Home / โรแมนติก / บุปผาต้องมนตร์ / Chapter 8. เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่

Share

Chapter 8. เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่

last update Huling Na-update: 2024-11-16 13:18:12

            ชายหนุ่มชะงักชักมือกลับทันทีที่รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตู เขายืดตัวขึ้น มือไพล่หลังและหันไปมองทางประตูราวกับรอคอย เพียงอึดใจบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสาวใช้ที่ประคองอ่างน้ำเข้ามาในห้อง

            “คุณชาย” ชุนเอ๋อร์จะย่อกายคารวะ แต่จ้าวจิ่นสือยกมือห้ามไว้ก่อน

            “มีอะไรก็ทำเถอะ ข้าแค่แวะมาดูอาการนางเท่านั้น”

            “เมื่อครู่แม่นางมู่ก็เข้ามาตรวจดูอาการคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์รายงาน

            “ท่านหมอไม่ได้มาตรวจเองรึ”

            “เห็นว่าต้องไปรักษาคนเจ็บที่อื่น แม่นางมู่จึงมาดูอาการคุณหนูแทนเจ้าค่ะ”

            ชายหนุ่มอยากถามอะไรต่อ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายคงจะเตรียมเช็ดตัวให้หญิงสาวที่หลับใหล จึงได้แต่พยักหน้ารับรู้ กำลังจะเดินออกไป ก็มองเห็นขนมจินเดในจานที่วางบนโต๊ะ หัวคิ้วขมวดด้วยความสงสัยจนต้องเอ่ยปากถาม

            “หลิ่งหลินยังไม่ฟื้น ไยมีขนมของหวานในห้องนี้ได้” จำได้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดคนนี้โปรดกินขนมหวานนัก เรียกว่ากินแทนข้าวก็ยังได้

            “เป็นของแม่นางมู่เจ้าคะ นางบอกว่าคุณหนูชอบขนมหวานนัก เผื่อได้กลิ่นจะได้กระตุ้นให้นางตื่นได้เร็วขึ้น”

            ได้กลิ่นขนมนี่นะ? ความคิดแบบนี้เป็นหมอได้อย่างไรกัน? 

            เขาส่ายหน้าไปมาแล้วก้าวเดินออกไปอย่างเงียบๆ เดินตรงไปทิศทางที่หอตำราตั้งอยู่

            จ้าวจิ่นสือปีนี้อายุครบยี่สิบปีเต็ม เขาคือบุรุษผู้ครอบครองใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ รูปงามคมคาย มีคิ้วเข้มเรียงเป็นระเบียบ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง เมื่อยามแย้มยิ้ม รอยยิ้มก็เรียกความสดใสมีชีวิตชีวาให้แก่ผู้พบเห็น แต่นั่นแหละทำให้เขามักต้องตีสีหน้าเคร่งขรึมตลอดเวลา เขาไม่ต้องการถูกมองเป็นหนุ่มสำอาง เขามีตำแหน่งรองแม่ทัพย่อมต้องการให้คนเคารพยำเกรงมากกว่า

            เขาเป็นถึงบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงผู้เกรียงไกร แต่บิดาไม่ค่อยให้เขาได้อยู่ในจวนใกล้ชิดนัก ยามเด็กเคยคิดว่าบิดาไม่รัก ผลักไสให้ใช้ชีวิตในเมืองหลวง ทว่าเมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนและฟังคำสอนของท่านแม่ จึงค่อยๆ เข้าใจว่าท่านพ่อต้องการให้เขาเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ที่สำคัญต้องเก่งกาจด้วยความสามารถของตนเอง มิใช่เพราะเป็นลูกชายท่านแม่ทัพ นอกจากร่ำเรียนกับเหล่าราชนิกุลแล้ว ยังต้องฝึกฝนวรยุทธ์หนักหน่วง เขาเข้าสอบเหมือนคนทั่วไปไม่มีการเล่นเส้นสายใดๆ ไต่เต้าจนได้มาใกล้ชิดบิดาในตำแหน่งรองแม่ทัพเช่นนี้

            เมื่อเดินไปหยุดที่หน้าบานประตูของหอตำรา เขาก็รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ภายใน ในใจก็นึกไปว่าท่านแม่ให้บ่าวไพร่มาทำความสะอาด เขาจึงผลักบานประตูเข้าไปโดยไม่คิดเป็นอย่างอื่น ทว่าเมื่อกวาดสายตามองกลับไม่เห็นผู้ใด  นอกจากหญิงสาวที่นั่งบนบันไดสำหรับปีนขึ้นไปหยิบตำราที่วางอยู่ชั้นบน ร่างเล็กจดจ่อกับหนังสือในมือราวกับตนเองเป็นตุ๊กตาปั้นประดับอยู่ในห้อง ไม่รับรู้ถึงการเข้ามาของเขา แสงจากหน้าต่างที่ลอดผ่านเข้ามากระทบเสี้ยวหน้านั้นให้ความรู้สึกละมุนตา เท้าของเขาก้าวเข้าไปใกล้ แต่กระนั้นร่างเล็กก็ยังไม่มีท่าทีที่จะสนใจเขา จนเมื่อเขาหยุดยืนเบื้องหน้าก้มมองว่านางอ่านอะไรถึงได้สนใจนักหนา เจ้าของร่างบางรู้สึกว่ามีเงาทาบทับที่หน้ากระดาษนางจึงรู้สึกตัว สายตาเลื่อนจากตัวอักษรในหนังสือพบรองเท้าคู่งามที่ตัดเย็บประณีต พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่ามีดวงตาคู่คมจ้องมองอยู่ก่อนแล้ว

            “อ๊ะ!”

            “เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้”

            จ้าวจิ่นสือเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพียงนางเงยหน้าขึ้นเขาก็จำได้ว่าเคยเจอหญิงสาวผู้นี้มาก่อน นางติดตามท่านหมอมู่มารักษาเคอหลิ่งหลิน ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นบุตรสาวของท่านหมอชื่อ...ชื่ออะไรนะ

            อารามตกใจ มู่ฟางเหนียงรีบลุกขึ้น แต่เพราะรีบร้อนจึงไม่ระวัง เท้าที่เหยียบขั้นบันไดนั้นพลาดจนนางหน้าคะมำไปด้านหน้า นางห่วงหนังสือในมือจึงกอดมันแน่น ดวงตากลมหลับปี๋ปะทะกับแผงอกกำยำดุจกำแพงหินเข้าเต็มแรง

            จ้าวจิ่นสือมองกิริยาอาการของหญิงสาวแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เจอผู้หญิงมารยาให้ท่ามาหลายต่อหลายครั้ง ทั้งแสร้งทำเป็นของตก เดินสะดุดหกล้ม จู่ๆ เป็นลมล้มพับ มารยาเหล่านี้ช่างน่าเบื่อนัก และเขาก็คิดว่าหญิงสาวคนนี้ก็ลงทุนเจ็บไม่น้อย เพราะเขาไม่ได้สะเทือนเลยสักนิด เห็นนางยังทรงตัวไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะอิงในอกของเขานานแค่ไหน จึงใช้สองมือจับไหล่สองข้างดันนางออกจากอกกว้างของเขา แล้วก็เห็นว่านางแนบหนังสือไว้กับอก หางตามีน้ำตาเม็ดเล็กใสเกาะอยู่

            “ขออภัยเจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงรีบพูดออกมา มือหนึ่งกอดหนังสือไว้ อีกมือยกขึ้นลูบปลายจมูกน้อยๆ ของตัวเอง นี่นางชนแผงอกหรือกำแพงหินเข้าไปล่ะเนี่ย กระดูกเคลื่อนหรือเปล่าหนอ ดั้งน้อยๆ ของนางยังอยู่ดีหรือไม่นะ

            “เจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้” เขาถามซ้ำเป็นรอบที่สอง แล้วปล่อยมือจากไหล่ของนาง สายตามองพิเคราะห์หญิงสาวเบื้องหน้า แม้จะสวมเสื้อผ้าแบบเรียบๆ หากแต่สีซีดจาง มีรอยปะชุนอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับน่าเกลียดนัก แต่...บ่าวไพร่ในจวนยังจะใส่เสื้อผ้าดีกว่านางด้วยซ้ำไป

            “ข้าน้อยมาดูอาการท่านหญิง แล้วฮูหยินอี้ซิ่วอนุญาตให้เข้ามายืมหนังสือในหอตำราไปอ่านได้เจ้าค่ะ”

            ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ท่านแม่ของเขาใจดีเสมอ หากถูกชะตาใครเข้าไปแล้วก็รักใคร่เอ็นดูเสียหนักหนาจนคนเป็นลูกแอบน้อยใจเป็นบางครั้ง

“ในนี้ไม่ค่อยมีนิยายรักประโลมโลกหรอกนะ”

            “เอ่อ...” นางอ้าปากค้าง เขาคิดว่านางอ่านหนังสือประเภทไหนกัน นี่นางอ่านตำรารักษาอาการบาดเจ็บของแพทย์ทหารอยู่หรอกนะ สายตาที่มองนางก็มีความดูแคลนอยู่ อย่าบอกนะว่า...เขาคิดว่านาง

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  136.  จบ

    องค์ชายไท่หยางมักมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าซีดเซียวเสมอ ซึ่งมองเพียงผิวเผินจะเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังใบหน้าและร่างกายอ่อนแอนี้กุมความลับที่ใช้ต่อรองกับเขาได้ดียิ่งนัก เขาเองก็ได้สัญญาการซื้อขายกับทางการหลายรายการเพราะการแนะนำของคุณชายเฉิน“แล้วนี่คุณชายเฉิน อ้อ! ไม่สิ! องค์ชายไท่หยางนึกสนุกอย่างไรถึงอยากได้หน้ากากอสูรที่ดูน่ากลัวเช่นนี้”“ก็คงไม่ต่างจากเจ้าที่เบื้องหน้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญเช่นกัน”“พระองค์กล่าวเช่นนี้ เห็นทีว่ากระหม่อมคงไม่มีทางหลีกเลี่ยงแล้วกระมัง” เหวินเฮ่าหลันกลับรู้สึกพอใจกับท่าทางเปิดเผยขององค์ชายไท่หยาง“ร่างกายของข้าไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงมีเรื่องที่ต้องทำให้เรียบร้อยก่อน... แต่การเคลื่อนไหวในฐานะขององค์ชายไท่หยางทำได้ลำบากนัก จึงอยากจะรบกวนเจ้าหาช่างดีๆ ทำหน้ากากอสูรนี่ให้ข้า”“พระองค์จะเอาไว้ใช้เอง?”เหวินเฮ่าหลันได้คำตอบเป็นรอยยิ้มที่มุมปาก หลังจากนั้นเขาหาช่างที่ไว้ใจได้สั่งทำหน้ากากอสูร แต่ไม่รู้สิ่งใดดลใจเขาให้ช่างทำสองอัน เมื่อส่งมอบหน้ากากอสูรนั่นให้องค์ชายไท่หยาง ไม่นานนักก็ได้ยินข่าวว่ามีบุรุษลึกลับภายใต้หน้ากากอสูรออกอาละวาดเล่น

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  135.  บุปผาพยศรัก

    ปีศาจน้อย! จ้าวจิ่นสือขบกรามแน่น นางเรียนรู้ที่จะหยอกล้อเขาเช่นเดียวกับที่เขาทำกับนาง เขาไม่อาจทานทนไฟปรารถนาที่เผาไหม้อยู่นี้ได้อีก ขยับร่างกายรวดเร็วรุนแรงและลึกล้ำ เป็นนางที่พาเขาให้เตลิดโบยบินไปในค่ำคืนวิวาห์ที่อุ่นร้อน ราวกับวิหคคู่ที่โบยบินในเวิ้งฟ้า หยอกล้อราวกับทั้งโลกมีเพียงแค่เขากับนางเท่านั้น ร่างสองร่างสอดประสานแทบเป็นหนึ่งเดียว ชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ในขณะที่หญิงสาวหวีดร้องออกมาอย่างสุขสม แล้วเขาจึงผ่อนร่างนางลงนอนกอดอย่างรักใคร่นางปิดเปลือกตาหอบใจแรงแล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตัวเองจนเกือบจะเป็นปกติจ้าวจิ่นสือมองหญิงคนในรักในวงแขน ยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมของนางให้พ้นใบหน้า หนึ่งชีวิตได้พานพบผู้คนมากมาย แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของเสียงในหัวใจ เขาก้มหน้าสูดกลิ่นหอมของนางให้กลิ่นกายของนางไหลเวียนในตัวเขา นางคือหญิงสาวของเขาแต่เพียงผู้เดียว“ฟางเหนียง ข้ารักเจ้า”ผ่านเรื่องราวมากมายฟันฝ่ามาด้วยกันจนมีวันนี้ แต่แท้จริงแล้วทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น นางคิดถึงกลองป๋องแป๋งอันนั้น นางจะเก็บรักษาเอาไว้ให้ลูกๆ ได้ดู ของขวัญล้ำค่าที่เชื่อมโยงหัวใจของคนสองคนให้ได้มาใกล้ชิดกั

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter  134.  บทส่งท้าย2. 

    “ท่าน...” นางถูกดวงตาร้อนแรงของเขาจ้องมองจนลืมคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น “อืม”เขาจ้องมองนาง ไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายที่ได้มองใบหน้านี้เลยสักคราเดียว คิดไม่ออกเลยว่าหากไม่มีนางเคียงข้างแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เห็นทีเรื่องนี้คงต้องเก็บเป็นความลับไว้ให้ลึกที่สุด ไม่เช่นนั้นนางจะเอาแต่ใจตัวเองเกินไป รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องจำนนยอมแพ้พ่ายต่อสายตาคู่นี้ของนาง “ข้า... ข้าต้องปรนนิบัติท่าน... พี่” คืนนี้นางเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องแล้ว ควรทำหน้าที่ของตนเองถึงจะถูก แต่มือเล็กก็สั่นเทา ยื่นไปหมายจะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่อาการเงอะงะของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมา ทำให้นางฉุนกึกขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึงตาใส่อย่างดุดัน “ใช่สิ! ข้าทำไม่เก่งนี้ เรื่องแบบนี้ข้าคุ้นเคยเสียเมื่อไหร่ล่ะ” นางหงุดหงิดโมโห อารมณ์นางช่วงนี้ขึ้นๆ ลงๆ แปรปรวนชอบกล “ไม่เป็นไร น้องหญิงอยากทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถิด” เขากลั้นหัวเราะแต่กลายเป็นยิ้มกรุ้มกริ่มแทน ปล่อยให้มือเล็กช่วยถอดเสื้อตัวนอก พอนางลุกขึ้นจะเอาเสื้อของเขาไปแขวน ตัวเองก็เสียหลักเพราะนั่งตัวเกร็งอยู่ตั้งนา

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter   133.  บทส่งท้าย 1.

    หญิงสาวนั่งก้มหน้า มองปลายเท้าที่สวมรองเท้าสีแดงสดสวยปักรูปหงส์อย่างงดงามประณีต เสียงครื้นเครงด้านนอกไม่ได้ช่วยให้นางลดอาการตื่นเต้นลงได้เลย ยามมองผ่านผ้าคลุมหน้าสีแดงสดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องหอราวกับถูกย้อมด้วยสีแดง นางจึงหลุบตาลงก้มมองปลายเท้าของตนแทน เพียงหนึ่งเดือนหลังเสร็จภารกิจลับของจ้าวจิ่นสือ ด้วยความช่วยเหลือขององค์ชายไท่หยาง ทำให้ทั้งสองได้รับราชโองการพระราชทานสมรส แม้มู่ฟางเหนียงจะเป็นเพียงหญิงสาวสามัญชน แต่ด้วยความรักใคร่ที่รองแม่ทัพจ้าวจิ่นสือมีให้นางนั้นเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่ว นางทั้งเขินทั้งอาย แต่ก็ดีใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วรักและเอ็นดูนางราวกับเป็นลูกสาวแท้ๆ ท่านพ่อของนางก็พลอยวางใจว่านางจะอยู่ที่จวนแม่ทัพจ้าวได้อย่างไม่ทุกข์ร้อนใจอันใด “เจ้าไม่ใช่เด็กแล้ว ต่อไปนี้ทำอะไรก็เชื่อฟังพ่อแม่สามีของเจ้าให้ดี” “ท่านพ่อ” นางกลั้นน้ำตา คราวนี้ได้แยกกันอยู่แล้วจริงๆ ท่านพ่อของนางมีใจรักใคร่น้าเสี่ยวหลิว เสร็จงานแต่งงานของนางแล้วก็จะกลับไปเมืองหลวง ช่วยน้าเสี่ยวหลิวดูแลโรงเตี๊ยมหมื่นบุปผาและรักษาคนเจ็บป่วยเช่นเคย ส่วนนางเองก็ได้รั

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 132. ไม่อยากเชื่อ

    “ท่าน... ระ.. รักข้า..” นางแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเขาหัวเราะเบาๆ อาศัยจังหวะที่นางไม่เป็นตัวของตัวเองลอกคราบเสื้อผ้าออกเหลือเพียงเอี๊ยมปิดบังทรวงอกที่สะท้อนหอบหายใจแรงกับกางเกงชั้นในตัวน้อย มือกร้านลูบไล้เรียวขาของนาง ไอร้อนจากกายของเขาทำให้นางแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเกือบจะเปลือยเปล่าอยู่แล้ว“ข้า... เข้าใจว่า... ท่าน ระ รัก พี่หลิ่งหลิน” นางรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีพูดออกไปเขาผงกศีรษะรับแล้วกลับยิ้มให้นาง “ก่อนนั้นข้าคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเจอเจ้า ข้าก็รู้ว่าความรักที่แท้จริงเป็นเช่นไร”หัวใจของนางแทบหยุดเต้นไป แต่กระนั้นก็ยังหวาดหวั่นอยู่ “แต่ท่านเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ ท่านจะรับข้าไว้ในฐานะใดเล่า”“ข้าย่อมให้เจ้าเป็นภรรยา” มือใหญ่เลื่อนขึ้นจากต้นขาด้านในสู่กลีบบุปผาอ่อนบาง “ข้าจ้าวจิ่นสือจะมีภรรยาเพียงผู้เดียวก็คือเจ้า”“ท่านจะไม่มีหญิงอื่นอีกหรือ?” นางกะพริบตามองหน้าเขา ค้นหาความจริงใจในทุกถ้อยคำ “ข้าไม่ได้หวังตำแหน่งใด ข้าเพียงไม่อาจแบ่งสามีกับผู้อื่นได้”“เจ้าทำให้ข้ารักเจ้าจนไม่มีที่ว่างให้ผู้อื่นแล้ว” แตะกลีบดอกไม้เบาๆ แล้วกระซิบเสียงพร่า แท่งศิลาใต้ตักของนางเริ่มร้อนระอุ“อย

  • บุปผาต้องมนตร์   Chapter 131. อย่ามายุ่งกับข้า 

    “นึกแล้วเชียว” นางพึมพำ ไม่รอถามอะไรเขาทั้งนั้น ขยับเสื้อของเขาออกกว้างเพื่อจะได้จัดการล้างแผลและใส่ยาให้ใหม่ ขณะนั้นเอง เสียงเรียกชื่อนางอย่างเกรงใจก่อนที่จะเปิดประตูเข้ามา เสี่ยวเอ้อที่รอพานางไปส่งที่พักก็ต้องตกใจเพราะเห็นมู่ฟางเหนียงกำลังเปลื้องผ้าชายหนุ่มอยู่ แต่เขามองไม่เห็นบาดแผลจึงคิดไปเองว่าทั้งสองกำลัง...“ข้าจะรอข้างนอก แม่นางมู่เสร็จธุระแล้วโปรดเรียก”นางเพียงหันไปพยักหน้ารับ เพราะใจจดจ่อกับบาดแผล พอเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาของเขาก้มมองนางอยู่ก่อนแล้วผู้หญิงคนนี้ วุ่นวายกับเขานัก! จ้าวจิ่นสือได้แต่บ่นในใจ แต่ก็ยอมให้นางแกะผ้าพันแผลและทำความสะอาดที่บริเวณชายโครงซ้ายของเขา“โรคทางใจรักษายากนัก” นางรำพึง“อย่ามาทำเป็นรู้ดี” เขาแค่นเสียงในลำคอ รินสุราใส่จอกให้ตนเอง แต่นางกลับยื่นมือไปคว้าแย่งไว้“ระหว่างที่รักษาแผลนี้อยู่ งดดื่มสุราทุกชนิด” นางถลึงตาสั่งเขา “ข้ารักษาให้ท่านได้เพียงบาดแผลภายนอก แต่ในใจที่เจ็บปวดของท่านนั้น ท่านคงต้องใช้เวลาเยียวยารักษาเอง”“ข้าจะดื่ม” เขาท้าทายนาง“ถือว่าข้าเตือนแล้ว ท่านอยากให้แผลเน่าอยู่ภายในก็ตามใจท่านเถิด” นางปิดบาดแผลให้เขาเรียบร้อย “ท่าน

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status