"ศิษย์พี่ตงหยางมาทำอันใดที่อาคารส่วนกลางตำหนักของข้าตั้งเเต่เช้าเช่นนี้หรือขอรับ??" เห็นท่าทางที่ชวนหน้าหมั่นไส้ของชายหนุ่ม เเต่ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่าหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะมองข้ามและถามกลับอีกฝ่ายไปด้วยความอยากรู้
"ท่านเจ้าสำนักไหว้วานให้มาเอาตำราเล่มหนึ่ง ฟังว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจสำคัญในครั้งถัดไป แล้วเจ้าเล่าเหตุใดจึงมาเเต่เช้าเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเหวินหวู่ให้เจ้าพักผ่อนอย่างนั้นรึ??" เฟยหลงถามกลับหนิงอ้ายไปตามสิ่งที่ตนได้รับรู้มาก่อนหน้า
"ข้าพึ่งเริ่มเข้าสู่วิถีฝึกตนเพียงไม่กี่ปีความรอบรู้นับว่ายังอ่อนด้อยยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ทุกเวลาที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุดขอรับ..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปตามที่ตนคิด เพราะทุกอย่างในโลกนี้นับว่าค่อนข้างแปลกใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งเขานั้นยังต้องเรียนรู้ในอีกหลายสิ่งอย่าง
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายกล่าวได้ถูกต้องผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้คนผู้นั้นต้องใช้ทุกสิ่งอย่างที่ตนมีให้คุ้มค่ามากที่สุด..." เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นทางด้านหลัง เรียกความสนใจของทั้งสองคนคนให้ละสายตาจากกัน
"ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่เเต่เช้านะตงหยาง ภารกิจจากท่านเจ้าสำนักในครั้งก่อนเรียบร้อยดีใช่หรือไม่??" ชายหนุ่มในชุดสีเดียวกันกับหนิงอ้ายได้เอ่ยถามขึ้น
"ทุกอย่างเรียบร้อยดีเเต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่นะเหยียนฮุ่ย ตำรากับเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าคาดเดาไม่ถึงเลยทีเดียว" ตงหยางตอบกลับไปพร้อมกับตบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อ
"คำนับศิษย์พี่สี่ขอรับ!!" หนิงอ้ายทักทายศิษย์พี่ของตนพร้อมกับสังเกตท่าทางสนิทสนมของสองคนตรงหน้าที่ดูท่าเเล้วอีกฝ่ายคงแอบอ้างนามของศิษย์พี่ตงหยางมานานเเล้ว ซึ่งคงมากพอที่จะผูกมิตรกับคนมากหน้าหลายตา นับว่าเป็นการแฝงตัวสืบค้นข้อมูลที่แนบเนียนเสียจริง
"เจ้าทั้งสองรู้จักกันแล้วอย่างนั้นรึศิษย์น้องหนิงอ้าย??" เหยียนฮุ่ยถามด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าศิษย์น้องของเขาที่พึ่งเข้าสำนักได้เพียงไม่กี่วันกลับรู้จักเจ้าตงหยางสหายของตนผู้นี้เสียเเล้ว อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ฝากฝังกับเจ้านี่ให้ดูเเลศิษย์น้องเเทนตนได้ในวันข้างหน้า
"เมื่อวานหลังจากที่ศิษย์พี่ไป๋พาข้าไปโรงครัวและพบกับสหาย บังเอิญว่าเกิดเรื่องนิดหน่อยแล้วศิษย์พี่ตงหยางกับสหายได้ยื่นมือมาช่วยพวกข้าขอรับ..."
"มีเรื่องนิดหน่อยมีคนหาเรื่องศิษย์น้องอย่างนั่นรึ??" เหยียนฮุ่ยถามกลับเด็กหนุ่มไป
"เป็นเฉินหลาน..." สิ้นเสียงของตงหยางที่ตอบเเทนเด็กหนุ่ม ทำเอาเหยียนฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
"เจ้าอันตพาลแซ่เฉินนั่นถึงกับหาเรื่องศิษย์น้องเล็กของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาอย่างนั้นรึ?? เเล้วเจ้าได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่??"
"ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลเป็นศิษย์พี่ตงหยางและสหายที่เข้ามาช่วยพวกข้าได้ทัน ต่อไปข้าจะระวังตัวให้มากขึ้นขอรับ..."หนิงอ้ายตอบกลับศิษย์พี่ของตนไป
"ตงหยางข้าฝากเจ้าดูเเลศิษย์น้องเล็กของพวกข้าด้วยเล่า..." เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพึงพอใจจากหนิงอ้ายเเล้ว เหยียนฮุ่ยจึงหันหน้าคุยกับตงหยางราวกับว่าต้องการฝากฝังสิ่งนี้ ทางหนิงอ้ายที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเข่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ใครจะต้องการให้คนตรงหน้าตนนี้มาคอยดูเเลกัน
"ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกเจ้า ได้ตำราที่ต้องการมาเเล้วข้าควรที่จะกลับไปเสียที..."
"ไว้ค่อยเจอกันเหยียนฮุ่ย ศิษย์น้องหนิงอ้าย" ตงหยางกล่าวลาเล็กน้อยพร้อมกับขอเเยกตัวจากไป ตามความคิดของหนิงอ้าย เขารับรู้ได้เลยว่าความหมายของคำว่าเจอกันใหม่ที่อีกฝ่ายได้เอ่ยขึ้นกับเขาและศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยนั้น คงแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
เอาวันคืนที่สงบคืนข้ามาเสียเถอะ หรือว่าเขาจะลองเขียนบทเวทย์คลุมทับเรือนพักของตนดีกัน ศิษย์พี่ตัวปลอมหน้าเหม็นผู้นี้จักได้ไม่ต้องมารบกวนตน...
"ศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยมาทำอะไรที่นี่เเต่เช้าเหมือนกันขอรับหรือท่านก็มาเลือกเอาตำราไปศึกษาเช่นกัน..." หนิงอ้ายถามชายหนุ่มไปเพราะพึ่งนึกขึ้นได้
"ศิษย์น้องอย่าได้กล่าวคำที่น่ากลัวเช่นนี้ศิษย์พี่ของเจ้ากับตำรานั้นควรที่จะอยู่เเยกกันไปเป็นการดีที่สุดเจ้ารู้หรือไม่..."
"ก่อนหน้าศิษย์พี่ไปหาเจ้าที่เรือนพักมา บรรดาคนรับใช้แถวนั้นบอกว่าเจ้ามาทางนี้ เลยคาดเดาว่าจุดหมายน่าจะเป็นอาคารส่วนกลางเเห่งนี้ เเล้วเจ้าได้ตำราที่สนใจไปแล้วหรือยังเล่า??"
"เหล่าศิษย์พี่ได้ปรึกษากันถึงแม้ท่านอาจารย์จะให้เวลาเจ้าพักผ่อนในช่วงนี้ก่อนที่จะเข้าสู่การเรียนรู้อย่างเต็มตัว..."
"เเต่ถึงอย่างไรนั้นเจ้าก็ควรที่จะมีพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจอยู่บ้าง เช่นนั้นเวลาหลังจากนี้เหล่าศิษย์พี่เเต่ละคนจะช่วยเจ้าในเรื่องนี้เอง..."
"ศิษย์น้องไปดูตำราที่สนใจก่อนเถิดเดี๋ยวศิษย์พี่จะไปรอเจ้าที่ชั้นล่างจะไปคุยกับเหล่าซุนเรื่องโอสถสำหรับฝากขายอีกด้วย" เอ่ยจบร่างกายสูงใหญ่ของอีกฝ่ายนั้นได้ส่งยิ้มเอ็นดูให้เด็กหนุ่ม ก่อนที่ตัวคนนั้นจะหันหลังละตรงไปยังบันไดเพื่อไปชั้นล่าง
เขาโชคดีมากที่ได้เป็นศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเห่งนี้ ศิษย์พี่ของเขาเเต่ละคนนั้นต่างเป็นคนดี แม้จะมีนิสัยเเปลกประหลาดไปบ้างในความรู้สึก อย่างไรนั้นหนิงอ้ายก็รอโอกาสที่จะได้เจอ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามของตนว่าจะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะศิษย์พี่ใหญ่นั้นทางศิษย์พี่ไป๋เองที่ไม่ค่อยเอ่ยถึงบุรุษสักเท่าใด ยังบอกกับเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขานั้นหล่อเหลาและเป็นที่หมายปองเป็นอย่างมากไม่น้อยไปกว่าศิษย์พี่ตงหยางเลยทีเดียว
เวลาได้ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามหนิงอ้ายในตอนนี้ในแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มที่โอบอุ้มอยู่ที่ต่างเต็มไปด้วยตำราต่าง ๆ ที่เด็กหนุ่มสนใจ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของสำนัก ข้อมูลที่เกี่ยวข้องของบรรพชนผู้ก่อตั้งรวมไปถึงเจ้าเเห่งตำหนักทั้งสี่ ตำราสมุนไพรวิเศษหาได้ยากและยังมีอีกหบายเล่มที่ดูจากปกนั้นกล่าวได้ว่าคงมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี
เนตรเเห่งสวรรค์ทำให้เขาได้รับรู้ว่าเป็นตำราระดับสูงโบราณเล่มหนึ่ง แม้เขาเองจะเเปลกใจที่เห็นมันในชั้นหนังสือธรรมดาซึ่งคล้ายกับมีแรงดึงดูดที่น่าประหลาด จนท้ายที่สุดหนิงอ้ายก็เลือกหยิบตำราเล่มนี้เสียจนได้...
"ศิษย์น้องเรียบร้อยเเล้วใช่หรือไม่?? เเล้วนั่นเจ้าอย่าได้ฝืนตัวเองมากเล่า อะไรที่ตึงเกินไปย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก..." เหยียนฮุ่ยที่เห็นว่าศิษย์น้องของตนลงมาจากชั้นสองเเล้ว ทั้งสองแขนของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยตำรามากมายนับสิบเล่ม จึงอดไม่ได้ที่จะเตือนอีกฝ่าย ก่อนที่จะมีเสียงเคาะดังขึ้นพร้อมกับเสียงที่เจ็บปวดของชายหนุ่ม
"โอ้ย...เหล่าซุนเขกหัวข้าทำไมขอรับ??"
"ก็เขกหัวให้เจ้าตั้งสติอย่างไร ตนเองเกลียดตำราแล้วจะให้ศิษย์น้องเป็นไปตามตนเองอย่างนั้นรึ??"กล่าวจบชาบชราทำท่าจะเขกหัวชายหนุ่มอีกครั้ง ทำเอาร่างสูงใหญ่นั้นหลบหลีกแทบไม่ทัน
"เจ้าอย่าไปเชื่อศิษย์พี่แสนขี้เกียจคนนี้ของเจ้ามากนักเล่า ความรู้มีค่ามากกว่าทรัพย์สิน มีค่ามากอนันต์ ยิ่งศึกษาเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มคุณค่าจดจำเอาไว้เสียเล่า..."
"วางตำราทั้งหมดที่เจ้าเลือกมาไว้บนโตะเเล้วเอาป้ายหยกประจำตัวของเจ้ามาด้วย ข้าจะได้คลายผนึกบนตำราในเเต่ละเล่มนี้ จะมีเพียงเจ้าที่ศึกษาได้...."
"หากจะกล่าวให้ถูกคือตำราทุกเล่มกรือทุกสิ่งที่อยู่ในอาคารเเห่งนี้ ผู้ที่ได้รับสิทธิย่อมเป็นพวกเจ้าศิษย์ทั้งสิบสามคนของตำหนักและผู้อาวุโสบางท่านเท่านั้น ตำราหรือสิ่งที่อยู่ในตำราเนื้อหาเหล่านี้นั้นพวกเจ้าจะไม่สามารถถ่ายทอดหรือจดบันทึกเพื่อส่งต่อให้คนภายนอกที่ไม่ข้องเกี่ยวกันให้รับรู้ได้ไม่ต่างกัน"
เมื่อได้ป้ายหยกประจำตัวของหนิงอ้ายแล้ว ชายชราจึงวาดมือขึ้นลงตวัดด้วยท่วงท่าที่ประหลาด กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกทำให้หนิงอ้ายรู้ได้ว่านี่เป็นค่ายกลปลดผนึกบทหนึ่งที่มีความเก่าแก่เป็นอย่างมาก ความพิศดารเหล่านี้ต่างได้จุดประกายบางสิ่งอย่างที่หนิงอ้ายจะนำมาผสานเป็นสิ่งใหม่ที่ใกล้เคียงกันนี้ เเต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตอีกหลายปีจากนี้
ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ ผู้อาวุโสซุนก็ได้จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นพร้อมกับส่งคืนป้ายประจำตัวให้กับเด็กหนุ่มรวมไปถึงตำราสิบกว่าเล่มที่ได้เลือกไว้ จากนั้นทั้งเหยียนฮุ่ยกับหนิงอ้ายเองจึงเอ่ยลาพร้อมกับคำนับผู้อาวุโส ก่อนที่ทั้งสองจะเดินมุ่งตรงไปยังเรือนพักของหนิงอ้ายที่อยู่ไม่ไกลนักไปทางฝั่งขวามือของอาคารเเห่งนี้
"เรือนพักของศิษย์น้องร่มรื่นยิ่งนัก ดูแนวป่าไผ่ที่ขึ้นเป็นดั่งซุ้มทางเดินนั่นช่างดูงดงามเสียจริง..." เหยียนฮุ่ยเมื่อมาถึงหน้าเรือนพักของเด็กหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเอ่ยชื่นชมออกมา
หนิงอ้ายยิ้มรับคำชมนั้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะขอตัวสักครู่ไปเก็บตำราที่ตนหยิบยืมมาให้เรียบร้อยก่อนที่จะบอกให้ศิษย์พี่ของตนนั้นนั่งรอตนที่ศาลากลางทุ่งสวนไม้
"ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาฟังชื่อดูเเล้วเหมือนว่าจะเป็นเพียงเรื่องของสมุนไพร โอสถหรือการรักษาอาการบาดเจ็บ เเต่นั่นเป็นสิ่งที่คนภายนอกได้รับรู้หรือจะบอกว่าเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการให้รู้เช่นนั้นก็ไม่เกินจริงไปนัก..."
"ความจริงเเล้วทุกสิ่งอย่างที่อยู่โดยรอบตัวเรานั้นสามารถนำมาปรับใช้เข้ากับการรักษาได้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ สมุนไพรต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเครื่องดนตรีก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน"
"แน่นอนว่าพื้นฐานนั่นยังคงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาที่ทั้งสามารถใช้ได้โดยตรงหรือต้องการหลอมรวมเป็นโอสถเสียก่อน วันนี้ศิษย์พี่จะสอนเจ้าเกี่ยวกับสมุนไพรทุกชนิดทั้งในเรื่องของพื้นที่เติบโต สรรพคุณทางการรักษา การดูเเลสมุนไพรต่าง ๆ ถือเป็นความรู้พื้นฐานที่ในวันข้างหน้าเจ้าสามารถนำมาใช้กับการหลอมสร้างโอสถของเจ้าได้...." เหยียนฮุ่ยเอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทางที่จริงจังผิดกับในยามปกติ ด้วยเพราะว่าหากนับดูเเล้ว เรื่องราวที่เกี่ยวข้องของสมุนไพรนั้นย่อมเป็นเขาที่คุ่นชินมากกว่าทุกคนในที่นี้
ด้วยเพราะตระกูลของเขาต่างอยู่ในเส้นสายที่มีอาชีพเป็นหมอรักษามายาวนานหลายร้อยปี รวมไปถึงมีร้านค้าสมุนไพรและโอสถที่มากมายหลายสาขา ดังนั้นในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยของตระกูลที่ในวันข้างหน้าจักต้องขึ้นปกครองตระกูลต่อไป
ตั้งเเต่เด็กเขาจึงคลุกคลีศึกษาเรื่องราวของสมุนไพร และโอสถมาไม่น้อย เเต่ถึงอย่างไรนั้นการที่เขาได้เป็นศิษย์ในตำหนักนี้ย่อมเปิดประสบการณ์เป็นอย่างมาก ยามปกติหากเขาไม่ออกท่องยุทธภพเพื่อหาสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อบันทึกเป็นความรู้เเล้ว บางครั้งเขาก็จะเก็บตัวอยู่เเต่เรือนพักของตนด้วยเพราะคิดค้นและทดลองหลอมสร้างโอสถอยู่เสมอ
เวลาได้ผ่านไปหลายชั่วยามจนถึงขั้นที่ว่าเเสงสีส้มทองอันเป็นสัญลักษณ์ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลาลับอัสดงได้ปรากฎขึ้นโดยรอบ ทุกสิ่งอย่างที่เหยียนฮุ่ยได้ศึกษามาตลอดกลายสิบปีต่างถูกถ่ายทอดให้เด็กหนุ่มตรงหน้า ผู้เป็นศิษย์น้องของตนอย่างไม่ปิดกั้น
จนมาถึงในตอนนี้ความกังขาเล็ก ๆ ในใจของชายหนุ่มได้หายไปสิ้น ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าก่อนหน้านี้ เขาเองนั้นก็สบประมาทเด็กหนุ่มคนนี้อยู่บ้าง ด้วยเพราะอีกฝ่ายอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หากตัวคนเป็นเพียงศิษย์น้องเล็กของตนก็คงไม่รู้สึกกังขาเช่นนี้ ออกจะยินดีมากเสียกว่าด้วยซ้ำ
ทว่าเด็กหนุ่มน้อยคนนี้กลับถูกท่านอาจารย์เลือกให้เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนัก เป็นตำแหน่งที่ถูกว่างเว้นมาหลายปีเเล้ว ในความเห็นคิดว่าตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของศิษย์พี่ใหญ่ของเขาเสียมากกว่า เพราะอีกฝ่ายนั้นถือว่าเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มากไปด้วยพรสวรรค์ยิ่ง
หลายชั่วยามที่ผ่านมานี้ เด็กหนุ่มตรงหน้าได้สร้างความประหลาดใจและประทับใจแก่เขาเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าความรู้ ความเข้าใจรวมไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปีของตนนั้น กลับถูกถ่ายทอดให้เด็กหนุ่มจนหมดสิ้น ครั้นเมื่อตนถามสิ่งใดไปเด็กหนุ่มกลับตอบได้อย่างละเอียดแม่นยำ เมื่อเทียบกับเขาในช่วงอายุเดียวกันนั้นเขาจะนับเป็นอะไรได้กัน
"ศิษย์น้องเจ้าทำเอาข้าละอายเสียจริง ตอนที่อายุเท่ากันกับเจ้าข้ากำลังทำอะไรอยู่กัน วันนี้ถือว่าก้าวหน้ามากเเล้ว อย่างไรวันนี้ก็จบเเต่เพียงเท่านี้เถอะ..."
"ขอบคุณสำหรับวันนี้ขอรับศิษย์พี่ ข้าสัญญาว่าจะเรียนรู้และจะศึกษาให้มากขึ้นขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือให้อีกฝ่าย
เมื่อศิษย์พี่ของตนเดินจากไปแล้ว ในใจของหนิงอ้ายนั้นถือถืออีกฝ่ายมากขึ้นอีกหลายเท่า แม้ว่าภายนอกของศิษย์พี่ของเขานั้นจะดูทำตัวแปลกปละหลาดไปบ้าง เเต่เขานั้นกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อีกฝ่ายต้องเเบกรับ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจได้เพราะเเต่ละคนนั้นย่อมมีวิธีจัดการเป็นของตัวเอง ดั่งคำที่ว่าคนเราไม่สามารถตัดสินผู้อื่นได้จากภายนอก
กลับเข้าในเรือนพักของตนเเล้วหนิงอ้ายไม่รอช้าที่จะอาบน้ำและจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นหนิงอ้ายก็พบว่าในตอนนี้เจ้าต้าเฮยได้ขดตัวอยู่บนกองผ้าบนเตียง คอยาวยืดของอีกฝ่ายขยับไปมาชวนให้รู้สึกเอ็นดูยิ่ง ก่อนที่หนิงอ้ายนั้นจะห่มผ้าให้กับเจ้าตัวน้อยก่อนที่จะกลับไปด้วยความอ่อนเพลีย...
ช่วงกลางดึกนั้น ดวงตาสีเเดงฉานนั้นได้ลืมตาขึ้นมาในความมืด ก่อนที่จะหลับตาลงไปอีกครั้ง...
''ต่อไปนี้เจ้าจงอยู่ข้างกายคอยปกป้องหนิงอ้ายให้ดี อย่าปล่อยให้ชายใดเข้าใกล้นายหญิงของเจ้ามากกว่าที่จำเป็นเข้าใจหรือไม่??''
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต