แชร์

บทที่70 คำนับอาจารย์

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-06 11:43:14

"เจ้ากังวลใจในเรื่องนี้เองหรอกรึ?? ศิษย์พี่ผู้นี้จะบอกแก่เจ้า ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หลายปีก่อนที่ท่านอาจารย์จะรับเจ้าเข้ามา ทางฝั่งของผู้อาวุโสระดับสูงและเจ้าตำหนักทั้งสามคนต่างกดดันอาจารย์เหวินหวู่ของพวกเราให้เลือกศิษย์คนใดคนหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอดของตำหนักเสียทีเพราะตำแหน่งนี้ถูกว่างเว้นมาหลายปีเเล้ว..."

"เจ้าอาจจะพอรับรู้มาบ้างว่าเป็นธรรมเนียมที่ถูกปฏิบัติยึดถือในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มาอย่างช้านานตั้งแต่เริ่มต่อตั้งสำนัก นั่นคือในทุก ๆ สี่ปีตำหนักทั้งสี่จักต้องให้ศิษย์ผู้สืบทอดในตำหนักของร่วมประลองกัน ทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไร้ซึ่งตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดมายาวนานนับสิบปีแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

"ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความไม่มั่นใจ

"พวกเราทั้งหกคนต่างโยนตำแหน่งนี้ให้กันไปมาราวกับเหล็กร้อน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่คู่ควรกับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดแต่ทว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นกลับโยนให้กับศิษย์พี่รองเสียอย่างนั้น..."

"เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้ได้เกิดสิ่งใดขึ้น ศิษย์แต่ละคนในตำหนักต่างถกเถียงกันไปมาก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าผู้ใดจักเป็นเจ้าของตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดนี้ ท้ายที่สุดในการประลองระหว่างศิษย์ผู้สืบทอดในเเต่ละครั้งนั้นท่านอาจารย์จึงสุ่มคัดเลือกเพื่อตัวเเทนของตำหนักในการเข้าประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดของทั้งสามตำหนักที่เหลือนั่นเอง..." ไป๋เหลียนฮวาตอบกลับเด็กหนุ่มไปพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย เพราะเมื่อพูดถึงทีไรภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นชัดเจนในความทรงจำของนางอยู่เสมอ

"เจ้ากังวลใจว่าตำแหน่งผู้สืบทอดนี้จะทำให้เจ้าถูกเกลียดชังและไม่พอใจจากศิษย์พี่ท่านอื่นเช่นนั้นรึ?? ข้าว่าพวกบุรุษเหล่านั้นคงจะดีใจเสียมากกว่า..." นางตอบกลับเด็กหนุ่มไปด้วยความสัตย์จริงให้เด็กหนุ่มนั้นเลิกกังวลใจ

"ท่านอาจารย์คงเห็นถึงความสามารถและความเหมาะสมในตัวเจ้า อย่าลืมว่าในก่อนหน้านี้เจ้าได้ผ่านการทดสอบในฐานะของศิษย์ผู้สืบทอดซึ่งเห็นเป็นประจักษ์แก่เจ้าสำนัก ท่านเจ้าตำหนักทั้งสามท่าน ผู้อาวุโสคุมกฎรวมไปถึงผู้อาวุโสระดับสูงทุกคนรวมไปถึงศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกของสำนักศึกษาเราแล้ว เจ้าได้ตำแหน่งนี้มาด้วยความภาคภูมิอย่างแท้จริง..."

"สุดท้ายนี้ แม้ว่าท่านอาจารย์นั้นอาจดูยากที่จะคาดเดาไปบ้างแต่ทุกที่ท่านอาจารย์ตัดสินใจแล้ว สิ่งนั้นย่อมมีเหตุผลรองรับเสมอ ต้องรีบไปกันได้แล้วอย่าให้ศิษย์พี่ท่านอื่นต้องรอนานไปมากกว่านี้..." นางเอ่ยเสริมขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะเดินนำเด็กหนุ่มไปด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น

ตัวเรือนรับรองหลังนี้ตรงที่ด้านข้างมีสระน้ำขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยกอบัวหลากสีสันที่ชูช่อไปมาชวนให้รู้สึกสงบใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทั้งสองเดินเข้าไปในห้องรับรองดังกล่าวเเล้วนั้นจึงพบว่า ตรงที่นั่งตรงกลางเป็นผู้อาวุโสเหวินหวู่ที่กำลังพูดคุยกับศิษย์พี่ท่านหนึ่ง

ตรงที่นั่งสองลำดับเเรกไร้ซึ่งตัวคน แต่ที่นั่งจากนั้นที่ลดหลั่นกันนั้นต่างมีผู้ที่นั่งอยู่ทั้งสิ้น หนิงอ้ายไม่แปลกใจที่ไม่พบเห็นศิษย์พี่ครบทุกคนเพราะตามที่ศิษย์พี่ไป๋ได้บอกในก่อนหน้าว่าศิษย์พี่ทั้งสองได้ออกไปทำภารกิจให้กับท่านอาจารย์ ภายในเจ็ดวันนี้คงกลับถึงตำหนักอย่างแน่นอน

"ขอบใจเจ้ามากไป๋เอ๋อร์ที่เป็นธุระในครั้งนี้ให้กับอาจารย์..." ผู้อาวุโสเหวินหวู่เอ่ยขึ้น ศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวาจะประสานมือโค้งคำนับก่อนที่จะเเยกตัวไปนั่งยังที่ประจำของตน

"เจ้าชื่อหนิงอ้ายสินะ มาตรงนี้ให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าชัด ๆ เสียหน่อยในลานพิธีนั้นเห็นเจ้าไม่ชัดสักเท่าไหร่นัก..." ผู้อาวุโสเหวินหวู่เอ่ยขึ้น หนิงอ้ายที่หันไปมองศิษย์พี่ไป๋และศิษย์พี่คนอื่นที่ต่างส่งสายตาบอกให้เขาทำตามที่ท่านอาจารย์สั่ง เด็กหนุ่มจึงก้าวเท้าเข้าไปก่อนที่จะคุกเข่าคำนับชายชราที่นั่งอยู่ด้านหน้าทันที

"หวังหนิงอ้ายคำนับท่านอาจารย์เหวินหวู่ขอรับ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันมั่นคงก่อนที่จะประสานมือโค้งคำนับอีกฝ่ายพร้อมกับจรดหัวลงกับพื้นด้วยความเคารพยิ่ง

"อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้แต่กลับมีปราณต้นกำเนิดธาตุไฟที่บริสุทธิ์ไปถึงสิบส่วน อีกทั้งยังครอบครองกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปีเช่นนี้ ไม่ธรรมดา ไม่ธรรมดา..."

"ตาเฒ่าจิ่งหลง ฮูหยินเหมยฮวาและซินเอ๋อร์คงสบายดีใช่หรือไม่??" สิ้นคำกล่าวของชายชราผู้เป็นดั่งอาจารย์ ยิ่งคำกล่าวที่พูดถึงท่านตาของตนอย่างสนิทสนมเช่นนี้นับว่าน่าแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง

ทางฝั่งของศิษย์พี่ทั้งสองยกเว้นไป๋เหลียนฮวา หลังจากได้รับรู้ว่าพวกตนมีศิษย์น้องลำดับที่เจ็ด ที่ผ่านการทดสอบของผู้อาวุโสและได้รับตำแหน่งผู้สืบทอด ต่างคิดว่าเป็นเพียงเรื่องขำขันที่ไม่อาจเป็นไปได้ เเต่ด้วยเพราะข่าวที่ว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษามีผู้ที่ครอบครองตำแหน่งผู้สืบทอดเเล้วในที่สุด และผู้นั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี

ทุกคนในสำนักศึกษาทั้งที่เข้าร่วมรับชมการทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้หรือต่างรับรู้กันทั้งสิ้น เมื่อพวกตนได้รับคำยืนยันจากไป๋เหลียนฮวา พวกเขาจึงเฝ้ารอคอยที่จะได้พบศิษย์น้องของพวกตน เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนที่ท่านอาจารย์เลือกเป็นศิษย์ในตำหนักและได้รับฐานะผู้สืบทอดนั้นต้องไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน

"ท่านตาท่านยายและท่านแม่ของข้าสบายดีขอรับ ท่านอาจารย์รู้จักพวกท่านทั้งสองและมารดาของข้าด้วยอย่างนั้นหรือ??" หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยท่าทีขัดเขินเพราะเขานั้นตั้งใจที่จะปกปิดตัวตนของตนเเต่ไม่คิดว่าท่านอาจารย์จะทราบเบื้องหลังของเขา

"ตาเฒ่าหวังจิ่งหลงได้เขียนจดหมายฝากฝังพวกเจ้าสองพี่น้องให้กับข้าก่อนที่พวกเจ้าจะผ่านการทดสอบเสียอีก ตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดที่เจ้าได้มานั้นเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมและความสามารถอันเป็นประจักษ์ ไม่เกี่ยวกับการที่ข้าเป็นสหายของตาเจ้าจงสบายใจได้!!" เหวินหวู่ตอบกลับเด็กหนุ่มไปด้วยความเอ็นดู ดูท่าเเล้วสหายเฒ่าของเขาที่เขียนบรรยายถึงความน่าเอ็นดูของหลานคนเล็กและหลานคนโตไม่เกินจริงไปเท่าไหร่นัก

"ศิษย์น้องเจ้าแซ่หวังเช่นนั้นรึ?? ข้านึกว่าเจ้าแซ่หนิงเสียอีก แสดงว่าในการประลองแคว้นก่อนหน้าที่แคว้นเต่าดำเป็นผู้จัดขึ้นคุณชายหวังหนิงอ้ายผู้เป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งในการประลองและครอบครองฐานะเจ้าแห่งยุทธภพที่อายุน้อยที่สุดเป็นเจ้าเช่นนั้นรึ!!!!" เสียงของศิษย์พี่หกเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชมทำเอาหนิงอ้ายนั้นรู้สึกเขินไม่น้อย

"ศิษย์น้องของพวกเราเป็นถึงเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์เชียวรึ?? เช่นนั้นแล้วในอีกสองปีข้างหน้าในการประลองศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักทั้งสี่ดูท่าเเล้วพวกเราของมีหวังมากกว่าเดิมสินะ..." ศิษย์พี่สี่ที่นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายมือเอ่ยเสริมขึ้น

"ว่ากันว่าเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์หวังหนิงอ้ายรูปโฉมงดงามนั่งนางเซียนในตำนานเรื่องเล่า เส้นผมสีขาวเงินบริสุทธิ์รับกับผิวขาวราวกับหิมะดวงตาเปรียบดั่งอัญมณีอันล้ำค่าที่ผู้ใดสบตาเเล้วยากที่จะต้านทานได้ เเต่กับเจ้าในรูปลักษณ์ตอนนี้เจ้าคงใช้เวทย์ปลอมแปลงอยู่ใช่หรือไม่?? " ศิษย์พี่หกเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้

"ข้าใช้รูปลักษณ์ปลอมแปลงนี้ในการเดินทางมาทดสอบของสำนัก..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย

"เจ้าอยู่ในรูปลักษณ์ปลอมแปลงเช่นนี้ก็ดีเเล้ว ด้วยฐานะเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์ของเจ้าในตอนนี้หากมีผู้คนรับรู้มากเท่าไหร่ย่อมไม่ปลอดภัยสักเท่าไหร่..." ผู้อาวุโสเหวินหวู่เอ่ยเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

ด้วยเพราะเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์แต่ละคนในรอบร้อยปีมานี้ สุดยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนต่างหายตัวไปอย่างปริศนาแม้จะมีคำกล่าาว่าคงท่องเที่ยวโลดแล่นอยู่ในยุทธภพอันกว้างใหญ่นี้ เเต่ว่าความจริงเจ้ายุทธภพเหล่านั้นล้วนหายตัวไปอย่างน่าแปลกประหลาดที่ไม่สามารถสืบค้นหาสิ่งใดได้ ดังนั้นจึงมีการปรึกษาหารือกันอย่างลับ ๆ เพื่อที่จะหาทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ได้อีกในวันข้างหน้า

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้าช่วยปลดการปลอมแปลงได้หรือไม่?? ศิษย์พี่อยากเห็นตัวตนที่เเท้จริงของเจ้าเเต่หากเจ้าไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร..." ศิษย์พี่หกคนเดิมเอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่ม

ในการประลองระหว่างแคว้นที่ผ่านมา เขาได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาไม่น้อยรวมไปถึงเรื่องราวของเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์หวังหนิงอ้ายที่ทุกคนเข้าร่วมรับชมงานประลองต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าความงามของอีกฝ่าย หากกล่าวว่าเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดกล้ายกตนเป็นที่หนึ่ง

"ศิษย์น้องหกอย่าทำให้ศิษย์น้องเล็กลำบากใจ ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้าไม่จำเป็นต้องทำตามที่ศิษย์น้องหกร้องขอ เพราะมันเป็นสิทธิของเจ้า..." แม้ว่าไป๋เหลียนฮวาเองก็อยากเห็นรูปลักษณ์ที่เเท้จริงของเด็กหนุ่ม เเต่นางก็ไม่อาจฝืนบังคับได้เพราะนางเชื่อว่าหากวันใดเด็กหนุ่มพร้อมพวกนางคงได้เห็นอย่างแน่นอน

"ความจริงแล้วข้าก็ตั้งใจที่จะเปิดเผยรูปลักษณ์ที่เเท้จริงของข้าให้พวกท่านเห็นเช่นกันเพราะข้ายึดถือคำที่ว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวันเป็นดั่งบิดาไปชั่วชีวิต ในเมื่อพวกเราต่างยึดถือเคารพอาจารย์คนเดียวกันแล้ว เช่นนั้นพวกเราต่างเป็นพี่น้องกันทั้งสิ้น ข้าเองเต็มใจที่จะให้ศิษย์พี่ทุกคนและท่านอาจารย์ได้เห็นตัวตนที่เเท้จริงของข้าขอรับ!!" หนิงอ้ายตอบกลับศิษย์พี่ทั้งสองของตนไปพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย

เขาได้มองไปยังอาจารย์ของตนและศิษย์พี่ที่ต่างมองมายังตน ก่อนที่ชั่วอึดใจหนิงอ้ายจึงปลดการปลอมแปลงของตนในทันที…

โดยปกติรูปลักษณ์ภายนอกที่หนิงอ้ายใช้เวทย์ปลอมแปลงจะเป็นเด็กหนุ่มอายุราว ๆ สิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งที่มีหน้าตาน่ารักชวนให้รู้สึกเอ็นดู เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มในช่วงวัยเดียวกันหนิงอ้ายนั้นตัวเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งเหล่านี้เองไม่ว่าจะเป็นใบหน้าที่จะเรียกว่างดงามหรือหล่อเหลาก็ได้แล้ว เมื่อถูกรวมไปกับรูปร่างอันบอบบางของเด็กหนุ่มจึงทำให้ในสายตาของทุกคนจึงมองหนิงอ้ายเป็นดั่งน้องน้อยที่ต้องคอยปกป้องดูเเลให้ดีที่สุด ทว่าเมื่อทุกคนได้เห็นฝีมือและพรสวรรค์ของร่างบางนั้นความคิดนี้จึงถูกปัดตกไปจนสิ้น

รูปลักษณ์ปลอมแปลงที่หนิงอ้ายใช้ก็เป็นตัวตนของเขาเองในโลกเดิมตอนที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะมีเค้าโครงหน้าที่คล้ายกันเป็นอย่างมากก็จริง เเต่ทว่าด้วยเพราะใบหน้าของหนิงอ้ายในโลกนี้นั้นมีความคล้ายคลึงกับเยว่ซินไปมากถึงเก้าในสิบส่วน

จึงส่งผลให้เด็กหนุ่มมีใบหน้าที่งดงามไม่ต่างไปจากมารดาผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งยอดพธูของแคว้น แล้วยิ่งหลังจากที่หนิงอ้ายได้ปลุกพลังสายเลือดของหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์สำเร็จคล้ายคลึงกับว่าร่างกายนี้ได้เกิดใหม่ก็คงไม่เกินจริงไปนัก เพราะพิษต่าง ๆ ที่เคยได้รับสะสมเป็นเวลาหลายปีในก่อนหน้าล้วนได้รับการขจัดไปทั้งสิ้น อีกทั้งร่างกายก็มีความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

สิ่งที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าของทุกคนในเรือนรับรองหลังนี้นับได้ว่าเกินความคาดหมายไปเป็นอย่างมาก เพราะตอนเเรกนั้นข่าวคราวของงานประลองระหว่างแคว้นที่ผ่านมา ชาวยุทธภพนั่นต่างร่ำลือกันไปทั่วว่าเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์หวังหนิงอ้ายนั้นงดงามเสียจนไม่อาจนำไปเปรียบเทียบให้ต้องมลทินได้ เส้นผมสีขาวเงินก็แปลกตาส่งเสริมให้อีกฝ่ายราวกับไม่มีอยู่จริง

สำหรับพวกเขาเองที่ได้รับรู้ว่าศิษย์น้องลำดับที่เจ็ดที่ท่านอาจารย์เหวินหวู่ได้ทดสอบจนท้ายที่สุดก็ได้ส่งมอบตำแหน่งผู้สืบทอดให้อีกฝ่ายนั้น ฟังจากคนที่ไปร่วมพิธีรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเด็กหนุ่มควรเข้าสังกัดศาสตร์แห่งการต่อสู้เสียมากกว่าด้วยความสามารถเช่นนี้นับได้ว่าเหมาะสมยิ่ง

สุดท้ายตัวคนกลับเลือกตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเสียอย่างนั้น เรื่องนี้ต่างทำให้ทุกคนเสียดายเป็นอย่างมากเพราะหากเด็กหนุ่มได้เข้าสังกัดการต่อสู้ย่อมสร้างชื่อเสียงได้มากเป็นแน่...

เมื่อพวกเขาได้รับรู้ว่าเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์หวังหนิงอ้ายและศิษย์น้องหนิงอ้ายเป็นคนเดียวกัน พวกเขาต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก เเต่ถึงอย่างนั้นพวกเราต่างคิดกันว่าสิ่งที่ผู้คนในโลกยุทธภพที่ได้ร่ำลือกันไปคงจะเกินจริงไปเสียหน่อยตามประสาที่อาจมีการแต่งเติมกันขึ้นก็เป็นไปได้ เเต่เมื่อพวกเขาได้เห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าพวกตนที่ได้ปลดการปลอมแปลงไป คำกล่าวเหล่านั้นไม่ได้เกินจริงไปเลยแม้เเต่น้อย

หวังหนิงอ้ายมีความงดงามเป็นอย่างมากจนที่ว่าคำกล่าวถึงเด็กหนุ่มดูราวกับว่าไม่ให้เกียรติความงามของอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น พวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างหยุดนิ่งราวกับถูกสะกดมนต์ขลังความงามนี้ พวกเขาต่างคิดว่าไป๋เหลียนฮวาเป็นสตรีที่งดงามมาก จนทำให้ครั้งเเรกพบหน้าพวกเขาต่างตกตะลึงไปอยู่ไม่น้อย จนนานวันเข้าหลายปีพวกเราที่เป็นบุรุษทุกคนในตำหนักแห่งนี้ต่างคุ้นชินกับความงามดังกล่าว

อีกทั้งยังมีความคิดเดียวกันว่านางงดงามมากและหาได้ยากยิ่งที่จะพบสตรีอื่นที่เทียบเท่ากับนางได้ เเต่ทว่าในตอนนี้พวกเขาที่ได้เห็นรูปลักษณ์ของหนิงอ้ายผู้เป็นศิษย์น้องคนใหม่ของตนพอนำมาเปรียบเทียบกับไป๋เหลียนฮวาที่เป็นสตรีที่พวกเขาเคยคิดว่างดงามที่สุดเเล้วยังด้อยกว่าเด็กหนุ่มไปหลายส่วนเลยทีเดียว

พินิจมองใบหน้างามรูปไข่นั้นจะพบว่าดวงตาสีฟ้าอ่อนคล้ายกับอัญมณีอันล้ำค่าที่หายาก จมูกโด่งที่รับเข้ากับคิ้วโก่งสีดำ ริมฝีปากบางเป็นรูปกระจับสีชมพูที่ล้อไปกับพวงแก้มทั้งสองข้าง เส้นผมสีขาวเงินบริสุทธิ์ที่ถูกปล่อยยาวจรดไปถึงกลางหลังได้ปลิวสยายยามเมื่อลมพัดมา รวมไปถึงผิวกายที่ขาวสะอาดยิ่งส่งเสริมให้เด็กหนุ่มในตอนนี้ดูงดงามเป็นอย่างมากราวกับว่าไม่มีอยู่จริงในโลกแห่งนี้

กลิ่นอายที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างบางนั้นชวนให้รู้สึกว่าหนิงอ้ายเป็นผู้สูงศักดิ์จากแดนเซียนที่ลงมาโปรดมนุษย์ ความงดงามเช่นนี้เองพวกเขาทุกคนจึงเข้าใจกันอย่างถ่องเเท้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องปลอมแปลงตน เพราะถ้าหากว่าเด็กหนุ่มออกเดินทางจากแคว้นของตนเพื่อมาทดสอบเข้าสำนักในครั้งนี้ด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าว ไม่แคล้วคงมีปัญหาอย่างมากมายเป็นแน่...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status