ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้น
สำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้
บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!
ตู้ม!
สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื้นปรากฏเป็นแท่งน้ำแข็งใสกระจ่างน้อยใหญ่ผุดขึ้นดั่งผลึกน้ำงามที่ส่องประกายหยอกล้อกับแสงแดด แม้ไม่ได้สัมผัสก็รับรู้ได้ถึงความแหลมคมที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายของมันไม่น้อย
หนิงอ้ายปรับเปลี่ยนบทเวทย์นี้ให้เป็นระดับเทวะโดยอ้างอิงจากปราณธาตุน้ำที่เป็นหนึ่งในปราณธาตุหลัก แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนที่สามารถใช้ปราณธาตุได้มากกว่าหนึ่งก็จริง แต่สำหรับปราณสุริยะธาตุนั้นเขาต้องการเก็บไว้เป็นไพ่ลับมากกว่ายิ่งท่านแม่บอกว่าปราณสุริยะธาตุนั้นเป็นปราณธาตุหายากที่ไม่ปรากฏมานานแล้ว หากเขาเปิดเผยความสามารถนี้ไปไม่แคล้วว่าจะต้องถูกดึงตัว เกิดการแย่งชิงจากสำนักน้อยใหญ่หรือบางทีอาจจะถูกตามล่าเพื่อนำเลือดของเขาไปทำส่วนผสมของโอสถระดับสูงก็เป็นไปได้ เพราะมีความเชื่อที่ว่าเพียงแค่เลือดหนึ่งหยดของผู้ฝึกตนปราณสุริยะธาตุธาตุต้นกำเนิดสามารถนำมาเป็นส่วนผสมในโอสถสำหรับฟื้นคืนชีวิตของผู้คนได้
หนิงอ้ายตั้งใจว่าหากเมื่อใดที่เขาสามารถเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ สักวันเขาคงจะเปิดเผยความสามารถของปราณสุริยะธาตุอย่างแน่นอน เพราะจะให้หนีปัญหาไปตลอดเช่นนี้ไม่กล้าเผชิญหน้าย่อมไม่ใช่ตัวเขาอยู่แล้ว
''เหตุใดวันนี้เจ้าจึงซ้อมเพียงไม่นานเล่า?''
''ท่านเยว่ซินให้มาตามคุณชาย เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วยขอรับ...'' ลู่ซีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนต้องทำอะไรจึงเอ่ยแจ้งเด็กหนุ่มในทันที
''เช่นนั้นวันนี้ฝึกซ้อมพอเเค่นี้เเล้วกัน...'' หนิงอ้ายตอบกลับพร้อมกับเดินนำอีกฝ่ายออกไปยังเรือนของตน
ใช้เวลาเพียงไม่กี่เค่อหนิงอ้ายกับลู่ซีก็มาถึงเรือนหลังนี้ โดยบ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่ได้กล่าวว่าฮูหยินเอกได้รออยู่ในห้องโถงรับรองเเล้ว หนิงอ้ายพยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปในทันที
''มาแล้วอย่างนั้นรึ...มานั่งตรงนี้เถิดมารดามีเรื่องจะคุยด้วยกับเจ้า'' เยว่ซินเอ่ยออกมาพร้อมกับจับเเขนเด็กหนุ่มให้นั่งลงที่ข้างตนเองทันที
''ว่าท่านเเม่มีเรื่องใดจะพูดคุยกับข้าหรือขอรับ?''
''มารดามีเรื่องที่ต้องบอกให้เจ้ารับรู้ ในตอนนี้มารดากับบิดาของเจ้าได้ทำการหย่าขาดกันเเล้ว วันรุ่งขึ้นเราจะกลับไปยังตระกูลหวังที่แคว้นเต่าดำ หนิงเอ๋อร์เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร?'' เยว่ซินเอ่ยออกมาพร้อมกับสังเกตท่าทีของเด็กหนุ่ม ด้วยเพราะกลัวว่าการตัดสินใจของนางจะทำให้บุตรชายต้องเสียใจ
เเต่มีหรือที่หนิงอ้ายจะไม่รับรู้ความหมายของสายตาที่มารดาของตนมองมา ''ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวลขอรับ อย่างไรแล้วข้าล้วนเชื่อฟังและเคารพการตัดสินใจของท่านในทุกเรื่องขอรับ…''
''...''
''หากเจ้าไม่ติดขัดในเรื่องใดเช่นนั้นอย่าลืมให้ลู่ซีช่วยเก็บข้าวของด้วยเล่า เพราะพรุ่งนี้พวกเราคงเริ่มออกเดินทางกันเเต่เช้า...'' หนิงอ้ายพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะเอ่ยขอแยกตัวจากเยว่ซินเพื่อไปจัดการเก็บข้าวของในทันที...
''จริงหรือขอรับคุณชายที่ท่านเยว่ซินได้หย่ากับท่านประมุขจางเลี่ยงหวงแล้ว?'' ลู่ซีถามขึ้นในขณะที่กำลังช่วยหนิงอ้ายเก็บของ
''แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เเล้วเจ้าเล่าอยากไปกับข้าหรือไม่?'' หนิงอ้ายถามกลับไป
''ข้าอยากติดตามกลับไปยังแคว้นหงส์แดงเพื่อคอยรับใช้คุณชายขอรับ!!'' ลู่ซีตอบตกลงด้วยความยินดี
''ลู่ซีเจ้าอยู่กับหนิงอ้ายตั้งเเต่เด็กข้าเชื่อว่าเจ้าย่อมรับรู้และสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงว่าข้าไม่ใช่หนิงอ้ายคุณชายของเจ้าใช่หรือไม่?''
''...''
''ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ตัวข้านั้นชื่อนทีและไม่ใช่คนในโลกนี้ หลังจากข้าตายในโลกเดิมเมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าได้เข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายผู้นี้เสียเเล้ว...''
''...''
จริงอยู่ที่ลู่ซีสัมผัสได้ว่าคุณชายของตนเปลี่ยนไปราวกับคนละคนแม้จะมีใบหน้าและรูปร่างที่เหมือนเดิมก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป หรือความสามารถในอีกหลากหลายด้านที่ไม่คาดคิด สิ่งเหล่านี้คุณชายของเขาย่อมทำไม่เป็นอย่างแน่นอน ลู่ซีหัวใจกระตุกวูบให้ความรู้สึกราวกับถูกพลักตกจากที่สูงเมื่อคิดได้เช่นนั้น
''เช่นนั้นแสดงว่าคุณชายของข้าได้จากไปแล้ว คุณชายของข้า...'' ลู่ซีร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
''คุณชายของเจ้าได้เข้าสู่วัฏจักรสังขาร เป็นไปตามลิขิตของโชคชะตาไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว เจ้าต้องยอมรับให้ได้เพราะนี่เป็นสัจธรรมแห่งชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...''
''คุณชาย...คุณชายของข้า''
''ท่านยังมีข้าอยู่นะลู่ซี แม้ว่าดวงจิตนี้จะเป็นของข้าจากโลกอื่นก็จริง แต่ร่างกายนี้ยังคงเป็นคุณชายที่เจ้าคอยดูแลมาตั้งแต่เจ็ดปีไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้...เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?''
''คุณชายน้อยได้ทรมานมาหลายปีแล้ว รอยยิ้มสุดท้ายคงเป็นก่อนพิธีปลุกพลังวิญญาณในปีนั้น ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้คงเป็นดั่งชะตาฟ้าลิขิตดั่งที่ท่านว่า อย่างไรคงเพียงต้องยอมรับให้ได้!!'' ลู่ซีเอ่ยขึ้น ในครั้งนั้นเป็นเขาที่อ่อนแอเกินไป หลังจากนี้เขาจะฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะปกป้องภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายคุณชายให้ได้…
''สำหรับข้าแล้วเจ้าไม่ใช่เพียงบ่าวรับใช้คนสนิท ข้านับถือเจ้าเป็นดั่งพี่ชายของข้าคนหนึ่งด้วยซ้ำ ในโลกเดิมตัวข้านทีผู้นี้เป็นเพียงเด็กกำพร้าไม่มีพ่อเเม่ไร้ซึ่งพี่น้อง หากไม่เป็นอันใดมากเกินไปข้าขอนับถือท่านเป็นดั่งพี่ชายได้หรือไม่?'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกข้างในของตนอละความรู้สึกของหนิงอ้ายคนเดิมที่ยังตกค้างอยู่
''เเต่ว่า... '' ลู่ซีพยายามที่จะปฏิเสธ
''อย่าปฏิเสธเลย ทุกสิ่งที่ข้าเอ่ยขึ้นมาหนิงอ้ายคนเดิมก็รู้สึกเช่นเดียวกัน และข้าเชื่อว่าท่านเเม่เยว่ซินย่อมมีความเห็นที่ตรงกันกับข้าเช่นกัน เอาละ! ยังมีเวลาอีกมากที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เรารีบเก็บของทั้งหมดกันเถิดเพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันเเต่เช้า''
ด้วยเนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้สามารถรับรู้ถึงทุกสิ่งอย่างในขอบเขตรัศมีหนึ่งลี้ทั้งสิ้น ขณะที่หนิงอ้ายพูดกับลู่ซีบทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาเชื่อว่าเยว่ซินหรือมารดาของหนิงอ้ายยืนฟังอยู่ตรงหน้าประตูย่อมได้ยินอย่างแน่นอน ด้วยสัมผัสประสาททั้งห้าที่แม่นยำกว่าผู้คนทั่วไปนั่นเอง
หนิงอ้ายเชื่อว่าตั้งเเต่ที่ตนฟื้นขึ้นมาจากเหตุการ์ณที่หนิงอ้ายคนเดิมได้จากไป เยว่ซินผู้ที่รักบุตรชายยิ่งกว่าชีวิตย่อมสังเกตความเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นและรับรู้ได้ว่าบุตรชายคนเดิมของตนได้จากไปแล้ว เเต่การที่นางยังมอบความรัก ความเอาใจใส่ ตลอดจนไม่มีท่าทีต่อต้านและมองว่าเขาฉวยโอกาสมาอยู่เเทนบุตรของตนฉะนั้นเขาขอเห็นแก่ตัวสักนิดได้หรือไม่ที่จะครอบครองสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวที่เขาได้รับจากโลกใบนี้...
ก่อนหน้านี้เยว่ซินได้เรียกรวมบ่าวที่คอยดูเเลรับใช้ตนที่เรือนหลังนี้ เพื่อสอบถามว่ามีบ่าวรับใช้คนใดสมัครใจติดตามกลับตระกูลหวังของนางที่แคว้นเต่าดำหรือไม่? หรือหากต้องการอยู่ที่แคว้นหงส์แดงนี้นางจะได้ให้ตำลึงเงินไว้สำหรับตั้งตัวกันเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบเเทนในทุกเรื่อง บรรดาบ่าวรับใช้ทุกคนได้เอ่ยขออนุญาตไม่ติดตามกลับไปด้วยเพราะต่างมีครอบครัวกันอยู่ในแคว้นหงส์แดงนี้กันทั้งสิ้น บ่าวรับใช้ในเรือนต่างก้มหัวทำความเคารพอย่างสุดใจด้วยเพราะรู้สึกโชคดีที่ได้มารับใช้อดีตฮูหยินเอกผู้นี้ซึ่งไม่เคยด่าทอทุบตีบ่าวรับใช้เหมือนกับนายท่านเรือนอื่น ๆ
หลังจากจัดการทุกสิ่งอย่างแล้ว เยว่ซินจึงตั้งใจที่จะไปคุยกับหนิงอ้ายบุตรชายของตนเกี่ยวกับการเก็บข้าวของ เสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เเต่ไม่คิดว่านางจะได้ยินเรื่องราวที่หนิงอ้ายคุยกับลู่ซีบ่าวคนสนิท ยิ่งทำให้นางแน่ใจเเล้วว่าสิ่งที่นางคิดมาตลอดนั้นเป็นเรื่องจริง แม้นางจะเสียใจไม่น้อยที่ต้องเสียหนิงอ้ายคนเก่าไป เเต่ถึงอย่างไรนั้นสวรรค์ก็ไม่ได้ทำร้ายนางเท่าใดนักเพราะก็ได้ส่งบุตรของนางอีกคนกลับมาเช่นกัน
บุตรที่นางไม่มีโอกาสได้อุ้มชูเสียด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้เรื่องราวในสิบห้าปีก่อนนอกจากหมอทำคลอด ทุกคนในตระกูลจางรวมไปถึงจางเลี่ยงหวงอดีตสามีของนางต่างเข้าใจว่านางคลอดบุตรชายได้สำเร็จ
ความจริงเเล้วในคืนนั้นนางคลอดบุตรชายฝาแฝดสองคน เเต่ด้วยเพราะนางเอาเเต่คิดเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอดีตสามีที่ตบแต่งกับฮูหยินรองโดยที่ไม่มีการกล่าวให้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น นางจึงได้เเต่เก็บเอามาคิดและโทษว่าเป็นความผิดของนางที่ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาแก่อดีตสามีในทุก ๆ เรื่องราวกับว่าไม่ได้รับการไว้วางใจกัน สุดท้ายผลเสียเหล่านั้นได้เกิดขึ้นกับบุตรชายคนโตของนางที่ไม่มีโอกาสได้หายใจโดยทิ้งเพียงน้องชายอีกคนไว้กับนาง...
หนิงอ้าย ชื่อของบุตรชายคนเล็ก หมายถึง ความรักอันสงบ เเต่ความจริงเเล้วไม่เคยมีใครรู้ว่านางได้ซ่อนบุตรชายคนโตของนางอีกคนในชื่อนี้แม้จะฟังเเล้วดูเหมือนกันเเต่ความจริงเเล้วคำว่าอ้ายของบุตรชายคนเล็กหมายถึงความรักและบุตรชายคนโตที่จากไปคำว่า อ้าย หมายถึง หยกงาม ที่นางไม่มีโอกาสได้ดูเเลอุ้มชูแม้เพียงน้อย
ถึงแม้ว่าในวันนี้นางได้สูญเสีย หยกงาม อย่างไม่มีวันหวนกลับเเต่สวรรค์ยังคงเมตตาและมออีกฝ่ายกลับเข้าสู่อ้อมอกอีกครั้งและนางสัญญาว่านางจะเเข็งแกร่งขึ้น...เข้มเเข็งขึ้นเพื่อจะที่ดูเเลบุตรชายที่นางได้คืนมานั้นอย่างดีที่สุด...
''คุณชาย ไม่สิหนิงอ้ายท่านเยว่ซินให้มาตามไปทานสำรับเช้าได้เเล้ว...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยความขัดเขิน ด้วยสถานะที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ''ขอรับลู่เกอ กำลังออกไปขอรับ" หนิงอ้ายตอบกลับด้วยคำเรียกที่แตกต่างไป ด้วยเพราะในคืนที่ผ่านมาเขาได้เอ่ยกับมารดาไปว่ารู้สึกกับลู่ซีเป็นดังพี่ชายหาใช่บ่าวรับใช้ เยว่ซินที่ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยรับลู่ซีเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน จึงถือได้ว่าตอนนี้ลู่ซีเป็นพี่ชายของหนิงอ้ายไปเสียเเล้ว เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนไปถึงห้องรับรองก็พบว่าทุกคนอยู่พร้อมหน้าแล้ว ''พวกเจ้าสองพี่น้องมาแล้วอย่างนั้นรึ? พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่เพราะต้องออกเดินทางกลับก่อนยามสายเพื่อที่ช่วงเย็นจะได้ถึงตระกูลหวังได้ทัน...'' เยว่ซินได้สั่งการให้พวกบ่าวรับใช้ขนของเข้าไปยังรถม้าทั้งหมด ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มากเท่าไหร่นักเพราะเลือกไปเพียงเเต่ของใช้ส่วนตัวและสินสมรสเดิมเท่านั้น สิ่งอื่นใดที่ได้รับจากตระกูลจางหรืออดีตสามีของนางเคยมอบให้นางไม่นำกลับไปด้วยแม้เพียงซักชิ้นด้วยเพราะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกันอีกบรรดาฮูหยินรอง อนุต่าง ๆ รวมไปถึงบรรดาบุตรชาย บุตรสาวของอดีตสามีนางและบ่าวรับใช้ในตระกูลหวังต่างยืนส่งพวกเขาที่หน้าจวนตระกูลหวังพอเป็นพิธีอาจด้วยเพราะว่าการหย่าเเบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแคว้นหงส์เเดงหรือแคว้นอื่น ๆ ทำให้มีผู้คนสนใจและเฝ้ารอดูเหตุการณ์ตรงบริเวณพื้นที่หน้าจวนของตระกูลหวังไม่น้อย เสียงพูดคุยดังขึ้นทั้งชื่นชมในการตัดสินใจที่ผิดแปลกไปจากสตรี จนเกิดเป็นคำนินทามากมายต่างลอดเข้ามาให้รับรู้เป็นระยะเเต่เยว่ซินนางไม่ได้สนใจเลยสักนิด เมื่อทุกคนอยู่ในรถม้ากันครบถ้วนแล้วหวังฮุ่ยจึงออกคำสั่งให้ออกเดินทางในทันที
เนตรแห่งสวรรค์เมื่อถูกเรียกใช้ในยามที่มีระดับพลังวิญญาณที่มากขึ้นขอบเขตความสามารถดังกล่าวก็ทวีเพิ่มขึ้นเช่นกัน หนิงอ้ายสามารถอ่านใจของคนที่ต้องการได้หากคนผู้นั้นไม่ได้มีระดับพลังวิญญาณสูงกว่าหรือมีบทเวทย์ป้องกันที่เเข็งแกร่งมากพอ หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่าแม้มารดาของตนจะเอ่ยหย่ากับบิดาของเขาดูคล้ายกับว่าไม่รู้สึกอะไรเเต่ความจริงเเล้ว บางครั้งมารดาของเขามักจะทอดสายตาราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เมื่อรู้สึกตัวก็จะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและหาอะไรทำเสียมากมายคล้ายกับว่าไม่ต้องการให้ตนว่างเท่าใดนัก
น่าโมโหไม่น้อยนี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่มารดาจะได้พบกับบิดาของเขา สุดท้ายเเล้วบิดาตัวดีก็ไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็นเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น หนิงอ้ายจดชื่อบิดาของตนลงบัญชีดำเเล้วที่บังอาจทำให้มารดาของตนต้องเสียใจร้องไห้ เอาเถอะสักวันเขาจะเอาคืนอย่างสาสม...
เรื่องราวของอีกด้านหนึ่ง...''นายท่านจะเอาเเต่อยู่สำนักศึกษาไม่ได้นะขอรับ ยิ่งวันนี้ฮูหยินเอกไม่สิท่านเยว่ซินจะกลับแคว้นแล้วท่านควรที่จะไปส่งฮูหยินเอกสักนิดนะขอรับ" ฝู่หรงเอ่ยแนะนำขึ้นแก่นายท่านของตนด้วยความเป็นห่วงด้วยเพราะในตอนนี้นั้นเลี่ยงหวงเอาเเต่อยู่ในห้องตำราในสำนักศึกษาผิงอานและเอาเเต่ดื่มเหล้าเเทนสำรับอาหารครั้นเมื่อเหล้าหมดไหเเล้วก็สั่งให้บ่าวนำมาให้เรื่อย ๆ
''ข้าจะมีหน้าไปพบกับนางได้เยี่ยงไรข้าทำผิดต่อนางถึงขนาดนี้แล้วนางคงไม่ต้องการพบหน้าข้าด้วยซ้ำ...'' เลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ดวงตาแดงกล่ำคล้ายกับว่าก่อนหน้านี้ได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง
''ในเมื่อรู้ว่าตนผิดก็ต้องขอโทษขอรับเเต่หากไม่ต้องการที่จะปล่อยมือจากท่านเยว่ซินนายท่านควรที่จะตั้งสติและเเก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุดขอรับ เพราะเป็นสิ่งที่ท่านเยว่ซินนั้นคาดหวังกับท่านไม่น้อยเลย'' ฝู่หรงไม่รู้ว่าเนื้อหาที่ด้านในม้วนกระดาษที่อดีตฮูหยินเอกมอบให้แก่นายท่านของเขาคืออะไรเเต่คงสำคัญยิ่ง เพราะจนถึงตอนนี้ม้วนกระดาษดังกล่าวยังอยู่ในอกเสื้อของนายตนอยู่ ''นั้นสินะ ข้าก็มีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกัน!!'' เลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่สงบไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดใด...ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต