หลิ่งหลินเสียเวลาไม่ปลุกใครให้ตื่นขึ้นมาแล้วพร่ำบ่นเพื่อสั่งสอน นางจับกระชากหนังหัวผ่านเส้นผมของสาวใช้แล้วลากออกมาหน้าประตูห้อง
สาวใช้ตกใจจนลืมตาตื่น นางกรีดร้องอย่างงุนงง “กรี๊ด! คุณหนู! เกิดอันใดขึ้น เหตุใด?”
หลิ่งหลินไม่ตอบคำ นางถีบประตูห้องดังปัง เรียกบ่าวกวาดลานเสียงดัง “ใครอยู่ตรงนั้น ไปเรียกพ่อบ้านมา”
บ่าวคนนั้นย่อมทิ้งไม้กวาด วิ่งออกไปทำตามคำสั่ง
“คุณหนู ท่านกำลังทำสิ่งใดเจ้าคะ?” สาวใช้สับสน นางกุมศีรษะตนที่เจ็บแสบเพราะถูกดึงผมจนร่วงเป็นกระจุก
“โอ๊ย! บ่าวเจ็บ ปล่อยนะ คุณหนูบ้าไปแล้วหรือไร?”
สาวใช้ผู้หนึ่งไม่ทำหน้าที่ให้ดียังบังอาจด่าทอเจ้านาย หลิ่งหลินยิ้มเย็น “ข้าบ้าแน่” จบคำพลันเหวี่ยงร่างสาวใช้ออกไปนอกห้อง ร่างนั้นกระแทกพื้นดินดังปึก จุกจนตัวงอ
ไม่นาน พ่อบ้านก็มาพบตามหน้าที่ “คุณหนูใหญ่ เรียกข้ามามีเรื่องอันใดหรือขอรับ?”
หลิ่งหลินหันไปสั่ง “ขายสาวใช้คนนี้ออกไปซะ”
“หา!?”
สาวใช้เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
พ่อบ้านนิ่งอึ้งไป ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ คุณหนูจะลุกขึ้นมาทำอะไรเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาทำได้เพียงสงสัย รีบสั่งคนให้ลากตัวสาวใช้ออกไป ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะดิ้นพล่านอย่างไร
“ไม่นะ ข้าไม่ไป”
สาวใช้ปฏิเสธอย่างบ้าคลั่ง งานที่นี่ดีจะตาย มีเจ้านายบื้อๆ โง่ๆ บอกให้ทำอะไรก็เชื่อ แทบไม่ต้องทำงานรับใช้ ไม่ต้องคอยเชื่อฟังคำสั่ง
“คุณหนู! ท่านไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่? จู่ๆ ก็สั่งขาย ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ท่านจะขายข้าไม่ได้ ข้าไม่ยอม!”
ยัง ยังไม่รู้ตัว
หลิ่งหลินหรี่ตา แววตาเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็น “ไม่อยากออกไปดีๆ ใช่หรือไม่?” ว่าพลางเดินย่างสามขุม กระชากหนังหัวสาวใช้ให้เงยหน้าสบตา วาจาเลือดเย็น “คงอยากตายอยู่ที่นี่กระมัง? ได้หลับสบายยาวๆเลยเป็นไร”
อีกคราที่ดวงตาสาวใช้เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม
มีบางสิ่งบอกแก่นางว่าคุณหนูใหญ่สวีผู้โง่เขลาอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงตรงหน้าสามารถฆ่านางให้ตายได้จริงๆ สายตาน่าขนลุกนั่นคืออันใด
ใบหน้าสาวใช้ถูกสะบัดออกจากเรียวนิ้วพร้อมคำสั่ง “ลากตัวออกไป! อย่าให้ข้าเห็นหน้าอีก”
สาวใช้คนนั้นจำยอมถูกขาย มิกล้าอ้าปากโวยวายอีก
หลังจากกลับเข้าห้องและได้อยู่เพียงลำพัง หลิ่งหลินจึงอาบน้ำชำระกาย เลือกชุดใหม่บนชั้นไม้ในตู้มาสวมใส่ ทว่าเลือกอยู่นานกลับเลือกไม่ได้สักที ทั้งตู้มีแต่สีขาว บางตัวเป็นสีฟ้าอ่อน เหลืองอ่อน สดใสหน่อยก็เป็นสีชมพูอ่อนจาง
ไฉนไม่มีสีดำ สีม่วง สีแดงที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและพลังอำนาจบ้างเล่า ช่างเถอะ! นางหยิบชุดสีชมพูมาใส่ แต่ใจจริงอยากได้ชุดสีแดงโลหิตมากกว่า
ครั้นหันมองคันฉ่องเห็นใบหน้าตัวเองก็ถอนหายใจ
เฮ้อ...เดิมทีนางไม่ชอบแต่งหน้าทาชาดหรอกนะ แต่สวีหลิงเยี่ยนผู้นี้หน้าซีดจืดชืดแลดูไร้บารมีมากเกินไป เหมือนศพเดินได้กระนั้น
หลิ่งหลินจึงนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง สำรวจครู่หนึ่ง ค่อยประทินโฉมเล็กน้อย
เอาล่ะ เสร็จแล้ว
หญิงสาวลุกขึ้นยืน เท้าสะเอว เชิดหน้าซ้ายทีขวาที หน้าขาวปากแดงเหมือนกินเลือดใครมา
ต้องแบบนี้สิ! หึหึ...
[1]สัญลักษณ์หยิน-หยางแทนความสมดุลของพลังในจักรวาล เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติของอำนาจหยินและหยาง ไม่มีวันที่จะเหมือนกันได้ แต่เมื่อ ทั้งสองรวมกันแล้วก็จะเกิดความสมดุล ความพอดี
“เอาล่ะ! ข้าต้องไปแล้ว ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”ในศาลา เหยาซื่อยังคงนั่งมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ของบุตรสาวอย่างเงียบงัน ดรุณีน้อยผู้นั้นเดินจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงพลังอำนาจบางอย่างจากวาจาอันแสนธรรมดา ใช่แล้ว สิ่งที่สวีหลิงเยี่ยนพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด และเป็นสิ่งที่นางเองก็ขบคิดมานานแล้วแต่ไม่ลงมือเสียที อาจเพราะไม่มีความกล้ามากพอ แต่นับจากวันนี้...‘ต่อไปข้าจะช่วยท่านแม่เอง...’ประโยคยาวเหยียดทั้งหมดของบุตรสาว มีเพียงวาจาสั้นๆ เพียงแค่นี้เท่านั้น ที่สามารถปลุกความกล้าในใจทว่าจู่ๆ น้ำตาหยดหนึ่งพลันเอ่อล้นขึ้นมาตรงขอบตา เหยาซื่อรู้สึกโศกเศร้าอยู่ในอกลึกๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุสายลมพัดโชยเบาๆพากลีบดอกไม้เล็กๆที่หลุดจากขั้วม้วนตัวหมุนวนอยู่ด้านนอกศาลา พาความเย็นจัดชนิดหนึ่งผ่านวูบเข้าสู่ใบหน้าของผู้ที่นั่งอยู่ด้านในศาลาดวงตาเหยาซื่อสั่นไหวเล็กน้อย แม้รู้สึกดีที่บุตรสาวเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทว่า...นางกลับรู้สึกเหมือนตัวเองได้สูญเสียสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้ว ตลอดกาล...สำนักศึกษาชิ่นหลันหลิ่งหลินเดินเข้าประตูสำนักศึกษามาอย่างคุ้นเคยตามความทรงจำจากร่างเก่า พอเข้ามาถึงสวนหย่อมต้องเลี้ยวขวาผ
หลิ่งหลินรินชาให้ตัวเองขณะเอ่ย “ใช่แล้ว ข้าไม่ใช่คนเดิม ไม่ใช่เยี่ยนเอ๋อร์ของท่าน ที่วันๆ เอาแต่หดหัวตัวสั่น ยอมถูกอนุกับน้องชายต่างมารดาดูแคลนสารพัดไม่เว้นวัน บิดาไม่ใส่ใจก็แล้วไปเถิด ทว่าแม้แต่แม่ตัวเอง” แววตานางช้อนขึ้นเผยรอยเหยียดขณะมองเหยาซื่อ “ไม่ปกป้องลูกตนนั่นว่าแย่แล้ว ยังขับไล่ไสส่งเหมือนหมูสกปรกตัวหนึ่ง”ทั้งที่วันนั้นเป็นวันที่สวีหลิงเยี่ยนอ่อนแอจนถึงที่สุด ถูกชายคนรักกับสหายหักหลัง สหายร่วมเรียนชิงชังทั้งชั้น กลับบ้านยังเจอมารดาไล่ตะเพิดอีกหลิ่งหลินยกนิ้วเรียวขาวของร่างนี้ขึ้นลูบข้างแก้มตรงตำแหน่งที่มีแผลเป็นอ่อนจาง “รอยนี่เกิดจากถ้วยชาวันนั้น ท่านจำได้หรือไม่?”เหยาซื่อชะงัก ค่อยจำได้ว่าวันนั้นนางเขวี้ยงถ้วยชาใส่หน้าบุตรสาว หญิงวัยกลางคนให้รู้สึกผิดขึ้นมา“เยี่ยนเอ๋อร์ แม่...” คำขอโทษติดอยู่ที่ริมฝีปาก มิอาจกล่าวออกมา ด้วยไม่รู้ว่าต้องเอ่ยเช่นไร อาจเป็นเพราะเรื่องที่ทำมิใช่ครั้งแรกและครั้งเดียว ทุกครั้งที่ถูกสามีกับอนุผู้นั้นทำให้เจ็บช้ำน้ำใจจนโมโห นางมักระบายโทสะกับบุตรสาวตลอดนางอ่อนแอเกินไปหากเข้มแข็งกว่านี้จะดีสักเพียงใด เหยาซื่อกำมือที่สั่นเทา แววตาเศร้า
หลิ่งหลินหาวิธีกลับเข้าร่างเก่าไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปยังหุบเขาปีศาจอย่างไร มันตั้งอยู่ตรงไหน รู้เพียงมันเป็นเส้นทางลึกลับใจกลางหุบเขาวงกต ภายใต้เทือกเขาสูงชันสลับกับหน้าผาหินแกร่งที่ตั้งตระหง่านซับซ้อนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา รอบทิศมีแต่สีเขียวอึมครึม แล้วอย่างไรอีกเล่า? ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา นางมักปวดหัว นึกไม่ออก เหมือนน้ำในสระ พอแตะต้องความจำบางส่วนก็กระเพื่อมจนพร่าเบลอ คลับคล้ายสายตาที่เห็นดอกไม้ที่สวยสดงดงามแต่พอมันไหวเอนใต้น้ำกลับมองลวดลายของมันไม่ชัดเจนอาจเป็นเพราะความทรงจำสองร่างมารวมกันทำให้ความทรงจำบางส่วนโดนบดบังหรือสวรรคกลั่นแกล้งไม่ให้ข้าจำได้ ไม่ให้กลับสู่บ้าน ไม่ให้นางกลับไปบงการสมุนมารก่อกรรมทำเข็ญอันใดอีกโอ้! สวรรค์! ท่านควรรู้ไว้ คนที่นางไล่ล่าเข่นฆ่านั้น พวกมันสมควรตายปานใด แต่จะว่าไป นางก็ฆ่าคนเยอะจริงเฮ้อ!เพราะเป็นเช่นนี้ หลายสิ่งยิ่งมิอาจทำตามอำเภอใจเมื่ออาศัยในร่างผู้อื่นนั่นแล ยามนี้หลิ่งหลินจึงมีความคิดว่าใช้ชีวิตให้แนบเนียนเป็นปกติที่สุดไปก่อนทว่าคิดแล้วก็ให้รู้สึกไม่ยินยอม อาจเพราะเจ้าของร่างนี้ต้อยต่ำเกินไป ไร้อำนาจปราศจากบา
ยังไม่นับรวมการล้ำเส้นบังอาจอบรมบุตรีภรรยาเอก ผู้อื่นมีแต่ให้ภรรยาเอกช่วยสั่งสอนบุตรอนุ สามตำหนิไปถึงสวีจงสือ เรื่องตำแหน่งที่นั่ง เพราะยามนี้กัวเหมยนั่งใกล้นายท่านใหญ่สวี ในขณะที่ภรรยาเอกนั่งไกลปานนั้น อันที่จริงอนุภรรยามิอาจนั่งร่วมโต๊ะกับเหล่านายท่านนายหญิงด้วยซ้ำมิใช่หรือไร?นี่มันครอบครัวแบบใด?นั่นมิใช่เพียงความคิดของหลิ่งหลินแต่ยังส่งตรงไปถึงอู่ถังเชี่ยวผู้เป็นแขกในวันนี้ด้วยชายหนุ่มถึงขั้นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้ว เขาอยากขอปลีกตัวกลับก่อน แต่หาจังหวะเอ่ยแทรกไม่ได้ จึงเพียงมองคนนั้นทีคนนี้ทีและส่งเสียง “เอ่อ ข้า” ได้แค่นั้นกัวเหมยกับสวีหย่งกังแม่ลูกถึงกับบื้อใบ้ไปชั่วขณะด้วยไม่คิดว่าสวีหลิงเยี่ยนที่สงบปากเจียมตนมาแต่ไหนแต่ไรจะกล้าพูดจาสามหาวปานนี้ อันที่จริงพวกเขาไม่รู้แล้วว่านิสัยแท้จริงของนางเป็นเช่นไรในส่วนนี้สวีจงสือเองก็รู้สึกเช่นกัน เขาไม่เคยมองบุตรสาวคนนี้เต็มตา ทว่าเห็นทีวันนี้คงต้องมองนางใหม่ อีกทั้งยังต้องเข้มงวดให้มากขึ้นเสียแล้ว เขาแค่นเสียงเครียด “เจ้าลูกคนนี้ กล้าล่วงเกินผู้อาวุโส ช่างบังอาจนัก”แน่นอนว่าแม้แต่ฮูหยินยังมิอาจทำอันใดกัวเหมยได้ เพราะ
“จ่ะ เจ้า...” แต่สวีหย่งกังถึงขั้นพูดไม่ออกเถียงมิได้ เพราะเขาเป็นสหายร่วมเรียนก็จริง แต่ตอนศึกษาในชั้น ไม่เคยได้เข้าใกล้ท่านอ๋องเลย พระองค์ไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ อาจเพราะมีสหายร่วมเรียนมากมายหลายคนจนเกินไปเห็นบุตรชายอึกอัก กัวเหมยจึงเอ่ยกับสวีหลิงเยี่ยน “ตายจริง ข้าไม่คิดว่าคุณหนูใหญ่จะปากคอเราะรายเช่นนี้ เห็นทีฮูหยินใหญ่คงไม่ว่างอบรม มิสู้ให้ข้าช่วยสั่งสอนแทน ดีหรือไม่เจ้าคะ?”แน่นอนว่ามิใช่ความหวังดีปรารถนากล่อมเกลาผู้ใด เพียงต้องการหักหน้าเหยาซื่อที่มิอาจดูแลบุตรสาวตัวเองได้ เช่นนี้ยังเหมาะจะครองตำแหน่งภรรยาเอกหรือไร ไยมิใช่สมควรปลดออกไปแล้วให้นางขึ้นแทนเสียทีหึ! เหยาซื่อมีสกุลบ้านเดิมที่ดีกว่านางแล้วอย่างไร เห็นได้ชัดว่าโง่ทั้งแม่ทั้งลูก ไม่คู่ควรให้สนทนาด้วยซ้ำ คิดพลางหันไปทางสามี บุรุษที่นางใช้เสน่ห์มารยาช่วงชิงอย่างไม่เปลืองแรงผู้นี้ล้วนเชื่อคำนาง “ท่านพี่ดูเถิด หลิงเยี่ยนคงอิจฉาที่หย่งกังได้เรียนที่สำนักศึกษาหลวง มิแน่ว่าอยากเข้าไปเรียนด้วย แต่นางคงลืมไปว่าการเป็นสหายร่วมเรียนกับราชนิกุลไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็ทำได้ต้องฝึกฝนร่ำเรียนจนชำนาญแตกฉานและต
หลิ่งหลินขมวดคิ้วฉงน นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้า ท่าทีกิริยาล้วนถูกต้องเหมาะสมเฉกเจ้าของร่างเก่า เพียงเดินมานั่งลงเก้าอี้ที่ว่างอยู่โดยไม่รอคำอนุญาตจากนายท่านใหญ่ของบ้านจังหวะนั้น เสียงของสวีจงสือพลันดังอย่างขัดเคือง “ช่างไร้มารยาทนัก ผู้อาวุโสบอกให้นั่งแล้วหรือไร?”คำตำหนิติเตียนนี้ทำหลิ่งหลินนิ่วหน้าเล็กน้อย ดวงตาวูบไหวด้วยประกายเย็นชา ทว่าเพียงแวบเดียวเท่านั้นพลันกลับมาเป็นปกติ ก่อนถามด้วยสีหน้าอันใสซื่อว่า “เช่นนั้นท่านพ่อจะให้ข้าย่อกายถึงยามใด คงมิใช่คิดจะทรมานบุตรสาวตัวเองให้แขกดูชมกระมัง?” น้ำเสียงนี้ค่อนข้างสั่นเทาเสมือนถามอย่างโง่เขลาและไม่มั่นใจ ทว่าความหมายกลับไม่ใช่ ทำเอาสวีจงสือถึงกับอึ้ง เงียบไป หลิ่งหลินไม่สนใจตาเฒ่าเจ้าของจวนอีก เพียงหันมาสนใจแขกผู้มาเยือนแทน “คุณชายท่านนี้ ข้าสวีหลิงเยี่ยน เมื่อครู่ต้องขออภัยที่เสียมารยาทแล้วเจ้าค่ะ”บุรุษผู้นั้นมองมาอย่างตะลึงเล็กน้อย แววตานิ่งค้างที่ดวงหน้าของสวีหลิงเยี่ยนเนิ่นนาน ครู่หนึ่งจึงได้สติ เขาแย้มยิ้มประสานมือรับคำนับและทำท่าทักทายแนะนำตัวกลับ “เอ่อ...ข้า”ทว่าสวีหย่งกังกระแอมไอ รีบเอ่ยปากแทรกทันที