ขณะแต่งตัว เสียงผู้หนึ่งพลันดังเข้ามาถึงในห้อง
“คุณหนูใหญ่ วันนี้คุณชายใหญ่กลับจากสำนักศึกษา นายท่านกับฮูหยินจึงให้บ่าวมาเรียกท่านไปรับมื้ออาหาร เพื่อต้อนรับคุณชายใหญ่พร้อมหน้ากันที่โถงรับรองเจ้าค่ะ”
หลิ่งหลินเลิกคิ้วสูง กลอกตาไปมาครุ่นคิดครู่หนึ่ง พี่ชายของสวีหลิงเยี่ยนไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาหลวงแบบค้างคืนกินนอนที่นั่น แต่ชอบกลับจวนมาโอ้อวดบ่อย ๆ ทุกครั้งเจ้าของร่างก็ต้องไปนั่งฟังอย่างต่ำต้อยด้อยค่า ถูกเปรียบเทียบต่างๆ นานา
เฮ้อ มาอาศัยอยู่ในร่างเขาเรือนเขาก็ต้องทำตัวให้เป็นปกตินั่นแล
หญิงสาวหมุนตัวเดินออกไปเปิดประตูตอบสั้นๆ ว่า “ได้...” กำลังหิวข้าวพอดี
ขณะก้าวเท้าเนิบนาบไปตามทางเดินของลานเรือนที่ปูด้วยแผ่นศิลาชิงสือผ่านประตูฉุยฮวา หลิ่งหลินถือโอกาสสำรวจบริเวณโดยรอบเรื่อยเปื่อย
จวนสกุลสวีแห่งนี้เล็กเกินไปในความรู้สึกของนาง เพราะมันต่างจากสำนักไพรีพิฆาตที่กินพื้นที่ทั้งหุบเขาปีศาจ แม้เจ้าของจวนสวีจะเป็นถึงขุนนางแห่งราชสำนักต้าอันที่รุ่งเรือง แต่กลับมิได้ยิ่งใหญ่เทียบฐานะในอดีตของนาง เพราะที่นั่น นางคือจักรพรรดินีอย่างไรล่ะ
เวลาเดียวกัน สาวใช้หันมามองอย่างฉงนในแววตา เหตุใดคุณหนูใหญ่งดงามผิดตายิ่งนัก เดิมทีงานเลี้ยงวันนี้มีสหายของคุณชายใหญ่มาเยือนด้วย ฮูหยินจึงกำชับนางให้บอกกล่าวคุณหนูใหญ่เรื่องแต่งกายทาชาดดีๆ อย่าปล่อยให้ใบหน้าจืดชืดไม่น่ามองอีก แต่เห็นทีคงไม่ต้องเอ่ยปากแล้ว
ไม่นานก็ถึงห้องรับรอง ด้านในตรงโต๊ะอาหารนั้น มีบุรุษสามคนกับสตรีสองคนนั่งอยู่
หลิ่งหลินกวาดตามองเรียกความทรงจำอย่างรวดเร็ว
บุรุษคนแรกที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเป็นชายวัยกลางคน นามว่าสวีจงสือ บิดาของร่างนี้ บุรุษคนที่สองคือสวีหย่งกัง น้องชายต่างมารดาของสวีหลิงเยี่ยน
ส่วนบุรุษอีกคน หลิ่งหลินคิดว่าร่างเก่าไม่เคยรู้จักแน่
ฝ่ายสตรีคือฮูหยินใหญ่เหยาซื่อ มารดาของร่างนี้ อีกคนคือฮูหยินรอง นามว่ากัวเหมย
สวีจงสือเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปี บุคลิกดุดันเคร่งครัดตามแบบฉบับพวกบุรุษบ้าอำนาจ เหยาซื่ออายุราวสามสิบปลายๆ กิริยาราบเรียบสงบเสงี่ยมเหนียมอาย ในขณะที่กัวเหมยยังเป็นหญิงสาววัยสะพรั่ง แต่งหน้าจัดจ้าน กลิ่นเครื่องหอมฉุนจมูก แต่งตัวสีสันสดใส เครื่องประดับบนศีรษะรุงรังเสียบหลายอันแลดูไม่เข้าใจ คล้ายต้องการอวดรวยมากกว่ามีรสนิยมที่ดี นางรินน้ำชาให้สวีจงสือด้วยท่าทางประจับประแจงเอาใจตลอดเวลา
ส่วนสวีหย่งกังอายุเท่าสวีหลิงเยี่ยน เป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาขาวจัดนับว่ารูปงามใช้ได้ แต่ท่าทางแลดูสำอางและเสเพล บนใบหน้าขาวสะอาดนั้นมีดวงตาที่ดำคล้ำเล็กๆ เหมือนพวกมัวเมาในสุรานารี ชอบร่ำสำราญเคี่ยวกรำวสันต์ ในขณะที่สหายของเขาผิวคล้ำคล้ายคนกรำศึกจนดำแดด
หลิ่งหลินกวาดตามองสำรวจทุกคนอย่างรวดเร็ว ขณะเดินเข้ามาคำนับ ทักทายตามวิสัยของร่างเก่า
“คารวะทุกท่านเจ้าค่ะ”
นางทำตัวได้แนบเนียนหรือไม่เล่า? หญิงสาวยิ้มในใจ ทว่ากลับไม่มีใครสนใจสวีหลิงเยี่ยนผู้นี้เลยสักคน ยังคงพูดคุยกันไปมาระหว่างสวีจงสือ สวีหย่งกังกับสหายของเขาและกัวเหมย โดยที่เหยาซื่อเพียงนั่งก้มหน้ารับฟังเฉยๆ เสมือนส่วนเกินในครอบครัวทั้งที่ตัวเป็นถึงภรรยาเอก และทุกคนก็มองเลยสวีหลิงเยี่ยนคล้ายนางไม่มีตัวตน
“ทำไมไม่ตายเสียล่ะ โผล่มาทำไม? ไสหัวไปซะ”หลิ่งหลินถอนหายใจเบื่อ นางหยุดเดินถามเสียงนิ่ง “ครั้งที่แล้วสวีหลิงเยี่ยนขอโทษไปแล้วยังจะเอาอย่างไรอีก”อวี้ซูเชิดหน้าถาม “แค่ขอโทษไม่พอกระมัง?”ฟู่ชิงเสริม “เจ้าต้องหายตัวไปซะจึงจะดี”กู้ซินว่าต่อ “รีบไสหัวกลับไปเลยนะ”คนถูกไล่ทำหูทวนลม นางตั้งใจมาศึกษาร่ำเรียน ไม่ได้มาทะเลาะเบาะแว้งกับใคร เป็นอย่างไรเล่า หลิ่งหลินในร่างใหม่ผู้นี้นิสัยดีมาก เปี่ยมเมตตายิ่ง รู้หรือไม่?แน่นอนว่าคุณหนูทั้งสามมิได้รับรู้ถึงความเมตตานั้น พวกนางคิดเพียงว่าสวีหลิงเยี่ยนเพียงทำตัวสงบเสงี่ยมโง่เง่าน่ารำคาญเหมือนที่ผ่านมาจึงตามตอแยไม่เลิกราอวี้ซูเหยียดปากว่า “วันนี้ทำเป็นแต่งตัวสะสวย ทาแป้งแต้มชาดใส่ชุดสีแดง จงใจเลียนแบบท่านพี่ฟู่ชิงสินะ”คุณหนูทั้งสาม ขึ้นชื่อเรื่องแต่งกายสีสันสดใสบาดตา โดดเด่นแต่ไกล คนหนึ่งชอบใส่สีเหลืองสด อีกคนสีเขียว ส่วนฟู่ชิงเป็นญาติผู้พี่ที่ชอบแต่งเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดที่สุด โดยเฉพาะสีแดง ใส่มาแทบทุกวัน ดังนั้น การที่เห็นสวีหลิงเยี่ยนแต่งกายเหมือนกันคล้ายจงใจจริงๆ เช่นนั้นจึงหมั่นไส้ยิ่งกว่าเดิม“ช่างบังอาจนักนะ” ฟู่ชิงตวาดอย่างหงุดหงิดแต่หล
“เอาล่ะ! ข้าต้องไปแล้ว ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”ในศาลา เหยาซื่อยังคงนั่งมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของบุตรสาวอย่างเงียบงัน ดรุณีน้อยผู้นั้นเดินจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงพลังอำนาจบางอย่างจากวาจาอันแสนธรรมดา ใช่แล้ว สิ่งที่สวีหลิงเยี่ยนพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด และเป็นสิ่งที่นางเองก็ขบคิดมานานแล้วแต่ไม่ลงมือเสียที อาจเพราะไม่มีความกล้ามากพอ แต่นับจากวันนี้...‘ต่อไปข้าจะช่วยท่านแม่เอง...’ประโยคยาวเหยียดทั้งหมดของบุตรสาว มีเพียงวาจาสั้นๆ เพียงแค่นี้เท่านั้น ที่สามารถปลุกความกล้าในใจทว่าจู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งพลันเอ่อล้นขึ้นมาตรงขอบตา เหยาซื่อรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในอกลึกๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุสายลมพัดโชยเบาๆพากลีบดอกไม้เล็กๆที่หลุดจากขั้วม้วนตัวหมุนวนอยู่ด้านนอกศาลา พาความเย็นจัดชนิดหนึ่งผ่านวูบเข้าสู่ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ด้านในศาลาดวงตาเหยาซื่อสั่นไหวเล็กน้อย แม้รู้สึกดีที่บุตรสาวเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทว่า...นางกลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้ว ตลอดกาล...สำนักศึกษาชิ่นหลันหลิ่งหลินเดินเข้าประตูสำนักศึกษามาอย่างคุ้นเคยตามความทรงจำจากร่างเก่า พอเข้ามาถึงสวนหย่อมต้องเลี้ยวขวาผ
หลิ่งหลินรินชาให้ตัวเองขณะเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่เยี่ยนเอ๋อร์ของท่าน ที่วันๆ เอาแต่หดหัวตัวสั่น ยอมถูกอนุกับน้องชายต่างมารดาดูแคลนสารพัดไม่เว้นวัน บิดาไม่ใส่ใจก็แล้วไปเถิด ทว่าแม้แต่แม่ตัวเอง” แววตานางช้อนขึ้นเผยรอยเหยียดขณะมองเหยาซื่อ “ไม่ปกป้องลูกตนนั่นว่าแย่แล้ว ยังขับไล่ไสส่งเหมือนหมูสกปรกตัวหนึ่ง”ทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่สวีหลิงเยี่ยนอ่อนแอจนถึงที่สุด ถูกชายคนรักกับสหายหักหลัง สหายร่วมเรียนชิงชังทั้งชั้น กลับบ้านยังเจอมารดาไล่ตะเพิดอีกหลิ่งหลินยกนิ้วเรียวขาวของร่างนี้ขึ้นลูบข้างแก้มตรงตำแหน่งที่มีแผลเป็นอ่อนจาง “รอยนี่เกิดจากถ้วยชาวันนั้น ท่านจำได้หรือไม่?”เหยาซื่อชะงัก ค่อยจำได้ว่าวันนั้นนางเขวี้ยงถ้วยชาใส่หน้าบุตรสาว หญิงวัยกลางคนให้รู้สึกผิดขึ้นมา“เยี่ยนเอ๋อร์ แม่...” คำขอโทษติดอยู่ที่ริมฝีปาก มิอาจกล่าวออกมา ด้วยไม่รู้ว่าต้องเอ่ยเช่นไร อาจเป็นเพราะเรื่องที่ทำมิใช่ครั้งแรกและครั้งเดียว ทุกครั้งที่ถูกสามีกับอนุผู้นั้นทำให้เจ็บช้ำน้ำใจจนโมโห นางมักระบายโทสะกับบุตรสาวตลอดนางอ่อนแอเกินไปหากเข้มแข็งกว่านี้จะดีสักเพียงใด เหยาซื่อกำมือที่สั่นเทา แววตาเศร้า
หลิ่งหลินหาวิธีกลับเข้าร่างเก่าไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปยังหุบเขาปีศาจอย่างไร มันตั้งอยู่ตรงไหน รู้เพียงมันเป็นเส้นทางลึกลับใจกลางหุบเขาวงกต ภายใต้เทือกเขาสูงชันสลับกับหน้าผาหินแกร่งที่ตั้งตระหง่านซับซ้อนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา รอบทิศมีแต่สีเขียวอึมครึม แล้วอย่างไรอีกเล่า? ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา นางมักปวดหัว นึกไม่ออก เหมือนน้ำในสระ พอแตะต้องความจำบางส่วนก็กระเพื่อมจนพร่าเบลอ คลับคล้ายสายตาที่เห็นดอกไม้ที่สวยสดงดงามแต่พอมันไหวเอนใต้น้ำกลับมองลวดลายของมันไม่ชัดเจนอาจเป็นเพราะความทรงจำสองร่างมารวมกันทำให้ความทรงจำบางส่วนโดนบดบังหรือสวรรคกลั่นแกล้งไม่ให้ข้าจำได้ ไม่ให้กลับสู่บ้าน ไม่ให้นางกลับไปบงการสมุนมารก่อกรรมทำเข็ญอันใดอีกโอ้! สวรรค์! ท่านควรรู้ไว้ คนที่นางไล่ล่าเข่นฆ่านั้น พวกมันสมควรตายปานใด แต่จะว่าไป นางก็ฆ่าคนเยอะจริงเฮ้อ!เพราะเป็นเช่นนี้ หลายสิ่งยิ่งมิอาจทำตามอำเภอใจเมื่ออาศัยในร่างผู้อื่นนั่นแล ยามนี้หลิ่งหลินจึงมีความคิดว่าใช้ชีวิตให้แนบเนียนเป็นปกติที่สุดไปก่อนทว่าคิดแล้วก็ให้รู้สึกไม่ยินยอม อาจเพราะเจ้าของร่างนี้ต้อยต่ำเกินไป ไร้อำนาจปราศจากบา
ยังไม่นับรวมการล้ำเส้นบังอาจอบรมบุตรีภรรยาเอก ผู้อื่นมีแต่ให้ภรรยาเอกช่วยสั่งสอนบุตรอนุ สามตำหนิไปถึงสวีจงสือ เรื่องตำแหน่งที่นั่ง เพราะยามนี้กัวเหมยนั่งใกล้นายท่านใหญ่สวี ในขณะที่ภรรยาเอกนั่งไกลปานนั้น อันที่จริงอนุภรรยามิอาจนั่งร่วมโต๊ะกับเหล่านายท่านนายหญิงด้วยซ้ำมิใช่หรือไร?นี่มันครอบครัวแบบใด?นั่นมิใช่เพียงความคิดของหลิ่งหลินแต่ยังส่งตรงไปถึงอู่ถังเชี่ยวผู้เป็นแขกในวันนี้ด้วยชายหนุ่มถึงขั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว เขาอยากขอปลีกตัวกลับก่อน แต่หาจังหวะเอ่ยแทรกไม่ได้ จึงเพียงมองคนนั้นทีคนนี้ทีและส่งเสียง “เอ่อ ข้า” ได้แค่นั้นกัวเหมยกับสวีหย่งกังแม่ลูกถึงกับบื้อใบ้ไปชั่วขณะด้วยไม่คิดว่าสวีหลิงเยี่ยนที่สงบปากเจียมตนมาแต่ไหนแต่ไรจะกล้าพูดจาสามหาวปานนี้ อันที่จริงพวกเขาไม่รู้แล้วว่านิสัยแท้จริงของนางเป็นเช่นไรในส่วนนี้สวีจงสือเองก็รู้สึกเช่นกัน เขาไม่เคยมองบุตรสาวคนนี้เต็มตา ทว่าเห็นทีวันนี้คงต้องมองนางใหม่ อีกทั้งยังต้องเข้มงวดให้มากขึ้นเสียแล้ว เขาแค่นเสียงเครียด “เจ้าลูกคนนี้ กล้าล่วงเกินผู้อาวุโส ช่างบังอาจนัก”แน่นอนว่าแม้แต่ฮูหยินยังมิอาจทำอันใดกัวเหมยได้ เพราะ
“จ่ะ เจ้า...” แต่สวีหย่งกังถึงขั้นพูดไม่ออกเถียงมิได้ เพราะเขาเป็นสหายร่วมเรียนก็จริง แต่ตอนศึกษาในชั้น ไม่เคยได้เข้าใกล้ท่านอ๋องเลย พระองค์ไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ อาจเพราะมีสหายร่วมเรียนมากมายหลายคนจนเกินไปเห็นบุตรชายอึกอัก กัวเหมยจึงเอ่ยกับสวีหลิงเยี่ยน “ตายจริง ข้าไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่จะปากคอเราะรายเช่นนี้ เห็นทีฮูหยินใหญ่คงไม่ว่างอบรม มิสู้ให้ข้าช่วยสั่งสอนแทน ดีหรือไม่เจ้าคะ?”แน่นอนว่ามิใช่ความหวังดีปรารถนากล่อมเกลาผู้ใด เพียงต้องการหักหน้าเหยาซื่อที่มิอาจดูแลบุตรสาวตัวเองได้ เช่นนี้ยังเหมาะจะครองตำแหน่งภรรยาเอกหรือไร ไยมิใช่สมควรปลดออกไปแล้วให้นางขึ้นแทนเสียทีหึ! เหยาซื่อมีสกุลบ้านเดิมที่ดีกว่านางแล้วอย่างไร เห็นได้ชัดว่าโง่ทั้งแม่ทั้งลูก ไม่คู่ควรให้สนทนาด้วยซ้ำ คิดพลางหันไปทางสามี บุรุษที่นางใช้เสน่ห์มารยาช่วงชิงอย่างไม่เปลืองแรงผู้นี้ล้วนเชื่อคำนาง “ท่านพี่ดูเถิด หลิงเยี่ยนคงอิจฉาที่หย่งกังได้เรียนที่สำนักศึกษาหลวง มิแน่ว่าอยากเข้าไปเรียนด้วย แต่นางคงลืมไปว่าการเป็นสหายร่วมเรียนกับราชนิกุลไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็ทำได้ต้องฝึกฝนร่ำเรียนจนชำนาญแตกฉานและต