เนื้อหาในบทนี้ มีการบรรยายถึงการใช้ความรุนแรง การกระทำที่ผิดต่อกฎหมาย ศีลธรรม และหลักสิทธิมนุษยชน
ผู้แต่งมิได้เจตนาสื่อถึง การเห็นด้วยกับการกระทำใดๆ ที่นำมาซึ่งการถูกบังคับให้เป็นบุคคลสูญหาย
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
••××ו••
หลายวันต่อมา
"แก ฉันได้เรื่องมา!!"
ร่างเล็กอุ้มกระเป๋าสะพายตนเองวิ่งหน้าตั้งเข้ามารวมกลุ่มกับเพื่อนสนิทสองคน ที่กำลังนั่งคุยสัพเพเหระกันอยู่บริเวณลานม้าหินอ่อนหน้าคณะ
"อะไรของแกพะแพง วิ่งจนหน้าม้ากระพือ" พริมโรสแซวเพื่อนพลางหยิบทิชชู่ในกระเป๋าส่งให้ซับเหงื่อบนใบหน้า
พะแพงรับจองจากมือเพื่อนมาเช็ดถูใบหน้าตัวเอง ถือวิสาสะหยิบขวดน้ำของใบเตยยกขึ้นดื่มไปหลายอึก
"นี่! แกจะมาขโมยน้ำฉันกินไม่ได้นะยะ"
"น้ำขวดละเจ็ดบาท เดี๋ยวซื้อคืนสิบแพ็ค" พูดอย่างไม่ใส่ใจ และพยายามสูดอากาศเข้าปอดเพื่อเตรียมเล่าเรื่องตื่นเต้นที่บังเอิญได้ยินมา
ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อกี้ เรียกความสนใจให้คนช่างเม้าท์อย่างใบเตยได้เป็นอย่างดี ในขณะที่พริมโรสก็สงสัยในอาการของเพื่อนไม่น้อย
หากเปรียบเทียบระดับความอยากรู้อยากเห็นของทั้งสามคนในกลุ่ม พะแพงจะอยู่ในระดับต่ำสุด รองลงมาคือพริมโรส และมากสุดต้องยกให้ใบเตย
เรื่องที่ได้รับรู้มาคงใหญ่มากจริงๆ
"เล่าเรื่องแกมา" ใบเตยรีบพูดขึ้น เมื่อเห็นว่าเสียงลมหายใจของเพื่อนเข้าสู่ภาวะปกติ
"ไอ้เธอร์" พูดชื่อบุคคลน่ารำคาญออกมา ก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพราะยังมีอาการเหน็ดเหนื่อย "หายตัวออกจากบ้าน สามวันแล้ว"
นักศึกษาสาวอีกสองคนมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ ว่าการที่อาเธอร์ไม่กลับบ้านมันเป็นเรื่องใหญ่อย่างไร
"มีคนเห็นอธิการฯ อานนท์ออกมาจากสถานีตำรวจเมื่อเช้า พอไปถามตำรวจในนั้นที่รู้จักกันเขาก็บอกว่า มาแจ้งความลูกชายหาย" หญิงสาวเล่าให้เพื่อนฟัง ระหว่างที่หยิบมือถือขึ้นมา
มือเล็กเปิดภาพแคปหน้าจอในไลน์กลุ่มเพื่อนสนิทของอาเธอร์ที่ได้มาจากคนอื่นๆ ที่ส่งต่อกันมาให้เพื่อนดูประกอบ
ภาพแรกเป็นภาพรถยนต์ยุโรปสีขาวที่จอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถในผับดังใกล้มหาวิทยาลัย ในสภาพไม่เรียบร้อย รถไม่อยู่ในช่องจอดรถอย่างที่ควรจะเป็น แต่เดาไม่ได้ว่าเจ้าของรถกำลังจะจอดรถ หรือถอยรถออกจากลานจอดกันแน่
เพียงแต่มันแสดงออกมาว่า เจ้าของรถหายตัวไป โดยทิ้งรถไว้ในสภาพนี้
"การ์ดที่ผับไปเจอรถมันจอดทิ้งไว้ ของสำคัญทุกอย่างถูกทิ้งไว้ในนั้น ทั้งมือถือ และกระเป๋าสตางค์ กุญแจรถเองก็เสียบคาทิ้งไว้"
ภาพต่อมาเป็นภาพนิ่งที่ได้จากกล้องวงจรปิดหลายเหตุการณ์ รถยนต์คันสีขาวกำลังจะถอยออกจากลานจอดรถเวลาตีหนึ่งเศษๆ ของคืนวันเดียวกันกับที่พริมโรสเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญ
อาเธอร์เดินลงจากรถด้วยท่าทีเมามาย ยืนคุยกับใครบางคนด้านหลังรถ ที่เห็นเพียงช่วงแขนที่โผล่เข้ามาในกล้อง ก่อนจะถูกกระชากหายออกจากบริเวณที่กล้องสามารถบันทึกได้
"เหมือนไอ้เธอร์มันลงรถมาคุยกับใครไม่รู้ แล้วก็ถูกลากไป" พะแพงเล่าประกอบภาพ โดยที่เพื่อนทั้งสองพยายามซูมภาพดูรายละเอียดเท่าที่จะสามารถดูได้
"แกไปได้ของพวกนี้มาจากไหนเนี่ย" ใบเตยถามเพื่อนด้วยความตกตะลึง
นี่มันเอ็กคลูซีฟสุดๆ!!
"เขาแชร์กันในกลุ่มคณะให้ว่อน หัดเช็คไลน์กลุ่มบ้าง" พะแพงพูดออกมาพลางมองแซะเพื่อนอย่างไม่จริงจังนัก
"ฉันกับโรสกดออกกลุ่มมาตั้งแต่ปีสองแล้ว ก็ในกลุ่มแม่งคุยอะไรกันไม่รู้ หาสาระไม่ได้ เปลืองแบต"
"เลยพลาดของดี" พะแพงทำท่าปากยื่นปากยาวใส่เพื่อน ก่อนจะถูกใบเตยยกมือขึ้นขู่ทำท่าจะตี จึงหดลำคอกลับ
"คงจะไปเหยียบตีนคนในผับนั่นแหละ" พริมโรสวิเคราะห์เหตุการณ์จากนิสัยของอาเธอร์ "ตอนนี้ยังไม่เจอมันเหรอ"
"ไปนอนคุยกับรากมะม่วงแล้วมั้ง นานขนาดนี้" ใบเตยเผลอพูดออกมาอย่างใส่อารมณ์ ก่อนจะทำหน้าแหยเมื่อเพื่อนอีกสองคนมองตาเขียวเชิงปรามคำพูด
"ตอนนี้ยังไม่เจอ คืนนี้จะครบวันที่สี่แล้ว"
"หามันที่คอนโดหลังมอหรือยัง"
"ตำรวจกำลังจะเข้าไปเก็บหลักฐานวันนี้ แต่เพื่อนมันลองไปเคาะห้องแล้ว ไม่มีคนเปิด" พะแพงพูดในสิ่งที่ได้อ่านมา และฟังจากรุ่นพี่ในคณะเจ้าของโพสต์ที่ไปถามเพิ่มเติม
"เรื่องโทรนี่ไม่ต้องพูดถึง มือถือถูกทิ้งไว้ในรถขนาดนั้น" ใบเตยสำทับ ก่อนจะกอดอกเอียงคออย่างสงสัย "มันไปมีเรื่องกับใคร ถ้าละแวกมอเรา ไม่มีใครใหญ่เกินมันแล้วนะ"
"รอกล้องในผับ" พริมโรสแสดงความเห็นออกมาบ้าง "แกดึงฉันกลับเข้ากลุ่มหน่อย"
"ฉันด้วย"
×××
ห้องภายในโกดังใหญ่ที่ไม่ทราบเจ้าของแห่งหนึ่งแถบท่าเรือ
สัตหีบ ร่างสูงของนักศึกษาชายวัยยี่สิบเอ็ดปีในสภาวะไร้สติสัมปชัญญะ ถูกจับแขวนมัดมือทั้งสองข้างขึงกับขื่อโกดัง
สภาพเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เลอะไปด้วยฝุ่นและร่องรอยเกรอะกรังสีน้ำตาลเข้ม กอปรกับใบหน้าหล่อเหลาที่บวมช้ำจนเริ่มเป็นรอยม่วงหลายจุด
พื้นโกดังซีเมนต์ใต้เท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยของเสียจากร่างกายจนส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งน่าอาเจียน
เสียงฝีเท้าหนักๆ ของคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ทันทีที่แขนข้างขวาของนักศึกษาหนุ่มถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ร่างกายก็เซถลาไปตามแรกตรึงเชือกที่รั้งแขนอีกข้างเอาไว้อย่างแรงจนล้มลง
"อึก!" อาเธอร์ได้สติจากการกระทำนั้น พยายามเงยหน้าใช้ดวงตาที่ห้อเลือดมองไปยังผู้ที่เข้ามา
แต่เห็นเพียงเงาเสี้ยวใบหน้า จากแสงด้านนอกที่ย้อนเข้าดวงตาเท่านั้น
นักศึกษาหนุ่มถูกชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำลากถูกไปกับพื้นมายังอีกห้องที่มีชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าชาวยุโรปนั่งอยู่บนโซฟา
แม้จะมองเห็นผู้ทรงอิทธิพลเบื้องหน้าไม่ชัดเจน แต่มั่นใจว่าไม่เคยเห็นหน้าคร่าตากันมาก่อนอย่างแน่นอน
"จับกูมาทำไม..."น้ำเสียงแหบพร่าถามเสียงแผ่ว ก่อนจะกระแอมไอจากการขาดน้ำมาหลายวัน
"เอาน้ำให้มัน กูยังไม่ให้มันตายตอนนี้"
สิ้นคำสั่งของผู้ป็นนาย น้ำดื่มจำนวนหนึ่งก็ถูกส่งเข้าปากของนักศึกษาชาย
ไม่ใช่การหยิบยื่นด้วยความเวทนา แต่เพื่อรักษาให้รอพบจุดจบที่สาสมกว่านี้
รสชาติของน้ำดื่มผสมกับของเหลวสีแดงที่เกิดจากบาดแผลในช่องปาก ไม่ได้ทำให้เกิดความสดชื่นขึ้นมาแม้แต่น้อย
"อึก...มะ มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร" คำถามแสนงี่เง่า แฝงไปด้วยทัศนคติบิดเบี้ยวของผู้พูดถูกเปล่งออกมาทันทีที่มีเรี่ยวแรง
อาเธอร์ผู้ไม่เคยรับรู้รสชาติของการถูกกดขี่ เพราะมีชีวิตมาตลอดสี่สิบปีด้วยการข่มเหงรังแกคนอื่น
"อธิวัฒน์ รุ่งกิจโกศล อายุ 21 ปี ลูกชายอธิการบดี ด็อกเตอร์ อานนท์ รุ่งกิจโกศล" เสียงทุ้มเอ่ยจากร่างกำยำที่ยืนข้างกายมาเฟียหนุ่ม
ชายที่สวมแว่นสายตาในชุดสูทสีดำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"เมื่ออายุสิบสี่ปี ถูกจับด้วยข้อหาขับรถโดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ และขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียทรัพย์สิน"
เรื่องอดีตเริ่มถูกร่ายยาวออกมาทีละประโยค จนเจ้าของเรื่องยังต้องเงยหน้ามองผู้พูด
"เมื่ออายุสิบเจ็ดปี ถูกแจ้งความด้วยข้อหากระทำชำเราผู้เยาว์อายุต่ำกว่าสิบห้าปี" เริ่มพูดในเรื่องต่อมาโดยไร้ซึ่งเอกสาร ราวกับมันถูกอ่านและจดจำไว้จนหมด "แต่ต่อมาผู้เสียหายได้ถอนแจ้งความ ก่อนจะถูกยื่นฟ้องในข้อหาหมิ่นประมาท"
"พะ พวกมึงเป็นใคร" นักศึกษาหนุ่มถามออกมาด้วยความรู้สึกตื่นกลัวเป็นครั้งแรก "กูทำอะไรให้พวกมึง"
มั่นใจว่าต่อให้สันดานเสียขนาดไหน ก็ไม่อาจกล้ามีปัญหากับกลุ่มคนเบื้องหน้าแน่นอน
"กูรู้จักมึงแล้ว" ร่างสูงบนโซฟาพูดออกมาโดยไม่สนใจคำถามของเด็กหนุ่ม "แล้วมึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร"
กริ๊ก!
เสียงขึ้นนกปืนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำเอาอาเธอร์สะท้านกลัวในอก ใบหน้าหล่อเหลาถูกเท้าของใครบางคนกดศีรษะจนไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้อีกต่อไป
"กลัวเป็นด้วยหรือไง..."
"ฮึก! ปะ ปล่อยกูเถอะ พวกมึงอยากได้อะไร เงินเหรอ สะ สิบล้านพอไหม"
ทันทีที่เขาพูดจบเสียงหัวเราะก็หลุดออกมาจากมาเฟียหนุ่ม ขยับตัวลุกจากโซฟาลงมานั่งยองๆ ข้างนักศึกษาหนุ่ม
ก่อนที่อาเธอร์จะสัมผัสถึงความเย็นของโลหะที่จ่ออยู่ข้างขมับซ้าย
"มึงยังคิดว่าคนที่สามารถเอาชีวิตมึงได้ทุกนาทีต้องการเงินเหรอ" น้ำเสียงเย้ยหยันออกมาจากริมฝีปากหนา ปลายกระบอกปืนลูกโม่สีเงินไล้ผิวหนังบริเวณขมับอย่างน่าหวาดเสียว
"กูไม่เคยทำอะไรให้พวกมึง!"
"มึงทำแน่..." แค่ทำให้เธอคนนั้นเกิดหวาดกลัวก็ถือเป็นความผิด "กูได้ยินเรื่องของมึงหลายครั้งแล้ว ก็พยายามเฉยเพราะรู้ว่าสันดานหมาบ้าแบบมึงมันแก้ไม่ได้"
เคยได้ยินคนตัวเล็กบ่นปรับทุกข์เมื่อถูกคนตรงหน้าคุกคามในมหาวิทยาลัย เคยกระทั่งอาสาจัดการให้ แต่เธอกับหัวเราะออกมา แล้วปฏิเสธราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่
กระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องจากสายเรียกเข้าวันนั้น...
"ตะ ตำรวจไม่ปล่อยพวกมึงไว้แน่..."
"หึ ตำรวจเหรอ" ปลายกระบอกปืนเคาะศีรษะเด็กหนุ่ม ก่อนที่มาเฟียหนุ่มจะหยิบโทรศัพท์ส่วนตัวตนเองออกมากดปุ่มรายชื่อผู้ติดต่อ "มึงอยากแจ้งความกับใครล่ะ..."
ตื๊ดดด...
(ครับนาย...)
ชื่อของเจ้าหน้าที่ระดับสูงนายหนึ่งแสดงผลอยู่บนหน้าจอ พลันทำให้นักศึกษาหนุ่มแสดงสีหน้าสิ้นหวังออกมาทันที
"มีคนจะแจ้งความ" นิ้วเรียวเขี่ยมือถือสีดำไปหยุดที่ด้านหน้าอาเธอร์ "พูดสิ..."
เด็กหนุ่มฟุบหน้าเงียบไม่กล่าวอะไรออกมาอีก ตอนนี้รู้สถานการณ์ตนเองอย่างชัดแจ้ง
ต่อให้พ่อของเขาแจ้งความ คดีก็จะไร้ซึ่งความคืบหน้า เอกสารทางราชการจะกลายเป็นเพียงกระดาษที่ใช้แล้วหนึ่งแผ่น
เซนวางสายก่อนจะเก็บมือถือตนเองเข้ากระเป๋าเสื้อสูท ดุนลิ้นยิ้มหยันให้กับความสิ้นหวังที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า
"คนที่มึงจ้างมามันกระจอก" ร่างกำยำเดินกลับมานั่งไขว่ห้างบนโซฟาหนังตัวเดิม สายตาจับจ้องที่ด้ามปืนในมือด้วยดวงตาลึกล้ำ "แค่ลูกปืนถูกๆ คนละลูก ก็บอกหมดว่าใครส่งพวกมันมา"
"พูดอะไรของมึง ฮึก..."
"บีเอ็มดับเบิลยู ซีโฟร์ สีแดง 4950"
รุ่นรถยนต์และหมายเลขทะเบียนรถของคนตัวเล็ก ถูกเอ่ยออกมาจากลูกน้องที่มีตำแหน่งเป็นมือขวาของมาเฟียหนุ่ม
เซนเหลือบตามองคนที่ทำให้หญิงสาวตกอยู่สถานการณ์เลวร้ายอย่างโกรธเคือง
"ความตายไม่ใช่จุดจบคนอย่างมึง"
ปืนลูกโม่สีเงินถูกวางบนฝ่ามือของลูกน้องคนสนิท ผู้มาเยือนเดินจากไปแล้ว ส่วนนักศึกษาหนุ่มก็ถูกลากตัวกลับไปอยู่ในอิริยาบถเดิม ห้องเดิม
"ปะ ปล่อยกู!!! อึก!!" เสียงโวยวายจบลงด้วยการถูกกระแทกรุนแรงที่ท้ายทอย
ร่างไร้สติถูกพาออกไป โดยไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติ
◂◂◂♡▸▸▸