Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่94 นักปรุงโอสถระดับสอง

Share

บทที่94 นักปรุงโอสถระดับสอง

หลังจากที่หนิงอ้ายผ่านการสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองและได้ป้ายหยกประจำตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้วท่ามกลางความตกตะลึงไปทั่วทั้งสนามสอบเเห่งนี้ เส้นทางของนักปรุงโอสถกว่าจะผ่านแต่ละระดับได้ย่อมมีหลายปัจจัยที่เข้ามาข้องเกี่ยวอยู่ไม่น้อย จะเห็นว่าแม้ในยุทธภพจะสามารถพบเห็นตัวตนของนักปรุงโอสถฝึกหัดหรือนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้ไม่ยากนักก็จริง เเต่ทว่าสำหรับนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไปนั้นกว่าที่จะบ่มเพาะออกมาได้เเต่ละคนนั้นย่อมใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียว

มีจำนวนไม่น้อยในกลุ่มผู้ที่ร่วมการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ที่เคยสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองมาเเล้วหลายครั้ง บ้างก็ใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้าใจในเเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถ อีกทั้งยังต้องอาศัยความร้อนแรงของเปลวเพลิงและความละเอียดอ่อนในญาณสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเหล่านี้จะซุ่มฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือก็ต่างมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนนั้นจะประสบความสำเร็จในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้ เเต่ถึงอย่างไรก็ตามระดับพลังวิญญาณก็เป็นตัวแปรที่สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเพราะว่าการจะเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้นั้นนอกจากจะต้องมีคุณสมบัติทั้งสามประการเเล้ว จะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขึ้นไปจึงจะคือว่าครบถ้วนเป็นนักปรุงโอสถระดับสองที่เเท้จริง

ดังนั้นกว่าจะเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้นอกจากที่จะต้องทุ่มเทใช้เวลาไปกับการเรียนรู้ในเรื่องสมุนไพรและการหลอมสร้างปรุงโอสถเเล้ว นักปรุงโอสถทุกระดับนั้นต้องไม่ละทิ้งวิถีของผู้ฝึกตนเช่นกัน เพราะการที่นักปรุงโอสถมีพลังวิญญาณที่สูงขึ้น ญาณสัมผัสก็จะยิ่งละเอียดอ่อนตามไปด้วยเช่นกัน

การที่เด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้าย ผู้เป็นศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่สามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ นั่นหมายความว่านอกจากที่อีกฝ่ายจะเป็นนักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยที่สุดในรอบหลายร้อยปีเเล้ว ในส่วนวิถีของผู้ฝึกตนอีกฝ่ายก็ถือได้ว่าย่อมเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งอย่างแน่นอน แม้ว่าญาณสัมผัสของอีกฝ่ายที่พวกเขาสัมผัสได้จะเหนือชั้นไปมากกว่านี้เเล้วก็ตาม

การที่เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเพียงเท่านี้ เเต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติของนักปรุงโอสถที่โดดเด่น ผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ ช่างเป็นตัวตนที่น่าจับตามอง สมควรค่าแก่การได้มาครอบครองเสียจริง บรรดากลุ่มอิทธิพลน้อยใหญ่ในที่นี้ต่างมีคำสั่งลับ ๆ ให้ตามสืบประวัติของเด็กหนุ่ม แม้ว่าในภายหลังจะเกิดเรื่องน่าประหลาดใจเช่นที่ว่าผู้ที่ข้องเกี่ยวในภารกิจเหล่านี้จะทยอยหายไปอย่างปริศนา เเต่นั่นก็เป็นเรื่องราวหลังจากนี้ไปอีกหลายปีเช่นกัน...

เนื่องจากว่าเหวินหวู่ไม่ได้มีธุระอื่นที่ต้องจัดการเเล้ว จึงเห็นสมควรว่าควรที่จะกลับสำนักศึกษาเสียที เพราะว่าจุดประสงค์หลักในครั้งนี้เป็นเพียงการมาส่งเด็กหนุ่มมาสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถเท่านั้น ก่อนหน้าที่ได้แวะไปยังเมืองไร้นามก็เพราะว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางประจำสำหรับเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของหนิงอ้ายที่มักจะผ่านไปเสมอเวลาที่อีกฝ่ายมีเหตุจำเป็นต้องออกจากสำนัก ดังนั้นในขากลับนี่เองพวกเขาทั้งสองคนจึงได้ใช้เวลาน้อยลงอย่างเป็นเท่าตัว เพียงไม่นานเท่านั้นก็มาถึงประตูหน้าสำนักเสียเเล้ว

เหวินหวู่ได้เดินมาส่งหนิงอ้ายจนถึงซุ้มประตูทางเข้าของตำหนัก ท่ามกลางสายตาของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ เนื่องจากว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดตามที่สำนักศึกษาได้กำหนดเอาไว้ ดังนั้นเเต่ละพื้นที่ในสำนักจึงมีจำนวนคนที่มากกว่าปกติ จากนั้นเหวินหวู่จึงขอเเยกตัวจากหนิงอ้ายเนื่องจากมีเรื่องที่ต้องคุยกับท่านเจ้าสำนัก ซึ่งหนิงอ้ายก็ได้ประสานมือโค้งตัวทำความเคารพอาจารย์ของตนก่อนที่จะหายเข้าไปในซุ้มประตูทางเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา โดยที่ไม่สนใจความแตกตื่นของทุกคนในที่นี้...

'พวกเจ้าเห็นป้ายหยกข้างเอวของเด็กหนุ่มคนนั้นหรือไม่?? ข้ารู้มาว่าท่านปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ได้พาศิษย์คนล่าสุด ผู้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักไปสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถ...' เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยคุยกับสหายที่นั่งอยู่ข้างกัน

'ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใด เดี๋ยวนะ!! เจ้าหมายถึงผู้ที่ไปสอบเลื่อนขั้นนักปรุงโอสถเป็นเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้เช่นนั้นรึ?? นั้นไม่ใช่ว่าเขาเพียงเข้าศึกษาในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาได้ไม่ถึงสิบวันเพียงเท่านั้น...' เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาจึงตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะออกมา ก่อนที่จะคล้ายกับว่าพึ่งคิดสิ่งใดได้

'ข้าไม่ได้ตาฝาดเป็นแน่ ป้ายหยกสีเขียวสัญลักษณ์ของสมญานามปัญญาจารย์โอสถในยุทธภพ เเต่นั่น!! เป็นไปได้อย่างไรกัน....' ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งไปไม่ไกลที่ได้ยินบทสนทนาตั้งเเต่เเรกเริ่มจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเสริมขึ้น

'สัญลักษณ์ของนักปรุงโอสถจะถูกเเทนด้วยดอกฝูหรง (พุดตานสีเเดง) ในป้ายหยกสีเขียวนั่นหากมีหนึ่งดอกคือนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง สองดอกคือนักปรุงโอสถระดับสอง ยิ่งมีระดับสูงขึ้นจำนวนของดอกฝูหรงก็จะเพิ่มขึ้นไปด้วย อย่างเช่นท่านปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ที่คือครองป้ายหยกประจำตัวของนักปรุงโอสถระดับเจ็ดที่มีดอกฝูหรงอยู่ทั้งหมดเจ็ดดอก...'

'หากว่าดูไม่ผิด บนป้ายหยกของเด็กหนุ่มหนิงอ้ายนั้นมีดอกฝูหรงอยู่สองดอก นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้เขานั้นถือได้ว่าเป็นนักปรุงโอสถระดับสองแล้วอย่างเต็มตัว...' สตรีนางหนึ่งที่นั่งอยู่ไม่ไกลนั้นได้เอ่ยขึ้นย่อมสร้างความแตกตื่นกับทุกคนที่ได้ยินเป็นอย่างมาก...

เพียงหนึ่งชั่วยามหลังจากการปรากฏตัวของเหวินหวู่กับหนิงอ้าย ข่าวลือใหม่ที่ว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์คนล่าสุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสอง สมญานามปัญญาจารย์โอสถที่อายุน้อยปานนี้ได้สร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมาก แม้จะเป็นเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อเพราะอีกฝ่ายมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ทว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างให้คำสัตย์สาบานว่าเป็นเรื่องจริง นี่จึงทำให้เรื่องราวนี้เป็นที่พูดคุยกันอย่างมากมายในสำนักศึกษาหลังจากนี้

"ศิษย์พี่เฉินหลาน ข้าไปสืบมาแล้วทุกคนต่างยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงขอรับ!!" เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

"ท่านจะให้จัดการเจ้าเด็กหนิงอ้ายนั่นอย่างไรดีขอรับ?? ให้ข้า...เพี้ยะ!!!" ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงกระทบกันของฝ่ามือพร้อมกับที่ใบหน้าของอีกฝ่ายที่โดนสัมผัสอย่างรุนแรงได้ล้มลงไป

โครม!!!

"ออกไป!!! พวกเจ้าออกไปให้หมด จำไว้อย่าได้เอ่ยชื่อไอ้เด็กชั้นต่ำให้ข้าได้ยินอีก ไป!!!" ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นามว่าเฉินหลานที่ได้ระบายอารมณ์ด้วยการตบหน้าลูกสมุนคนหนึ่งของตนเเล้ว จิตสังหารอันเข้มข้นที่ถูกปล่อยออกมาได้ทำลานสิ่งของโดยรอบ พร้อมกันนั้นเหล่าชายหนุ่มที่เหลือต่างเข้าไปพยุงตัวสหายของตนก่อนที่จะหายไปจากในห้องนี้ด้วยความรวดเร็ว

"ไอ้เด็กชั้นต่ำ!! เห็นทีว่าคงจะอยู่ร่วมสำนักไม่ได้แล้วกระมัง ใช่สิ!! ต้องให้ผู้อาวุโสเฉินช่วยจัดการเสียเเล้ว เจ้าไม่รอดแน่หนิงอ้าย..." เมื่อคิดถึงเเผนจัดการเด็กหนุ่มที่ทำให้ตนขายหน้าที่ตลาดเมื่อหลายวันก่อน

เฉินหลานจึงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะเขียนจดหมายเวทย์ให้ผู้อาวุโสแซ่เฉินที่ขึ้นตรงกับบิดาตน โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าตรงมุมห้องนั้นอสรพิษสีดำได้เลื้อยออกไปด้วยความรวดเร็ว พร้อมกันนั้นวิหคสอดแนมก็ได้ส่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับหนิงอ้ายผู้เป็นนายของตนให้ได้รับรู้ทันที...

'เฉินหลานนะเฉินหลาน อยากจะยืมมือผู้อาวุโสจัดการข้าอย่างนั่นรึ เเล้วมาดูกันว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไรดี...' หนิงอ้ายที่ได้รับรู้เรื่องราวจากวิหคสอดแนมของตนเเล้ว จึงได้เเต่หัวเราะอยู่ในใจกับความดื้อรั้นของอีกฝ่าย สัญชาติญาณนักฆ่าในตัวคล้ายกับว่าจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเสียอย่างนั้น การทรมานเหยื่อนับว่าเป็นความสุขของหนิงอ้ายอยู่ไม่น้อย เอาเป็นว่าเขาจะสละเวลาไปเล่นกับอีกฝ่ายเเล้วกัน...

ภายในใจของหนิงอ้ายจะคิดถึงการทรมานในรูปแบบต่าง ๆ ที่ คิดว่าเหมาะสมกับเฉินหลาน ทว่าภายนอกสิ่งที่ทุกคนต่างมองเห็นนั่นคือเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีที่มีหน้าตางดงามหล่อเหลาชวนให้รู้สึกเอ็นดู ที่ทุกท่วงท่าการเดินราวกับเทพตัวน้อยที่เดินเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์เสียอย่างนั้น

ป้ายหยกประจำตัวของนักปรุงโอสถระดับสองที่ถูกห้อยไว้ตรงข้างเอวบาง พ่วงไปกับป้ายหยกประจำตัวอันเป็นฐานะของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเป็นสิ่งที่การันตรีได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถมากเพียงใด

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายกลับมาแล้วอย่างนั้นรึ การสอบเลื่อนระดับในครั้งเเรกนี้สำเร็จตามใจหวังหรือไม่??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยถามขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มเดินใกล้เข้ามา

"ทุกอย่างเรียบร้อยขอรับศิษย์พี่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม

"โอ้!!เจ้าถึงกับสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้อย่างนั่นรึ เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก!!" นางเอ่ยชมเด็กหนุ่มด้วยความ

"ช่างสมกับเป็นตัวประหลาดน้อยที่ท่านอาจารย์รับมาเสียจริง นี่ไม่ใช่ว่าในตอนนี้เจ้ากลายเป็นนักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยที่สุดอย่างนั่นรึ??" หลินจูหรือศิษย์ลำดับที่สามเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้กับหนิงอ้าย

"ไม่ใช่เพียงเเค่เป็นนักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยที่สุด ความสามารถเช่นนี้ของศิษย์น้องหนิงอ้ายน่าจะไม่ได้พบเห็นมาหลายร้อยปีเเล้ว" เกาเจินหรือศิษย์ลำดับที่สองเอ่ยเสริมขึ้น ในใจเขายิ่งยอมรับในตัวของศิษย์น้องคนนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่า

"ได้ยินมาว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายเป็นนักปรุงโอสถระดับสองเเล้วอย่างนั้นรึ?? ไม่เสียแรงที่ข้าได้ทุ่มเทให้ความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรแก่เจ้า..." เหยียนฮุ่ยที่พึ่งกลับมาจากด้านนอกต่างได้ยินข่าวลือที่เกี่ยวกับศิษย์น้องของตนเขาจึงรีบกลับเข้าตำหนักทันที

"ข้าต้องขอบคุณศิษย์พี่เหยียนสำหรับความรู้เกี่ยวกับสมุนไพร อีกทั้งข้ายังคงต้องขอบคุณศิษย์พี่ไป๋และศิษย์พี่ท่านอื่นด้วยที่ให้ความเข้าใจ ยินยอมให้ข้าได้เรียนรู้ในวิถีปรุงโอสถของพวกท่านเเต่ละคนด้วยขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งตัวเล็กน้อยให้กับเหล่าศิษย์พี่เเต่ละคนในที่นี้ เพราะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยง่ายที่นักปรุงโอสถระดับสี่ขึ้นไปจะยินยอมให้ผู้อื่นได้เห็นวิถีหลอมโอสถเฉพาะของตน

"เเล้วศิษย์น้องปรุงโอสถใดในการสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองเล่า??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

"เป็นท่านอาจารย์ที่เมตตามอบสูตรโอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์ระดับสองให้กับข้าได้ปรุงขึ้นในการสอบครั้งนี้ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไป

"ตาเฒ่าก็ยังเป็นตาเฒ่า สูตรโอสถระดับสองตั้งมากมายที่ตนครอบครองอยู่ เเต่กลับมอบสูตรโอสถนี้ให้กับเจ้า แม้จะเป็นโอสถระดับสองก็จริงเเต่ความยุ่งยากซับซ่อนในยามที่ต้องปรุงออกมานั้นก็ไม่ต่างไปจากโอสถระดับสามขั้นต่ำเสียด้วยซ้ำ..." เหยียนฮุ่ยบ่นออกมาเสียไม่ได้ ความนึกคิดของอาจารย์นั้นสมกับกับว่าตาเฒ่าประหลาดเสียจริง

"โอสถฤทัยอัคคีพิสุทธ์นี้บรรดาศิษย์พี่ของพวกเจ้าทุกคนต่างเคยล้วนปรุงขึ้นมาเเล้วทั้งสิ้น กว่าจะได้เม็ดโอสถที่มีความบริสุทธิ์มากกว่าเจ็ดส่วนจะเป็นภายหลังอีกสองสามเดือนก็ตาม" หลินจูเอ่ยเสริมขึ้น ทุกคนต่างพยักหน้ายอมรับโดยพร้อมเพรียงกัน

"เอาละ ๆ ถึงเวลาที่ศิษย์น้องหนิงอ้ายต้องพักผ่อนเเล้ว พวกเจ้าเเยกย้ายกันไปพักผ่อนเสียเถอะ...." เกาเจินที่เป็นศิษย์พี่ลำดับที่สอง นับได้ว่าเป็นพี่ใหญ่ของทุกคนในที่นี้จึงเอ่ยตัดบทขึ้นด้วยเห็นว่าพวกเขานั้นได้นั่งคุยกันเป็นเวลาหลายชั่วยามเเล้ว สมควรที่จะเเยกย้ายกลับเรือนพักของพวกตนเสียที

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนจึงรับคำกล่าวนี้ ก่อนที่จะเอ่ยลากันสักเล็กน้อยก่อนที่จะเเยกย้ายกันไปด้วยความรวดเร็ว ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นก็ใช้เวลาไม่ถึงเค่อก็มาถึงเรือนพักของตนเสียเเล้ว ก่อนที่จะก้าวข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เสียงหวานนุ่มของเด็กหนุ่มก็ได้เอ่ยขึ้นราวกับรู้ว่ามีสิ่งใดที่รอตนอยู่ด้านหลังประตูบานนี้…

"ดูท่าเเล้วท่านเฟยหลงจะเชี่ยวชาญในการปีนหน้าต่างห้องผู้อื่นเป็นอย่างมากเลยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะเห็นว่าชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้เป็นเจ้าของชื่อได้ส่งยิ้มชวนรู้สึกหมั่นไส้ในสายตาของเขาอยู่ไม่น้อย

"ข้าเพียงเเต่คิดถึงเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยก็เพียงเท่านั้น เจ้าหายไปหลายวันเช่นนี้ข้าที่ไม่ได้เห็นหน้าเจ้าจึงนอนไม่หลับสักเท่าไหร่นัก..." เฟยหลงตอบกลับไปด้วยถ้อยคำอันหวานเลี่ยน พร้อมกับตบมือลงตรงพื้นที่ว่างตรงข้างตนบนเตียงคล้ายกับเป็นสัญญาณเรียกเด็กหนุ่มให้มานั่งตรงนี้ หนิงอ้ายที่มองมาอย่างระอาใจ ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะชอบใจออกมา

"ข้าไม่ใช่สตรีในห้องหอที่จะรู้สึกอิ่มใจกับถ้อยคำหวานซึ้งเหล่านี้เชิญท่านเก็บไว้เกี้ยวสตรีที่ท่านพึงใจเสียดีกว่า พูดธุระของท่านเสียเถอะข้าต้องการพักผ่อนเเล้ว..." หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางเจ้าชู้ประตูดินนั่นถึงกลับกลอกตาไปมาด้วยความอ่อนใจ ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างบนเตียงที่ห่างไปจากชายหนุ่มไม่ไกลนัก

"เจ้าจำได้หรือไม่?? เรื่องที่ข้าได้เคยบอกกับเจ้าไปก่อนหน้า ดูเหมือนว่าในระยะนี้จะเกิดบางสิ่งอย่างขึ้นมีศิษย์ในสำนักหลายคนได้ล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ภายนอกก็เหมือนกับว่านอนหลับไหลไปเพียงเท่านั้น เเต่ความจริงเเล้วพลังชีวิตคล้ายกับว่าได้ถูกดูดกลืนไปอย่างช้า ๆ" เฟยหลงเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจังเป็นอย่างมาก แตกต่างจากท่าทางหนุ่มเจ้าสำราญในก่อนหน้านี้ไปอย่างสิ้นเชิง

"มิน่าเล่า ช่วงนี้ท่านอาจารย์จึงดูว่ามีเรื่องวุ่นวายใจคล้ายกับว่ามีเรื่องให้คิดอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีเรื่องต้องไปพบเจอกับท่านเจ้าสำนักบ่อยขึ้นในช่วงนี้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นราวกับว่าพึ่งนึกสิ่งใดได้เสียอย่างนั้น

"อาการภายนอกคล้ายกับว่าเพียงหลับไปเท่านั้นปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตื่น อีกทั้งพลังชีวิตยังถูกดูดออกไปอย่างช้า ๆ นี่คงไม่ใช่ว่า!!!!" หนิงอ้ายที่ใช้เวลาครุ่นคิดไปชั่วครู่ เมื่อนำไปรวมกับสิ่งที่อาจเป็นไปได้จึงตกตะกอนความคิดหนึ่งขึ้นมา

หากเป็นไปตามนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตและน่ากังวลกว่าที่ตนคิดไว้ตั้งเเต่เเรกเสียด้วยซ้ำ...

"สิ่งที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับมาร ข้าเข้าใจถูกใช่หรือไม่?? หนิงอ้ายเอ่ยถามชายหนุ่มตรงหน้าที่ตอนนี้ได้ขยับตัวนั่งชิดกับตนตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ เเต่ถึงอย่างไรนั้นตัวของเขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธในความใกล้ชิดนี้ แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจในความคุ้นชินนี้ไม่น้อยเเต่ทว่าความสงสัยที่มีมากกว่าจึงได้ปัดตกความคิดเหล่านี้ไปจนหมดสิ้น...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status