หมอกเช้าลอยคลอเคลียทั่วหุบเขา แสงอาทิตย์แรกเพียงเล็กน้อยสาดผ่านม่านหมอกลงมา คล้ายกับสวรรค์ตั้งใจปกปิดความจริงบางอย่างไม่ให้นางล่วงรู้ ทว่าในยามที่นางกำลังครุ่นคิดถึงชะตากรรมของตน เสียงกีบม้ากลับดังแทรกขึ้นมา เสียงนั้นไม่ใช่เพียงการเดินผ่านธรรมดา หากแต่เป็นจังหวะหนักแน่นที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งและความมั่นใจ กีบม้ากระทบพื้นหินกรวด ก้องสะท้อนไปทั่วหุบเขาเหมือนเสียงระฆังเตือนล่วงหน้าให้ระวังภัย
ซูอี้เหม่ยหายใจสะดุด นางเหลือบมองไปทางทิศเสียงนั้น และเพียงอึดใจเดียว เงาร่างดำทะมึนก็ค่อย ๆ ปรากฏออกมาจากม่านหมอก ม้าสีดำสนิท สูงสง่าดุจอสูรแห่งรัตติกาล กีบเหล็กของมันกระทบพื้นหญ้าเป็นประกายสะท้อนแดดยามเช้า บนหลังม้านั้นคือบุรุษในชุดนักรบเรียบง่าย หากแต่เพียงเสี้ยวแรกที่สายตาของเขากวาดมาทางนาง หัวใจของซูอี้เหม่ยก็พลันเต้นแรงราวกับถูกสะกด
บุรุษผู้นั้นมีใบหน้าคมสัน แววตาดุดันลึกล้ำประหนึ่งเหยี่ยวทะยานฟ้า แววตานั้นไม่เพียงมองทะลุรูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เหมือนกำลังอ่านลึกเข้าไปถึงความลับในจิตใจของผู้คน เสื้อคลุมนักรบสีเข้มปลิวสะบัดตามแรงลมยามเช้า บนไหล่กว้างมีผ้าคลุมดำปักลวดลายที่ไม่คุ้นตา — ลวดลายนั้นดูคล้ายตราสัญลักษณ์ของตระกูลสูงศักดิ์หรือกองกำลังใดกองกำลังหนึ่ง
เขากระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว การเคลื่อนไหวสง่างามแต่แฝงด้วยพลังเงียบงันที่บีบคั้นบรรยากาศรอบกายทันที ซูอี้เหม่ยต้องเงยหน้ามองร่างสูงตระหง่านที่เข้ามายืนเบื้องหน้า เงาของเขาทาบลงบนร่างนางบดบังแม้กระทั่งแสงแรกของอรุณ ทำให้ทุกสิ่งรอบกายกลายเป็นเพียงความพร่าเลือน
“คุณหญิง…เหตุใดจึงเปียกปอนอยู่ริมลำธารเช่นนี้?” น้ำเสียงทุ้มต่ำดังก้อง ราวกับกระแทกเข้ามาในหูและซึมลึกลงไปถึงหัวใจ น้ำเสียงนั้นแม้เรียบเย็น แต่กลับแฝงด้วยแรงกดดันที่ทำให้ซูอี้เหม่ยแทบหายใจไม่ทั่วท้อง
นางชะงัก สายตาหลบเลี่ยงไม่กล้าประสานกับดวงตาคมกล้าคู่นั้น ความจริงในใจของนางคือสิ่งที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกมาได้ — นางมิใช่สตรีจากโลกนี้ หากแต่เป็นวิญญาณจากอีกภพหนึ่งที่ถูกดึงดูดมายังร่างนี้อย่างไร้เหตุผล หากเผลอพูดไปก็ไม่รู้ว่าชายแปลกหน้าผู้นี้จะมองว่านางเป็นบ้า หรืออาจถึงขั้นถูกกำจัดเพื่อปิดปาก
“ข้ะ…ข้าเพียงพลัดตกน้ำมา” นางพยายามเอ่ยเสียงเบา พลางเบือนหน้าหนีอย่างรวดเร็ว เสียงของตนเองสั่นสะท้านจนแทบไม่เหมือนเสียงเดิม
บุรุษลึกลับยกคิ้วเพียงเล็กน้อย มุมปากโค้งขึ้นราวกับยิ้มเยาะ แต่นั่นมิใช่รอยยิ้มอบอุ่น หากแต่เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกำลังถูกหยอกล้อด้วยสายตาที่มองทะลุทุกสิ่ง ซูอี้เหม่ยก้มหน้าลงต่ำ บีบชายเสื้อเปียกชุ่มไว้แน่นเพื่อตั้งสติ
เขาก้าวเข้ามาอีกก้าว ระยะห่างระหว่างทั้งสองสั้นลงจนกลิ่นอายบุรุษแผ่วผ่านเข้ามาในลมหายใจ — กลิ่นนั้นผสมปนระหว่างเหล็กกล้าของนักรบกับกลิ่นหญ้าและควันไฟที่ฝังแน่นจากการเดินทางไกล เขาคลี่ผ้าคลุมดำออกมาจากบ่า ก่อนจะคลุมลงบนร่างของนางโดยไม่รอฟังการปฏิเสธ การกระทำเด็ดขาดเช่นนั้นทำให้นางต้องสะดุ้งเล็กน้อย
ผ้าคลุมนั้นหนักแน่นแต่กลับอบอุ่น แผ่วซึมเข้าสู่ผิวกายที่เย็นเฉียบจากน้ำและสายลมยามเช้า หัวใจของซูอี้เหม่ยสั่นไหว นางบีบชายผ้าคลุมนั้นไว้แน่น สายตาเหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้าเพียงแวบเดียวก็ต้องรีบหลบตาอีกครั้ง
“โลกใบนี้คงไม่ใจดีถึงขั้นให้ฉันเจอแค่คนดีหรอก…” นางคิดในใจอย่างหวาดหวั่น “ถ้าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ก็ต้องเป็นคนที่อันตรายอย่างที่สุด”
ชายหนุ่มยังคงเพ่งมองนางราวกับต้องการอ่านความจริงทุกอย่างจากแววตา ความเงียบปกคลุมอยู่ครู่หนึ่งจนได้ยินเพียงเสียงน้ำไหลและเสียงลมหายใจของทั้งสอง
ในดวงตาของเขามีประกายที่อ่านยาก — เป็นเพียงความสงสัยต่อหญิงสาวแปลกหน้า? หรือมีแววเอ็นดูบางเบาซ่อนอยู่? หรืออาจเป็นแค่สายตาของนักรบที่ไม่เคยปล่อยให้สิ่งใดเล็ดรอดสายตาไปโดยไม่สำรวจ?
ซูอี้เหม่ยกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก ความรู้สึกประหลาดเกิดขึ้นในอก — ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน และ…บางสิ่งที่คล้ายกับแรงดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายได้
บุรุษผู้นั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงหนักแน่น “ในหุบเขานี้มิใช่ที่สำหรับสตรีที่จะอยู่เพียงลำพัง หากเจ้ามิใช่ชาวบ้านที่นี่ ยิ่งควรระวังให้มากกว่านี้”
ซูอี้เหม่ยเงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ก่อนรีบหลบตา นางไม่รู้ว่าควรเชื่อใจเขาหรือไม่ แต่ก็รู้ดีว่าหากไม่พึ่งพาใครเลยในโลกที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ นางคงไม่อาจอยู่รอดได้
แสงเช้าส่องทะลุม่านหมอกออกมาอีกครั้ง ลำธารที่ใสสะอาดพลันกลายเป็นเวทีแห่งการพบพาน — การพบที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพ ความรัก หรืออาจเป็นโศกนาฏกรรมที่จะพลิกชะตาของซูอี้เหม่ยไปตลอดกาล
และในใจลึก ๆ ของนาง ก็รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างว่า ชายผู้ขี่ม้าดำปรากฏจากหมอกนี้ จะมิใช่เพียงผู้ผ่านทางธรรมดา หากแต่เป็นบุรุษที่จะเกี่ยวพันกับชะตาของนางไปจนถึงที่สุด…
แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยสาดส่องลงบนลานดินหน้าบ้าน เงาของต้นไผ่เอนลู่ตามแรงลมทอดลงบนพื้นราวกับเส้นหมึกที่ขีดเขียนโดยจิตรกรผู้ชำนาญ ซูอี้เหม่ยก้าวออกจากเรือนด้วยจังหวะมั่นคง แม้หัวใจยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเพราะการปะทะกับแม่เลี้ยงเมื่อครู่ แต่บนใบหน้างดงามกลับฉายรอยยิ้มเย็นเฉียบนางไม่คิดจะทนรับฟังคำด่าทอและการเหยียดหยามอีกต่อไป — ชีวิตนี้ นางมิได้เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องรองรับความโกรธแค้นหรือเป็นตัวตลกให้ใครหยามเหยียด“บ้านหลังนี้…ไม่ใช่ที่สำหรับฉันอีกแล้ว” เสียงในใจดังขึ้นแน่วแน่ทันทีที่ก้าวพ้นประตูไม้บานใหญ่ กลิ่นอายของอิสรภาพก็เหมือนพัดเข้าสู่หัวใจ นางเดินตรงไปตามถนนสายเล็กของหมู่บ้าน เสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่วิ่งไล่จับกันดังคลอไปกับเสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนเรียกลูกค้า กลิ่นอาหารทอดบนกระทะและกลิ่นขนมหวานพื้นบ้านลอยมาตามลม บรรยากาศช่างคึกคักสดใส ทว่าหัวใจของซูอี้เหม่ยกลับรู้สึกเหมือนก้าวเข้าสู่โลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย โลกที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ต้องเรียนรู้และเผชิญหน้าแต่ก่อนที่นางจะได้ทอดสายตาชื่นชมโลกใบใหม่นี้ เสียงฝีเท้าหนักแน่นกลับดังขึ้นจากด้านหลังตึก… ตึก… ตึก…เสียงนั้นแตกต่างจากเสียงฝีเท้า
ภายในเรือนใหญ่แห่งตระกูลซู กลิ่นชาดำยังคงกรุ่นกระจายอยู่ทั่วโถงไม้โอ่อ่า แสงแดดยามสายลอดผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย ละลายเป็นลายเงาลงบนพื้นสะอาดมันวาว ราวกับเส้นทองที่ร่ายรำอยู่ใต้แสงอาทิตย์ บรรยากาศโดยรอบแม้ดูสงบสุข ทว่าแท้จริงกลับเต็มไปด้วยความกดดันที่อัดแน่นจนแทบหายใจไม่ทั่วท้องบนตั่งสูงด้านในสุด สวี่ซินเหมยนั่งประทับอยู่ นางสวมอาภรณ์ผ้าแพรสีชมพูอ่อน ปักลายดอกเหมยระยับแวววาว ผิวพรรณที่ทาด้วยแป้งหอมราคาแพงดูราวกับเครื่องเคลือบงดงาม หากแต่แววตาและสีหน้ากลับกรีดเฉือนดุจมีดคม นางยกพัดหยกขึ้นปิดริมฝีปาก แต่สายตากลับจับจ้องไปยังสตรีอีกผู้หนึ่งที่ยืนตรงกลางโถง“ซูอี้เหม่ย” น้ำเสียงแหลมสูงก้องสะท้อนทั่วห้องโถง “เจ้าหายไปทั้งคืน กลับมาพร้อมเสื้อผ้าเปียกปอน สภาพน่ารังเกียจเช่นนั้น กล้าทำให้ตระกูลนี้ขายหน้าได้อย่างไร!”ริมฝีปากบางภายใต้พัดหยกขยับพลางสั่นสะท้านด้วยโทสะ เสียงพูดของนางเต็มไปด้วยการกล่าวโทษและการกดข่ม ราวกับต้องการย้ำเตือนทุกคนว่าตนคือภรรยาหลวงผู้ครอบครองอำนาจสูงสุดในเรือนบิดาของซูอี้เหม่ย นั่งอยู่ข้างๆ เพียงก้มหน้าดื่มชาเงียบๆ มือที่ถือถ้วยชาแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน แต่กลับไม่เปล่งเสีย
เสียงกีบม้าค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมเงาของชายลึกลับผู้จากไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายแปลกประหลาดที่ยังวนเวียนอยู่ในใจ ราวกับเงาแห่งโชคชะตาที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่าแต่กลับกดทับลงบนหัวใจของซูอี้เหม่ยอย่างเงียบงันนางสูดลมหายใจลึก พยายามสงบความปั่นป่วนในอก ก่อนก้าวเดินกลับเข้าสู่หมู่บ้านเล็กริมภูเขา ที่ซึ่งชีวิตภายนอกยังคงดำเนินไปอย่างปกติ บ้านไม้เรียงรายอยู่สองฝั่งถนนดินแดง กลิ่นหอมของฟืนและอาหารพื้นบ้านลอยตามลมมา เด็กๆ วิ่งเล่นเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ผู้เฒ่านั่งสานตะกร้าใต้ร่มไม้ บรรยากาศดูอบอุ่นราวหมู่บ้านเล็กที่ห่างไกลความวุ่นวายของโลกภายนอกแต่สำหรับซูอี้เหม่ย…ที่นี่กลับเต็มไปด้วยความอึดอัดเหมือนกำลังถูกล่ามด้วยโซ่ล่องหน บรรยากาศแสนสงบนี้ไม่อาจกลบกลิ่นอายมืดดำที่คลี่คลุมหัวใจของเธอเมื่อก้าวเท้าเข้าใกล้คฤหาสน์ไม้หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหมู่บ้าน เสียงด่าทอแหลมสูงก็ดังลอดออกมาจากด้านในทันที“เจ้าขี้เกียจ! ทำไมยังไม่ไปตักน้ำ! หรือเจ้าคิดจะใช้ความงามบังหน้าแล้วเอาตัวรอดไปวันๆ รึไง!”เสียงนั้นแทงทะลุเข้าไปในโสตประสาทจนร่างกายแข็งทื่อ ซูอี้เหม่ยหยุดชะงัก หัวใจบีบรัดแน่นราวกับถูกกำมือเย็นเยียบบ
เสียงน้ำจากลำธารยังคงไหลรินเป็นสายยาวราวกับไม่รู้จักสิ้นสุด สายน้ำใสราวกระจกสะท้อนเงาไม้ใหญ่ที่ทอดกิ่งก้านลงมาปกคลุม ความชื้นเย็นยามเช้าซึมเข้าสู่ผิวกายของซูอี้เหม่ยจนทำให้นางสั่นสะท้านเล็กน้อย ร่างกายนี้แม้จะงดงามดุจหยก แต่กลับอ่อนแรงและบอบบางเหมือนกลีบดอกไม้ที่เพิ่งผ่านพายุฝนมา ในห้วงความคิดของนางยังคงสับสนปั่นป่วน — โลกใบนี้คือที่ใดกันแน่? เหตุใดนางจึงมาอยู่ในร่างของสตรีผู้นี้ได้?หมอกเช้าลอยคลอเคลียทั่วหุบเขา แสงอาทิตย์แรกเพียงเล็กน้อยสาดผ่านม่านหมอกลงมา คล้ายกับสวรรค์ตั้งใจปกปิดความจริงบางอย่างไม่ให้นางล่วงรู้ ทว่าในยามที่นางกำลังครุ่นคิดถึงชะตากรรมของตน เสียงกีบม้ากลับดังแทรกขึ้นมา เสียงนั้นไม่ใช่เพียงการเดินผ่านธรรมดา หากแต่เป็นจังหวะหนักแน่นที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งและความมั่นใจ กีบม้ากระทบพื้นหินกรวด ก้องสะท้อนไปทั่วหุบเขาเหมือนเสียงระฆังเตือนล่วงหน้าให้ระวังภัยซูอี้เหม่ยหายใจสะดุด นางเหลือบมองไปทางทิศเสียงนั้น และเพียงอึดใจเดียว เงาร่างดำทะมึนก็ค่อย ๆ ปรากฏออกมาจากม่านหมอก ม้าสีดำสนิท สูงสง่าดุจอสูรแห่งรัตติกาล กีบเหล็กของมันกระทบพื้นหญ้าเป็นประกายสะท้อนแดดยามเช้า บนหลังม้า
สายลมยามรุ่งสางพัดผ่านยอดไผ่เป็นเสียงกระซิบแผ่วเบา กลิ่นหอมชื้นจากหญ้าเขียวและกลีบดอกไม้ป่าที่ร่วงหล่นลงบนผืนน้ำลำธารทำให้บรรยากาศในหมู่บ้านโบราณแห่งนี้สงบงามราวกับภาพวาด เสียงนกร้องขับขานรับแสงแรกของอรุณดังก้องประสานกับเสียงน้ำไหลเป็นท่วงทำนองธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ท่ามกลางหมอกบางที่ลอยละล่องเหนือสายน้ำ เกิดประกายระยิบระยับเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์สีทองริมลำธารนั้น มีหญิงสาวผู้หนึ่งค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น ร่างกายเปียกโชกด้วยหยดน้ำที่เกาะทั่วเนื้อผ้า ผมยาวดำสลวยชุ่มน้ำแนบไปตามแผ่นหลังขาวเนียน ใบหน้างดงามราวเทพธิดา ยามนี้กลับเต็มไปด้วยความสับสนและหวาดหวั่น“ที่นี่…ที่ไหนกัน?” เสียงในใจของนางสั่นพร่า พลางยกมือขึ้นลูบหน้าผาก ความทรงจำสุดท้ายของ "ซูอี้เหม่ย" คือเสียงเบรกดังลั่น ก่อนร่างเธอจะล้มลงสู่ถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟและผู้คน แต่เหตุใดตอนนี้กลับได้กลิ่นดินหอมสดชื่น และสัมผัสลมเย็นของสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยสายตาคมงดงามเบิกกว้างเมื่อสะท้อนเงาของตนในผิวน้ำ — ร่างกายที่เธอเห็นไม่ใช่เธอ! เครื่องแต่งกายที่สวมใส่เป็นชุดจีนโบราณปักลายดอกโบตั๋นด้วยเส้นด้ายทองงดงาม ผิวกายขาวละเอียดราวหิมะ และที่สำคัญ ใบหน