว่าตนจะถูกจับอาบน้ำดังคำกล่าวของเด็กหนุ่มเสียอย่างนั้นชวนให้น่าแกล้งกว่าเดิมเสียจริง หนิงอ้ายที่เห็นถึงท่าทีเขินอาย?? ของต้าเฮยนั้นถึงกับหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียที…
พื้นที่โดยรอบของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาถูกแบ่งการใช้งานออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ประกอบไปด้วยส่วนของเรือนพักที่มีขนาดใกล้เคียงกัน มีพื้นที่ส่วนตัวของเเต่ละเรือนที่ชัดเจนเป็นจำนวนนับสิบหลังเพียงพอกับเหล่าบรรดาศิษย์ในตำหนักทุกคน เรือนพักหลังที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางนั้นเป็นเรือนของท่านเจ้าตำหนักแห่งนี้และตรงด้านหลังก็มีเรือนรับรองอีกสองหลังไว้สำหรับต้อนรับผู้ที่มาเยือนเช่นกัน
ส่วนที่สองจะเป็นสถานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทั้งสิ้น ประกอบไปด้วยหอโอสถขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่โดดเด่นภายในอาคารนั้นเต็มไปด้วยโอสถหลากหลายชนิดและสูตรโอสถที่มากมาย นอกจากนี้โรงเรือนตรงด้านข้างกันที่เป็นสถานที่จัดเก็บสมุนไพรโดยเฉพาะที่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี สำหรับโอสถต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโอสถรักษา โอสถเลื่อนระดับ หรือโอสถอื่น ๆ นั้นล้วนอยู่ในการดูเเลของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาทั้งสิ้น
สำหรับโรงเรือนรักษาจะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางด้านนอก เนื่องจากท่านเจ้าตำหนักเหวินหวู่ไม่ชื่นชอบให้มีคนเข้าออกในบริเวณพื้นที่ตำหนักของตนสักเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าในเเต่ละวันนั้นศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาจึงมีการจัดเวรสลับกันในการประจำการด้านนอกและรักษาศิษย์อื่นร่วมสำนักในโรงเรือนดังกล่าวนั่นเอง
สำหรับพื้นที่ส่วนสุดท้ายหรือเป็นพื้นที่ส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดของตำหนัก นอกจากจะมีไม้ยืนต้นขนาดต่างๆ ที่คอยให้ร่มเงาแล้วยังคงมีไม้ผลมากมายสายพันธ์ต่างออกดอกผลตลอดทั้งปีอีกด้วย แปลงสมุนไพรหลายแปลงที่ถูกดูเเลป้องกันด้วยค่ายกลชนิดหนึ่ง พื้นที่บริเวณนั้นหากเพ่งญาณสัมผัสอย่างถี่ถ้วนก็จะรับรู้ได้ว่าสมุนไพรเหล่านี้ต่างได้ปล่อยปราณฟ้าดินบริสุทธิ์อ่อน ๆ ออกมาจึงทำให้ส่วนของพื้นที่ปลูกสมุนไพรจะมีความหนาแน่นของปราณฟ้าดินที่เข้มข้นกว่าส่วนอื่นในตำหนัก ทุกสิ่งอย่างนี้ต่างล้วนมีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว
"กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จอีกไม่ถึงชั่วยาม ก็จะถึงเวลานัดหมายที่ศิษย์พี่ไป๋ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ เช่นนั้นอย่าพึ่งนอนพักก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องเร่งรีบอีกด้วย..." หลังจากที่เขาอาบน้ำและจัดการตัวเองเสร็จแล้วหนิงอ้ายเห็นว่าเจ้าต้าเฮยเอาแต่หลบซ่อนเขาอยู่ในกองผ้าห่มเรียกเท่าใดก็ไม่ยอมออกมา
หนิงอ้ายคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่คุ้ยชินที่สักเท่าไหร่ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่เข้าไปกวนเจ้าตัวน้อยแล้วกันปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนไปเสีย ก่อนที่จะทำการดูดซับปราณฟ้าดินที่มีอยู่โดยรอบตัวเข้าสู่ร่างกายของตนเพื่อคลายความเมื่อยล้าอีกครั้ง
นอกจากดูดซับปราณฟ้าดินแล้วหนิงอ้ายได้ปล่อยวิหคสอดแนมออกไปเป็นจำนวนมาก ขอบเขตที่เขาสามารถควบคุมได้ในตอนนี้นั่นคือรัศมีสองลี้ เชื่อว่าหากเขามีระดับพลังวิญญาณที่สูงขึ้นขอบเขตของรัศมีนี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน หนิงอ้ายยังคงเลือกใช้วิหคสอดแนมเพื่อที่เขาจะได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นถึงความเป็นไปต่าง ๆ ได้นั่นเอง
"ศิษย์น้องเจ้าเป็นอย่างไรบ้างทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเเล้วใช่หรือไม่??" ไป๋เหลียนฮวาที่มาถึงหน้าเรือนพักของเด็กหนุ่มจึงร้องถามขึ้นจากด้านนอก
"ทุกอย่างเรียบร้อยถูกใจข้ายิ่ง เราจะไปตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายถามกลับไปเพราะวิหคสอดแนมได้ส่งภาพที่อีกฝ่ายมุ่งมายังเรือนพักของเขาในก่อนหน้านี้เเล้ว
"ตอนนี้ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่ก็มากันใกล้ครบแล้วอีกสักพักท่านอาจารย์ก็คงมาถึงเช่นกัน เจ้าจัดการตัวเองเรียบร้อยเเล้วก็ไปกันเสียเถอะ..." ไป๋เหลียนฮวาถามกลับเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนที่จะชักชวนให้อีกฝ่ายไปกันเสียที
"ข้ากำลังจะออกไปขอรับ" หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับสำรวจความเรียบร้อยของตนอีกครั้งก่อนที่จะเปิดประตูออกไป
หนิงอ้ายอยู่ในชุดเครื่องแบบของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแล้วอย่างเต็มตัว ด้วยเพราะว่าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นรวมไปถึงเสื้อผ้าต่างถูกจัดเตรียมอย่างครบถ้วนเรียบร้อย หนิงอ้ายคิดว่าอาจเป็นฝีมือของศิษย์พี่ก็เป็นไปได้ที่เข้ามาจัดการดูเเลในส่วนนี้ให้กับเขา
ภาพตรงหน้าของนางปรากฎเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางน่าเอ็นดูชวนให้รู้สึกทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อร่างบางสวมเสื้อตัวนอกสีเขียวขาวอันเป็นเครื่องแบบประจำตำหนักแล้วยิ่งส่งเสริมให้รูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มราวกับคุณชายที่มากไปด้วยภูมิความรู้สติปัญญาอย่างแท้จริง สำหรับป้ายหยกสีเขียวอ่อนเหลือบสีทองที่ถูกผูกไว้ตรงข้างเอวเป็นสิ่งที่เเสดงถึงฐานะของเด็กหนุ่มที่สังกัดอยู่ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแห่งนี้
ถึงอย่างไรป้ายหยกของเด็กหนุ่มก็มีความแตกต่างจากศิษย์ในตำหนักเดียวกันไปด้วยเพราะตำแหน่งผู้สืบทอดของตำหนัก เมื่อไป๋เหลียนฮวาเมื่อสำรวจเเล้วว่าเด็กหนุ่มแต่งกายครบถ้วนเรียบร้อยจึงเดินนำไปในทันที
"ศิษย์พี่ไป๋ข้าขอถามบางอย่างได้หรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจและด้วยใบหน้าของอีกฝ่าย ทำเอาคู่สนธนาอย่างไป๋เหลียนฮวาถึงกับอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
"เจ้าสงสัยสิ่งใดก็ถามมาเถิด ศิษย์พี่จะตอบในสิ่งที่พอจะตอบให้กับเจ้าได้..." ไป๋เหลียนฮวาเมื่อเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความเกรงใจของเด็กหนุ่มจึงรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
สตรีเช่นนางนั้นที่ต้องอยู่ในตำหนักนี้ที่มีเเต่บุรุษ ต่างมีนิสัยที่แตกต่างประหลาดกันออกไปและชอบทำให้นางโมโหเสียหลายครั้ง เช่นนั้นเเล้วเมื่อนางได้ศิษย์น้องคนนี้เข้ามาร่วมตำหนักเดียวกัน จิตใจที่ห่อเหี่ยวของนางก็รู้สึกว่าดีขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว
"ข้าที่เป็นศิษย์ใหม่ เป็นศิษย์น้องของพวกท่านเพียงเท่านั้นแต่ได้รับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดเช่นนี้บรรดาศิษย์พี่ท่านที่เหลือนั้นจะรู้สึกไม่พอใจในตัวข้าหรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
เพราะเขาอยากมีสัมพันธ์ที่ดีกับศิษย์พี่ร่วมตำหนักทุกคน อีกทั้งตำแหน่งนี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนเฝ้าฝันถึง การที่ศิษย์พี่คนอื่น ๆ ที่ได้เข้าร่วมตำหนักนี้มาหลายปีแล้วเเต่กลับเป็นเขาที่พึ่งเข้ามาในปีนี้เเต่กับถูกเลือกเป็นศิษย์สืบทอด สิ่งนี้อาจทำให้ศิษย์พี่คนที่เหลือที่คาดหวังในตำแหน่งนี้คงไม่พอใจในตัวเขาก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต