เช้าของวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกำลังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำจึงสัมผัสรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นตรงบริเวณเหนือจุดตันเถียร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเเล้วหลายครั้งทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณของการเลื่อนระดับพลังวิญญาณในขั้นถัดไป
หนิงอ้ายจึงรีบหลับตาลงพร้อมกับเร่งโคจรวิถีลมปราณไปทั่วทั่งร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวเเต่หนักเเน่นล้ำลึกไปตามความพิศดารของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เพียงชั่วครู่เดียวแรงบีบอัดจากภายในได้สร้างความเจ็บปวดเกินจะคาดคิดเอาไว้ ร่างบางสั่นสะท้าน ใบหน้างามบิดเบี้ยวราวกับต้องการกดข่มทุกความรู้สึก หนิงอ้ายตั้งมั่นโคจรลมปราณต่อไปไม่ให้ขาดช่วง
เพราะหากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้วไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกมากน้อยเท่าใดจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงประตูเลื่อนขั้นเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะได้สร้างความทรมานต่อทั้งร่างกายจิตใจไปมากเพียงใดก็ตาม ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายเองก็รู้ดีว่าหากเขาสามารถที่จะอดทนผ่านพ้นไปได้จนสำเร็จเเล้ว สิ่งที่ได้รับคืนมาหลังจากนี้ย่อมเป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นเเล้วเขาต้องตัดผ่านเลื่อนระดับขั้นใหญ่ในครั้งนี้ให้ได้
เวลาได้ผันผ่านไปได้นับชั่วยามสำหรับกระบวนการครั้งนี้ ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดผ่านเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นระดับขั้นพลังวิญญาณที่ผู้ฝึกตนต่างเฝ้าฝันถึง
หากมีคำกล่าวที่ว่าระดับจักรพรรดิวิญญาณนั่นยิ่งใหญ่จนยากที่จะก้าวข้ามไปถึงในขั้นได้เเล้ว ระดับเทวะวิญญาณไม่ต่างไปจากตัวตนในตำนานที่ถูกเขียนบันทึกไว้ในเรื่องเล่าก็คงไม่เกินจริงไปนัก ด้วยเพราะในอาณาจักรห่างไกลที่ไร้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งปราณฟ้าดินหรือทรัพยากรบ่มเพาะ ตัวตนของผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณนั้นสามารถเปรียบได้ดั่งพระเจ้าเลยทีเดียว
มหาทวีปบูรพาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่ของแคว้น ราชวงศ์ปกครองต่าง ๆ บรรดาสำนักศึกษาน้อยใหญ่ที่ขึ้นชื่อต่างล้วนมีตัวตนระดับเทวะวิญญาณอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แม้จะไม่มากมายเท่าหัวผักกาดในตลาดก็จริง เเต่ว่าการที่สามารถบ่มเพาะตัวตนระดับเทวะวิญญาณขึ้นมาได้นั้นย่อมหมายถึงการที่อีกฝ่ายต่างมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาสามัญ
การที่หนิงอ้ายสามารถมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาเพียงไม่ถึงสองปีนี่นับได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสุดยอดผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างเเท้จริง เพราะหากทอดสายตามองไปทั่วทั้งมหาทวีปแห่งนี้ตัวตนของผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้นับว่าหาได้ยากยิ่งในรอบหลายร้อยปีเลยก็ว่าได้ พึงทราบโดยทั่วกันว่าโดยปกติผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณไปนั้นมักจะมีอายุยี่สิบปีขึ้นไปทั้งสิ้น
หากมีข่าวคราวที่ว่าหนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ในวัยเพียงเท่านี้ นอกจากจะมีคำชื่นชมไปยังตัวของเด็กหนุ่มหรือตระกูลของตนเเล้วนั้นทางสำนึกศึกษาที่ผู้นั้นสังกัดก็จะได้รับหน้าในคราวนี้ไปด้วย ในปีถัดไปย่อมมีสุดยอดรุ่นเยาว์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์จากทั่วสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาทดสอบเข้าร่วมสำนัก แม้กระทั่งผู้ฝึกตนระดับสูงที่ซ่อนตัวในยุทธภพผู้มากฝีมือที่มีสายตากว้างไกลนั้น ย่อมเข้ามาผูกสัมพันธ์กับทางสำนักเห็นได้ว่าย่อมมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นทั้งสิ้น...
ทางฝั่งของหนิงอ้ายเมื่อได้ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าร่างกายของตนในครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยคราบดำสกปรกเช่นเดิมเหมือนที่ผ่านมาที่ในตอนนี้ต่างส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วทั้งเรือนพักจนทำเอาต้าเฮยที่มองอยู่นั้นถึงกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะซุกตัวลงไปในผ้าห่มเช่นเดิม เด็กหนุ่มคิดว่าหากนับดูเเล้วนี่คงเป็นครั้งที่ห้าสำหรับการเลื่อนระดับขั้นใหญ่สำหรับร่างกายของเขา มีความเชื่อกันว่าในทุกครั้งที่มีการตัดผ่านเลื่อนระดับขั้นใหญ่ในเเต่ละครั้งร่างกายภายในที่ถูกเคี่ยวกรำนั้นก็จะยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นตามไปด้วย
หลังจากสำรวจร่างกายของตนอีกครั้งอย่างถี่ถ้วนเเล้วความรู้สึกตอนนี้หนิงอ้ายนั้นสัมผัสได้ว่าเส้นลมปราณในร่างกายของเขานั้นมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะนั่นหมายความว่าหลังจากนี้ร่างกายของเขาจะสามารถดูดซับปราณฟ้าดินที่มากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันสองถึงสามเท่า นี่คงเป็นอีกเคล็ดลับที่เป็นสุดยอดเคล็ดวิชาจากรุ่นสู่รุ่นของตระกูลหวัง มาถึงตอนนี้เเล้วหนิงอ้ายไม่แปลกใจเเล้วว่าเหตุใดในเมื่อหลายร้อยหลายปีก่อน ตระกูลหวังถึงได้ยิ่งใหญ่เช่นนี้
แม้ว่าภายหลังนั้นความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นอาจเกิดได้จากความอ่อนแอลงของพลังทางสายเลือดก็จริง เเต่ทว่าผู้ฝึกตนแซ่หวังเเต่ละคนที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานั้นไม่ว่าจะเป็นอดีตหรือจวบมาจนถึงปัจจุบันนี้ต่างมีรายชื่อติดทำเนียบของสุดยอดผู้ฝึกตนกันทั้งสิ้น
คล้ายกับว่ายังอยู่ในช่วงปรับตัวหลังจากที่ได้ตัดผ่านเลื่อนระดับขั้นทั้งร่างกายภายนอกและจิตใจภายใน ได้ส่งผลให้ในตอนนี้หนิงอ้ายนั้นรู้สึกดีใจและภูมิใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ยังคงครุ่นคิดบางอย่างด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะมีบางสิ่งที่ไหลออกมาจากดวงตาเรียวงามคู่นั่น
สิ่งนี้คือน้ำตาอันเกิดจากการที่เด็กหนุ่มนั้นได้ปลดปล่อยทุกความรู้สึกด้านลบออกมาให้หมดสิ้นในเวลานี้ เพราะว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาตัวของเขาเองได้ผ่านทุกอย่างมาอย่างยากลำบากอยู่ไม่น้อย มีหลายครั้งที่ต้องยอมรับว่าเขาก็กดดันเคี่ยวเข็ญตัวเองเป็นอย่างมาก เพราะการที่เขาได้มาอยู่ในโลกนี้ที่ไม่คุ้นเคยไม่รู้อะไรทั้งสิ้นรวมไปถึงยังต้องปรับตัวให้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
สิ่งที่ทุกคนต่างสัมผัสมองเห็นจะดูเหมือนกับว่าหนิงอ้ายคนนี้นั้นเป็นคนที่เก่งกาจมากความสามารถ หนิงอ้ายคนนี้พึ่งพาตัวเองได้ หนิงอ้ายคนนี้จริงจังเด็ดขาดในทุกเรื่อง หนิงอ้ายคนนี้เเข็งแกร่งขึ้นมากพอที่จะปกป้องสิ่งที่ตนรัก แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าจะในโลกเดิมหรือในตอนนี้ก็ตามเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งที่สร้างกำแพงเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง มันคงจะดีไม่น้อยหากว่าได้มีใครสักคนที่คอยเคียงข้างให้กำลังใจ คอยปกป้องดูเเลซึ่งกันและกันหลังจากนี้
ความพยายามตลอดเกือบสองปีที่ผ่านมามันได้เห็นผลตอบเเทนเป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่งสำหรับเขาเเล้ว ความทุ่มเทต่าง ๆ ที่เขาได้ทำมาทั้งสิ้นตลอดเวลาผ่านที่มามันยิ่งตอกย้ำให้ได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นมันถูกต้องคุ้มค่ามากเพียงใด ไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียใจอีกหลังจากนี้ เมื่อได้ปลดปล่อยทุกสิ่งอย่างที่ตกค้างอยู่ในใจออกมาจนหมด ใบหน้างามได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยความสุข นี่เเหละเป็นชีวิตที่เขาต้องการ เส้นทางเดินต่อไปข้างหน้าหลังจากนี้ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาพร้อมที่จะรับมือฟันฝ่าไปอย่างไม่หวั่นเกรง
"ผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณเป็นต้นไป สามารถที่จะอัญเชิญจิตวิญญาณแห่งปราณธาตุของตนออกมาได้..." เมื่อนึกขึ้นมาได้หนิงอ้ายจึงหลับตาลงพร้อมกับอัญเชิญให้จิตวิญญาณของวิญญาณยุทธ์ทั้งสามออกมาภายนอกในทันที
"อัญเชิญจิตวิญญาณเเห่งปราณธาตุน้ำ…""อัญเชิญจิตวิญญาณเเห่งปราณสุริยะธาตุ…"
"อัญเชิญจิตวิญญาณเเห่งปราณธาตุพิษ…"
พริบตาภายในเรือนพักของหนิงอ้ายได้ปรากฏเป็นเเสงสีฟ้าขาว เเสงสีเเดงทอง แสงสีม่วงดำประกายสว่างอยู่ชั่วครู่ จนต้องปิดตาลง จากนั้นหนิงอ้ายก็ได้ลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับมองไปยังตรงหน้าของตนก็พบว่าสิ่งที่ตนมองเห็นนั้นทำเอาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
ตรงซ้ายมือของหนิงอ้ายจากญาณสัมผัสสามารถบอกได้ว่านี่คือจิตวิญญาณปราณธาตุน้ำ ปรากฎให้เห็นเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยผิวขาวอมชมพู ภายนอกไม่ต่างไปจากเด็กชายอายุราว ๆ ห้าถึงหกปีคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีฟ้าแซมขาวยาวจรดไปถึงกลางหลัง
ร่างอวบอ้วนนั้นสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าขาวปักดิ้นทองเป็นลวดลายดอกบัวน้อยใหญ่ไปทั่วทั้งชุด ตรงมือขวานั้นถือเป็นดอกบัวคริสตัลหนึ่งดอก ตรงพื้นที่เด็กน้อยยืนอยู่นั้นปรากฎเป็นกอบัวที่คล้ายกับว่าจะปรากฎขึ้นทุกครั้งในยามเมื่อเด็กชายคนนี้ได้ย่างก้าวเท้าเดินไป
"ยินดีที่ได้พบเจอขอรับนายท่าน...." เด็กน้อยเอ่ยขึ้นพร้อมกับคำนับเบา ๆ มาทางหนิงอ้าย ก่อนที่จะมองไปรอบตัวอย่างสนใจ ก่อนจะหยุดสายตาตรงต้าเฮยที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยความสนใจเช่นกัน
"เจ้าคือจิตวิญญาณเเห่งปราณธาตุน้ำอย่างงั้นรึ? น่ารักกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากเเล้วเจ้ามีชื่อเเล้วหรือไม่??" หนิงอ้ายถามกลับเด็กชายไปด้วยความสงสัย
"ข้าไม่มีชื่อขอรับ ต้องรบกวนนายท่านแล้ว..."
"เช่นนั้นข้าตั้งชื่อเจ้าว่าเสี่ยวเหลียน" หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเอ็นดู
"ข้าชอบขอรับ ต่อไปจากนี้เสี่ยวเหลียนคือนามของข้า..."
"เสี่ยวเหลียนเเล้วนี่เจ้า..." หนิงอ้ายที่กำลังชวนเด็กชายตัวน้อยพูดคุยด้วยความสนใจ เเต่กลับถูกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลัง
"หึ!!!" เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งที่เรียกความสนใจได้ในทันที
หนิงอ้ายหันตัวกลับไปมองด้วยความสงสัย สิ่งที่อยู่ตรงขวามือของเขากลับเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูจากภายนอกแล้วพอจะประมาณได้ว่ามีอายุราว ๆ สิบเอ็ดสิบสองปีไม่เกินไปจากนี้ เส้นผมสีเเดงเพลิงประกายทองของอีกฝ่ายช่างสะดุดตารับไปกับใบหน้างาม ที่ในตอนนี้นั้นได้เชิดขึ้นอย่างถือดีให้ความรู้สึกเหมือนคุณหนูจากตระกูลใหญ่ที่ถูกตามใจ
ดวงตาสีทองนั้นให้ความรู้สึกถึงพลังแห่งชีวิตที่ทรงพลังกล้าแกร่งสายหนึ่ง ชุดที่อีกฝ่ายสวมใส่นั้นเป็นสีเเดงเพลิงปักลวดลายด้วยดิ้นทองที่เปล่งประกายระยิบระยับ เสียงของเด็กหนุ่มก็ได้ดังขึ้นอีกครั้งด้วยท่าทางกอดอกอย่างถือดี
"นี่เจ้าหนู คงไม่ลืมข้าไปใช่หรือไม่?" เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"...""เจ้าคงลืมความเป็นมาของสายเลือดเจ้าแล้วกระมัง??"
"ไม่จริง เป็นไปได้อย่างไรกัน!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเสียงเบาคล้ายกับคุยกับตัวเองเสียมากกว่า"เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นเเหละเจ้าเด็กคนนี้!" ชายชราในร่างของเด็กหนุ่มบ่นขึ้นมาเบา ๆ อย่างเหนื่อยใจ
"เป็นท่านผู้เฒ่าจริงด้วย เเล้วเหตุใดท่านจึงปรากฎตัวอยู่ในรูปลักษณ์ของจิตวิญญาณแห่งปราณธาตุอย่างนี้เล่าขอรับ??" หนิงอ้ายถามกลับไปด้วยความสงสัย
"เจ้าอย่าพึ่งสงสัยอันใด ในตอนนี้จงตั้งชื่อข้าเสียเถิด..." เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ถ้าเช่นนั้นข้าขอเรียกท่านว่าเสี่ยวเฟิ่งขอรับ..."
สิ้นคำของหนิงอ้ายที่กล่าวจบลง ร่างกายของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ได้หายไปในทันที พร้อมกับส่งกระเเสจิตมาให้เขาได้รับรู้ว่า อีกฝ่ายยังต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอีกไม่น้อยจึงต้องใช้เวลาเก็บตัวหลังจากนี้
"พี่ชายเสี่ยวเฟิ่งแม้จะดูเหมือนเย็นชามาก เเต่ความจริงก่อนหน้านี้เขาได้ถ่ายทอดปราณธาตุบางส่วนจนข้าเเข็งแกร่งเช่นนี้ได้ขอรับ..." เสี่ยวเหลียนเอ่ยขึ้นบอกกับหนิงอ้าย พร้อมกับยืนยันว่าอรกฝ่ายนั่นเป็นคนดีเพียงเเต่อาจจะเย็นชาไปบ้างเท่านั้นเอง
"เช่นนั้นก็ดีเเล้ว...."
"คำนับนายท่าน โปรดตั้งชื่อให้ข้าด้วยขอรับ..." เด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่ไม่ไกลเอ่ยขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าวหนิงอ้ายจึงพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นจิตวิญญาณปราณธาตุพิษอย่างแน่นอน
"นามของเจ้าคือเสี่ยวหลง...."
หนิงอ้ายได้ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยามในการพูดคุยกันในเรื่องราวต่าง ๆ รวมไปถึงพลังที่อีกฝ่ายครอบครองอยู่ที่หนิงอ้ายสามารถนำมาปรับใช้ได้ เวลาในช่วงบ่ายที่เหลือหนิงอ้ายได้ใช้ไปกับการอ่านตำราต่าง ๆ ที่หยิบยืมมาจากอาคารส่วนกลางของสำนักพร้อมกับที่ทำการทบทวนสิ่งที่ศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยได้สอนเมื่อวานนี้
ด้วยความรวดเร็วหรืออาจเพราะพรสวรรค์ส่วนตัวทำให้หนิงอ้ายได้จดจำสิ่งเหล่านี้หมดทั้งสิ้น ก่อนที่เด็กหนุ่มจะวางแผนว่าจะทำสิ่งใด ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางประตูทางเข้าเรือนพักหลังนี้
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้าอยู่ด้านในหรือไม่??" เสียงของไป๋เหลียนฮวาได้ดังขึ้น พร้อมกับที่หนิงอ้ายได้ร้องตอบกลับไป
"ข้าอยู่ในเรือน ศิษย์พี่มีอันใดหรือขอรับ??""เจ้ารีบแต่งตัวเสียเถิด ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามกลับมาจากการทำภาจกิจเเล้ว ตอนนี้ศิษย์พี่ของเจ้าทุกคนต่างอยู่ในอาคารรับรองเเล้วทั้งสิ้น..."
"ข้าจะออกไปตอนนี้เลยขอรับ..." จบคำเเล้วหนิงอ้ายจึงทำการตรวจสอบความเรียบร้อยของตนอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไปยังหน้าเรือนพักที่มีศิษย์พี่ของตนรออยู่
"ศิษย์พี่จะได้แนะนำเจ้าให้รู้จักกับศิษย์พี่ทั้งสามให้กับเจ้า" กล่าวจบลงไป๋เหลียนฮวาจึงเดินดำเด็กหนุ่มไปทางฝั่งของอาคารอเนกประสงค์ด้วยความรวดเร็ว เพียงไม่ถึงครึ่งเค่อพวกเขาทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงเเล้ว
เสียงพูดคุยกันได้ดังขึ้นมาถึงภายนอก ศิษย์พี่ไป๋ที่เป็นสตรีถึงกับบ่นออกมาว่าบุรุษพวกนี้ช่างน่าอายทั้งสิ้น โดยเฉพาะศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยนั่นที่เสียงดังเกินไปกว่าผู้ใด
"พวกเจ้ามาแล้วอย่างนั้นรึ? เข้ามาแนะนำตัวให้ศิษย์พี่ทั้งสามคนได้รู้จักเจ้าเสียสิศิษย์น้องเล็ก..." เสียงของศิษย์พี่คนหนึ่งดังขึ้น
หนิงอ้ายที่ก้มหน้าตั้งเเต่เดินเข้ามานั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งเเล้วศิษย์พี่หญิงของตนได้เดินยยกตัวออกไปยังที่นั่งด้านข้าง เด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอย่างมั่นคงว่า "ข้าหวังหนิงอ้าย ศิษย์ลำดับที่เจ็ด ขอคำนับศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามขอรับ..."
"ศิษย์น้องหนิงอ้าย ในที่สุดเราก็ได้พบเจอกันเสียที..." เสียงของศิษย์พี่คนหนึ่งดังขึ้นอย่างนุ่มนวล
"เเทนไท" ด้วยเสียงที่คุ้นเคยจึงทำให้หนิงอ้ายเงยหน้าขึ้น พร้อมกับพูดกับตัวเองออกมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต