โอสถห้ามเลือดเป็นโอสถเเรกที่หนิงอ้ายได้ปรุงออกมาได้สำเร็จ การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองวันนี้เหวินหวู่จึงให้เด็กหนุ่มได้เริ่มจากโอสถนี้อีกครั้ง สำหรับสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ที่ได้รับมาจากอาจารย์ของตนหนิงอ้ายเห็นว่านอกจากจะมีสมุนไพรตั้งต้นจากสูตรโอสถระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มสมุนไพรขึ้นมาอีกหลายชนิดเช่นกันที่ล้วนเเต่มีฤทธิ์ส่งเสริมสมุนไพรก่อนหน้าทั้งสิ้น เมื่อเด็กหนุ่มได้จัดเตรียมสมุนไพรครบถ้วนตามสูตรโอสถในมือของตนแล้วจึงไม่รอช้าที่จะลงมือในทันที
หนิงอายตั้งสมาธิให้มั่นคงพร้อมกับเรียกญาณสัมผัสของตนออกมาคลอบคลุมไปทั้งทั้งเตาโอสถตรงหน้านี้ มือเรียวบางได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถลงไปในเตาหลอมก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟของตนออกมาอย่างระมัดระวัง ความล้ำค่าของสมุนไพรตามสูตรโอสถระดับสองนี้ที่บางชนิดก็มีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้หนิงอ้ายจึงระวังตั้งใจเป็นอย่างมากเพราะต้องการใช้สมุนไพรเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด
ปราณธาตุไฟที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายได้ล้อมรอบเตาโอสถซึ่งเด็กหนุ่มพยายามบังคับเปลวเพลิงนี้ให้มีความสมดุลไม่เบาไม่หนักจนเกินไปเพื่อที่จะได้เม็ดโอสถที่สมบูรณ์ เพราะหากในขั้นตอนหลอมสร้างปรุงโอสถในขณะที่สมุนไพรได้แปรเปลี่ยนเป็นของเหลว หากควบคุมความร้อนเปลวไฟของเตาโอสถได้ขาดช่วงไม่พอดี ผลลัพธ์ที่ตามมาก็เป็นไปได้ที่ว่าโอสถอาจจะไม่สมบูรณ์ได้หรืออาจไม่เป็นไปตามใจหวัง
ผ่านไปอีกไม่ถึงหนึ่งเค่อ ปราณธาตุไฟของหนิงอ้ายยังคงทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม กลิ่นอายของพลังชีวิตที่เเผ่ออกมานั้นได้ซึมซับเข้าไปในโอสถเหลวที่กำลังจะขึ้นรูปเป็นเม็ดโอสถเเล้ว กลิ่นหอมฟุ้งอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโอสถระดับสองได้ส่งกลิ่นออกมาจากเตาโอสถอย่างสม่ำเสมอ
จากนั้นหนิงอ้ายจึงค่อย ๆ ลดความร้อนแรงของเปลวเพลิงตนก่อนที่จะประสานมือขึ้นตามขั้นตอนสุดท้ายของการขึ้นรูปโอสถเม็ด ก่อนที่จะได้ยินเสียงเม็ดโอสถที่กระทบกันอยู่ในเตาตรงหน้า เป็นสัญญาณว่าการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้ได้เสร็จสิ้นเเล้ว
"เจ้าหยิบโอสถระดับสองที่เจ้าปรุงขึ้นมาดูเถิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาก่อนที่จะนั่งลงข้างเด็กหนุ่ม
"โอสถห้ามเลือดระดับสองสามเม็ดความบริสุทธิ์แปดส่วนกับครั้งเเรกเช่นนี้นับได้ว่าค่อนข้างเกินความคาดหมายของข้าไปมากเลยทีเดียว..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม
"เเต่ว่า...."
"เจ้าคิดว่าอย่างไร?" เมื่อเหวินหวู่ได้เห็นท่าทางของเด็กหนุ่มจึงถามกลับไปด้วยความสงสัย
"ข้ากำลังคิดว่าได้ทำขั้นตอนใดผิดพลาดไปหรือไม่? เพราะตามสูตรโอสถนั้นจะต้องได้โอสถห้ามเลือดเป็นจำนวนทั้งสิ้นห้าเม็ดเเต่ข้ากลับปรุงขึ้นมาได้เพียงสามเม็ดเท่านั้น..." หนิงอ้ายตอบกลับไปเเต่คล้ายกับว่าคุยกับตนเองเสียมากกว่า
จ ากนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยขอท่านอาจารย์ของตนว่าต้องการหลอมสร้างปรุงโอสถใหม่อีกครั้ง เมื่อชายชราพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับให้กำลังใจอีกเล็กน้อย หนิงอ้ายไม่รอช้าจึงลงมือตามที่ตนคิดไว้ในทันที...
การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองตามสูตรของโอสถห้ามเลือดตอนนี้หนิงอ้ายได้จดจำทุกขั้นตอนอย่างแม่นยำเเล้ว จึงใช้เวลาในการทดลองปรุงใหม่ในครั้งที่สองนี้ด้วยระยะเวลาไม่ถึงสองเค่อเพียงเท่านั้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็พอให้ชื่นใจมาบ้างเล็กน้อย เพราะในครั้งนี้เขาสามารถทำได้เพิ่มขึ้นเป็นสี่เม็ดแม้ว่าความบริสุทธิ์จะอยู่ที่เพียงเก้าส่วนเท่านั้นก็ตาม
"เจ้ากำลังสงสัยว่าเหตุใดในครั้งนี้สองนี้จำนวนที่ได้กับความบริสุทธิ์นั้นยังไม่เป็นไปตามที่ต้องการใช่หรือไม่??" เหวินหวู่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นกำลังนั่งครุ่นคิดว่าได้ผิดพลาดในขั้นตอนใดไปหรืออย่างไร
"ขอรับท่านอาจารย์ โอสถระดับสองหากเทียบเเล้วอาจมีความแตกต่างในเรื่องของสมุนไพรที่เพิ่มมาเพียงเท่านั้น หมายความว่าอาจจะเป็นสาเหตุอื่นนอกเหนือจากจำนวนชนิดของสมุนไพรขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยจบหลังจากที่ได้นิ่งเงียบวิเคราะห์ไปเมื่อครู่ จากนั้นจึงเริ่มทำการหลอมสร้างปรุงโอสถห้ามเลือดในครั้งที่สามนี้ในทันที
ขั้นตอนการหลอมสร้างปรุงโอสถนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็วตามขั้นตอนทุกอย่าง เพียงเเต่ว่าในครั้งที่สามนี้หนิงอ้ายได้ลองเพิ่มความร้อนแรงของเปลวเพลิงจากวิญญาณยุทธ์ให้มากขึ้นหนึ่งเท่า เเต่ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมากลับแย่กว่าสองครั้งเเรกยิ่งนัก ครั้งนี้ได้โอสถมาเพียงสามเม็ดอีกทั้งยังมีความบริสุทธิ์เพียงหกส่วนเท่านั้น นั่นย่อมหมายความว่าความร้อนแรงของเปลวเพลิงนั้นมีส่วนสำคัญในการหลอมสร้างปรุงโอสถเช่นกัน เเต่อาจเป็นไปได้ว่าสูตรโอสถห้ามเลือดนี้อาจจะยังไม่เหมาะสมกับความร้อนแรงที่มากจนเกินไป
"เจ้าสังเกตอะไรได้เเล้วใช่หรือไม่??" เหวินหวู่ได้ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นมีทีท่าว่าสามารถเเก้ปัญหาในเรื่องนี้ได้เเล้ว
"หากข้าคาดเดาไม่ผิดสูตรโอสถเเต่ละประเภทนั้นย่อมมีการใช้ความร้อนแรงของเปลวเพลิงที่แตกต่างกันออกไปใช่หรือไม่ขอรับ??"
"ย่อมเป็นเช่นนั้นสมุนไพรเเต่ละชนิดที่ถูกบันทึกในสูตรโอสถย่อมมีคุณลักษณะที่พิเศษเฉพาะเจ้าจะเห็นว่าสมุนไพรหลักในสูตรโอสถนี้จะเป็นสมุนไพรสังกัดธาตุน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเเล้วเปลวเพลิงในการหลอมสร้างปรุงโอสถที่ร้อนแรงเกินไปย่อมส่งผลไปถึงความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถเป็นอย่างมากเช่นกัน..."
"ดังนั้นเเล้วการที่อาจารย์ได้ให้เจ้าศึกษาตำราเกี่ยวกับสมุนไพรต่าง ๆ ทั้งเเหล่งที่อยู่อาศัยรวมไปถึงคุณสมบัตินี้เจ้าสามารถนำมาปรับให้เข้ากับสูตรโอสถที่เจ้าต้องการ หรือแม้กระทั่งคาดเดาความร้อนแรงของเปลวเพลิงที่ควรใช้ในยามหลอมสร้างปรุงโอสถนี้ เจ้าลองอีกครั้งดูเเล้วกัน...."เหวินหวู่ได้อธิบายถึงหลักการหลอมสร้างปรุงโอสถที่ตนได้ค้นพบขึ้นในตลอดเส้นทางการเป็นนักปรุงโอสถของตนตลอดหลายสิบปีมานี้พร้อมกับถ่ายทอดให้กับศิษย์สายตรงเพียงคนเดียวของตนอย่างไม่ปิดบัง
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านอาจารย์ ครั้งนี้ข้าจะลองเพิ่มเวลาในการหลอมสร้างปรุงโอสถ เพราะหากควบคุมเปลวเพลิงให้อยู่ในระดับที่พอดีสมดุลเเล้ว ระยะเวลาที่เพิ่มขึ้นน่าจะมีผลไปไม่น้อยเช่นกันขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับชายชราผู้เป็นอาจารย์ของตนไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะทำการปรุงโอสถอีกครั้งในครั้งที่สี่
สองมือเรียวบางของเด็กหนุ่มนั้นได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองลงไปในเตาหลอมโอสถ โดยที่ขั้นตอนหลังจากนั้นก็เหมือนเดิมทุกอย่าง เพียงเเต่ว่าในครั้งนี้หนองอ้ายเลือกที่จะควบคุมเปลวเพลิงจากวิญญาณยุทธ์ของตนอย่างสม่ำเสมอไม่ติดขัดสมดุลกันเหมือนกับครั้งที่สองก่อนหน้า
จนเมื่อเวลาได้ผ่านไปถึงสองเค่อเเล้ว ตัวของหนิงอ้ายยังคงควบคุมเปลวไปใต้เตาหลอมโอสถนั้นอย่างคงที่มั่นคง จนเมื่อถึงขณะหนึ่งคล้ายกับมีญาณสัมผัสหรือบางสิ่งที่บอกให้กับเด็กหนุ่มได้รู้ว่าเวลาเช่นนี้น่าจะพอดีเเล้ว จากนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ ผ่อนระดับของเปลวเพลิงลงก่อนที่จะประสานมือคู่อีกครั้งเพื่อผนึกโอสถเหลวนี้ให้กลายเป็นเม็ดตามที่ต้องการ กลิ่นหอมฟุ้งอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโอสถห้ามเลือดระดับสองได้อบอวลไปทั่วห้องนี้ สร้างความผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด
"หวังว่าในครั้งนี้จะสำเร็จตามที่คาดการณ์..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
ท่ามกลางความลุ้นระทึกว่าในครั้งนี้ตนจะทำได้สำเร็จจริงหรือไม่ เมื่อได้ยินเสียงโอสถที่กลิ้งนอนอยู่ในเตาหลอมหนิงอ้ายจึงหยิบขึ้นมาดูทันที
"โอสถห้ามเลือดระดับสองจำนวนห้าเม็ดความบริสุทธ์สิบส่วนทั้งสิ้น!!! ท่านอาจารย์ข้าทำสำเร็จแล้วขอรับ..." หนิงอ้ายร้องเสียงดังออกมาด้วยความยินดี
"เจ้าสามารถทำได้สำเร็จแม้ว่าข้าได้ชี้แนะไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เก่งมาก เก่งมากศิษย์ของข้า..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเอ็นดูที่เห็นท่าทางดีใจราวกับเด็กน้อย
"เเต่ถึงอย่างไรเจ้าอย่าได้กดดันตัวเองมากไปนัก นักปรุงโอสถที่มีพลังวิญญาณระดับเทวะวิญญาณขึ้นไปจะสามารถปรุงโอสถระดับสองได้ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรนั้นการจะได้มาซึ่งความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนก็ใช้ว่าจะสามารถทำได้ทุกครั้งด้วยเพราะปัจจัยหลายสิ่งอย่าง..."
"เเต่กับเจ้าที่พึ่งเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ไม่นาน ยังสามารถปรุงโอสถระดับสองที่มีความบริสุทธิ์มากถึงแปดส่วนเก้าส่วนเช่นนี้ได้ตั้งเเต่ครั้งเเรก ๆ ก็นับว่าโดดเด่นเหนือขั้นกว่านักปรุงโอสถระดับหนึ่งทั่วไปเเล้ว ไม่นับรวมไปถึงในตอนนี้ที่เจ้าเป็นเพียงนักปรุงโอสถฝึกหัดด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ นับว่ามากไปด้วยพรสวรรค์ที่สามารถยืนอยู่แถวหน้าอย่างเต็มภาคภูมิได้เเล้ว..."
"อาจารย์ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าเคยพบเจอกับสิ่งใดมาบ้างที่หล่อหลอมให้เจ้าต้องกลายเป็นคนที่จริงจังในทุกเรื่องเช่นนี้ไปได้ เเต่หากให้อาจารย์แนะนำด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาหลายสิบปีนี้ จึงอยากให้คำแนะนำเจ้าเเต่เพียงว่า..."
"ทุกคนย่อมผ่านอายุสิบห้าสิบหกปีเพียงเเค่ครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าที่ยังคงเป็นเด็กหนุ่มจงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขให้สมกับช่วงวัยที่ควรจะเป็นเสียเถิด อีกหลายสิบปีข้างหน้าตัวเจ้าก็ไม่สามารถที่จะย้อนเวลามาเเก้ไขหรือใช้ชีวิตตอนอายุสิบห้าสิบหกปีได้เเล้ว ปล่อยวางเสียบ้าง ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำหรืออาจจะออกไปเรียนรู้โลกที่กว้างใหญ่นี้เพื่อเรียนรู้ผิดถูกว่าสิ่งใดควรทำหรือยิ่งใดไม่ควรทำ..."
"ที่สำคัญอาจารย์จะคอยอยู่ข้างหลังเจ้า คอยเป็นกำลังใจ คอยให้คำปรึกษาอยู่เสมอ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ นอกจากครอบครัวหรือสหายของเจ้าเเล้ว จงอย่าลืมว่าที่ตรงนี้ก็จะมีอาจารย์เช่นกัน..." สิ้นคำสอนของเหวินหวู่ หนิงอ้ายจึงโผเข้ากอดชายชราพร้อมกับร้องไห้ออกมาเสียงดังคล้ายกับต้องการระบายความอึดอัดที่อยู่ในใจของตน...
ไม่ใช่ว่าหนิงอ้ายไม่อยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเหมือนกับคนทั่วไป เเต่ด้วยเพราะตั้งเเต่โลกเดิมที่เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์ สภาพแวดล้อมในตอนนั้นได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็กคนหนึ่งไปสิ้น จากที่เคยเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ไม่ทันคนเจอกับโลกของความเป็นจริงที่โหดร้าย จึงหล่อหลอมเด็กน้อยในวันนั้นให้โตขึ้นไปด้วยเเรงกดดันกับคำกล่าวที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอด
หนิงอ้ายได้รับโอกาสครั้งที่สองในการใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ อาจจะด้วยเพราะความเป็นอยู่ก่อนหน้าที่เขารับรู้ได้จากความทรงจำของหนิงอ้ายคนเก่า หรืออาจจะด้วยเพราะความคุ้นชินกับการกดดันตัวเองเช่นนี้จึงทำให้เขานั้นยังคงจริงจังในการทำทุกสิ่งให้ออกมาดีที่สุดเช่นนี้ รู้ว่าในโลกนี้ตนจะมีผู้หนุนหลังที่มากมายหาใช่ต้องเดียวดายเหมือนกับในโลกเก่า เเต่อย่างไรนั้นตัวเขาก็ต้องพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด ต้องเเข็งแกร่งให้มากขึ้นพอที่จะปกป้องตัวเองและสิ่งที่ตัวเองรักเช่นกัน
ตลอดเวลาเกือบสามชั่วยามหลังจากนั้น หนิงอ้ายได้ทำการหลอมสร้างปรุงโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ไปอีกหลายครั้งโดยไม่ผิดพลาดและออกมาเป็นความบริสุทธิ์สิบส่วนในทุกครั้งเเล้ว จึงได้ข้อสรุปเเล้วว่าความสมดุลของเปลวเพลิงรวมไปถึงระยะเวลาในการหลอมสร้างที่มากขึ้น จะเป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้โอสถที่ปรุงนั้นออกมาสมบูรณ์ที่สุด
แม้จะต้องสูญเสียพลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นจากการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับหนึ่งอีกเล็กน้อย เเต่เมื่อทำบ่อยครั้งเข้าเด็กหนุ่มจึงต้องหยุดพักเพื่อดูดซับโอสถลมปราณที่ตนหลอมสร้างขึ้น ไปพร้อมกับนั่งสอบถามสิ่งที่ยังสงสัยกับอาจารย์ของตนด้วยความใฝ่รู้
"วันนี้ก็เพียงเท่านี้ การฝึกฝนเป็นเรื่องที่ดีก็จริงเเต่มากไปก็ส่งผลเสียเช่นกันพรุ่งนี้อาจารย์จะพาเจ้าไปสอบเลื่อนระดับที่เมืองหมอกทมิฬในวันพรุ่งนี้..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบหัวเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
เขาตั้งใจจะพาเด็กหนุ่มไปสอบเลื่อนขั้นให้เรียบร้อย เพราะอีกฝ่ายจะได้ใช้สิทธิของการเป็นนักปรุงโอสถทั้งในเรื่องสวัสดิการในสำนัก รวมไปถึงสามารถไปช่วยบรรดาศิษย์คนอื่น ๆ ที่หอโอสถด้านนอกที่อยู่ในพื้นที่ส่วนกลางของสำนัก
หนิงอ้ายรับคำของอาจารย์ตน พร้อมกับยกมือประสานพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยเป็นการขอบคุณอีกฝ่ายที่เอ็นดูและเมตตาตนเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงขอเเยกตัวกลับเรือนพักของตนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลสักเท่าไหร่ เจ้าต้าเฮยเองที่เหมือนกับว่าได้ออกไปเที่ยวเล่นซุกซนตรงผืนป่าด้านหลัง ไม่นานหนึ่งคน หนึ่งสัตว์อสูรก็ถึงจุดหมายซึ่งนั่นก็คือเรือนพักติดป่าไผ่นั่นเอง...
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต