จวนสวี
หลิ่งหลินไปหาสาวงามคนใหม่จากหอบุปผาเลื่องชื่อ นอกจากมีฝีมือศิลปะการแสดงชั้นสูงยังมีรูปลักษณ์และเสน่หานวลนางที่ร้อนแรงปานแสงตะวัน ดึงดูดใจชาย ยั่วยวนชวนหลงใหลในทุกอิริยาบถ มีมารยาออดอ้อนขั้นสุด พอมีเงินเยอะย่อมได้สตรีไฉไลงดงามเฉิดฉายไม่ธรรมดา
ต่อมาหลิ่งหลินยังซื้อหาเสื้อผ้าชุดใหม่สำหรับใส่นอนแต่ไม่ได้นอน กลิ่นกำยาน เครื่องหอมกระตุ้นเลือดลมต่างๆอย่างครบครัน เพื่อเสริมเสน่หาในห้องหับให้ล้ำเลิศขึ้นไปอีก
คราวนี้สวีจงสือถึงกับตกตะลึงตาค้างมองมิวางตาเมื่อเห็นสาวงามนางนั้น แน่นอนว่ากัวเหมยไม่อยู่เฉยเช่นเคย นางรีบเรียกร้องความสนใจแย่งชิงตัวคนด้วยมารยาแบบเดิม แต่ครั้งนี้ไม่ได้ผล สวีจงสือถูกสูบวิญญาณจากสาวงามไปแล้วโดยสมบูรณ์ หลังผ่านคืนวสันต์ ความพึงใจยิ่งไต่ระดับสูงสุด เหยาซื่อกำลังจะได้นั่งอยู่บนภูดูเสือกัดกันอย่างแท้จริง
สาวงามถูกไถ่ตัวโดยหลิ่งหลินที่ยอมทุ่มเงินไม่น้อย นางมีผิวเรียบเนียนนุ่มลื่นและขาวราวหิมะจึงได้รับนามใหม่ที่ไพเราะว่าอวี้เสวี่ยจี
อิสระที่ได้รับจากหลิ่งหลิน สาวงามจึงเชื่อฟังนางยิ่ง ยินดีเป็นคนของเหยาซื่อตามคำสั่งโดยไม่บิดพลิ้ว
สวีจงสือรับอวี้เสวี่ยจีเข้าเรือนร่วมราตรีวสันต์ทันที
ความดีความชอบที่มอบให้เขาพึงพอใจสูงสุดนี้ ล้วนเป็นของเหยาซื่อ ภรรยาเอกผู้ใจกว้างดุจมหาสมุทร
สวีจงสือจึงตกรางวัลให้เหยาซื่อเป็นเงินหีบใหญ่และแพรพรรณชั้นเลิศมากมาย เรื่องราวหลังเรือนดำเนินไปได้ดี ทว่ากัวเหมยไม่ยินยอมอย่างที่สุด
เสียงถ้วยชาตกกระแทกพื้นแตกดังเพล้ง พร้อมเสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดดังลั่น
“เหยาซื่อร้ายกาจนัก นางกล้าดียังไงถึงพาสาวงามมาแย่งชิงความโปรดปรานกับข้าคนแล้วคนเล่า เจ้าเล่ห์นัก!”
คนแรกนางจัดการได้แต่คนนี้ไม่ง่ายเลยสักนิด น่าแค้นใจจริงๆ
สาวใช้สองคนลนลานเข้ามา คนหนึ่งรีบเก็บกวาด อีกคนรีบห้ามปราม “นายหญิงใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ ฝ่ายนั้นอย่างไรก็เป็นถึงฮูหยินใหญ่ มิควรเรียกนามตามตรง ประเดี๋ยวใครได้ยินเข้าจะเอาฟ้องนายท่านได้”
กัวเหมยสะบัดแขนเสื้อร้องฮึ “ข้าเคยกลัวหรือไร?”
“เกรงว่ายามนี้ต้องระวังให้มากแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเห็นนายท่านติดอกติดใจสาวงามยิ่ง ยังอยู่ที่เรือนหลักของฮูหยินตั้งแต่เช้าจดค่ำ ร่วมมื้ออาหารอย่างที่ไม่เคยทำ”
กัวเหมยเบิกตาโต “ว่าอย่างไรนะ? จริงรึ!”
“จริงเจ้าค่ะ”
กัวเหมยริษยาจนดวงตาแทบลุกเป็นไฟแล้ว เหตุใดกลับตาลปัตรไปหมดเช่นนี้?
ท่านพี่ควรด่าทอบุตรสาวที่นำเสื้อผ้าชุดใหม่ไปขายและกักขังนางไว้ในห้องหับมิดชิด
จากนั้นขับไล่นังปีศาจจิ้งจอกออกไปสิถึงจะถูก!
“นายหญิง ต่อไปท่านจะทำอย่างไรต่อดีเจ้าคะ บ่าวเกรงว่าอำนาจปกครองหลังเรือนรวมถึงอำนาจดูแลคลังจะกลับไปอยู่ในมือฮูหยินใหญ่อีก”
สาวใช้ถามเสียงเครือ หากเจ้านายอยู่อย่างสุขสบายบ่าวย่อมไม่ลำบาก ที่ผ่านมานางทำตัวเหิมเกริมกับคนของเรือนใหญ่เอาไว้มาก ตอนนี้เหมือนอำนาจจะกลับไปอยู่ที่เหยาฮูหยินเหมือนเช่นอดีตอีกครั้งแล้ว นางแย่แน่!
“นายหญิง ท่านต้องกุมกุญแจคลังไว้นะเจ้าคะ”
แววตากัวเหมยลุกโชน ถอนหายใจหนักๆ คราหนึ่ง นางควรได้ตำแหน่งฮูหยินใหญ่ต่างหาก มิใช่ถูกดึงอำนาจคืน
เป็นเช่นนี้เพราะนังเด็กสวีหลิงเยี่ยนนั่นคนเดียว!
“ข้ากล้าแน่” ว่าแล้วก็ตบอีกทั้งแก้มซ้ายแก้มขวาเพียะ เพียะ“โอ๊ยๆ”ผู้ตบเรี่ยวแรงเยอะนัก ชิงเอ๋อร์ล้มกลิ้ง แก้มแดงก่ำ ระบมไปหมด จังหวะนั้นหูซั่วได้ทีพลิกตัวลุกขึ้นมา ทำท่าเอาคืน แต่ถูกถีบอีกโครมใหญ่ “โอ๊ย” ชายหนุ่มลุกขึ้นมาอีกครั้ง เขาเป็นถึงองครักษ์จะเสียทีหลายกระบวนท่าได้อย่างไรหูซั่วม้วนตัวผุดร่างขึ้นมายืนผงาดหมายฟาดฟันทว่าผู้มาใหม่ฝีมือไม่ธรรมดา หูซั่วถูกเตะจนขาพับ ล้มแล้วล้มอีกจนเขาให้รู้สึกคาดไม่ถึง ชิงเอ๋อร์ก็เช่นกัน นางทั้งทุบตีทั้งกางเล็บข่วน แต่กลับไม่โดนตัวอีกฝ่ายเลย กลายเป็นตบตีหูซั่วเต็มแรงเสียอย่างนั้น จ้าวหมิงอวี่เลิกคิ้วมองความชุลมุนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ และทึ่งกับผู้มาใหม่ อีกฝ่ายเป็นสตรีชุดแดง ปากแดง ค่อนข้างป่าเถื่อนและมีวรยุทธ!นางคือ สวีหลิงเยี่ยน!เสียงพลั่กๆ ผลัวะๆ ดังต่อเนื่อง ชุลมุนไม่หยุดยามนี้หูซั่วเริ่มไม่ไหว นึกแปลกใจในฝีมืออีกฝ่าย “โอ๊ย เจ้าเป็นใคร” หูซั่วละล่ำละลั่กถาม “บังอาจทำร้ายองครักษ์ตำหนักหมิงเฟิ่งขององค์ชายสี่ เจ้าเป็นนักฆ่า เข้ามาลอบสังหารใช่หรือไม่?”“ใช่แล้วอย่างไร?” หลิ่งหลินเป็นนักฆ่าจริงแต่ยามนี้นางไม่ได้มาลอบสังหารใครเหมือนเช
ใบหน้าดำคล้ำยิ่งนานยิ่งบึ้งตึง ประกายตาแข็งกร้าวเกินบ่าวทั่วไป และนั่นย่อมทำให้องครักษ์ผู้หนึ่งสัมผัสได้ จึงหันมาเห็นพอดี ทำให้สตรีหันมาเช่นกัน “อ๊ะ! ท่านพี่หู ตรงนั้นมีคนนั่งอยู่ มันคงเห็นพวกเราแล้วเป็นแน่ บังอาจนัก!”วาจานางกำนัลผู้นี้ชัดเจนว่าไม่พอใจอย่างยิ่งนางรีบเดินตรงดิ่งท่าทางพร้อมตำหนิอย่างรุนแรง องครักษ์หนุ่มแซ่หูจึงรีบปรี่เข้าหาพร้อมสีหน้าดุดันเช่นกัน ทิศทางด้านหน้าของพวกเขาคือจ้าวหมิงอวี่ที่ยามนี้ปลอมตัวเป็นแค่บ่าวชายผิวคล้ำจนจำรูปลักษณ์เดิมมิได้“เจ้า! บ่าวชั้นต่ำ มานั่งทำอันใดตรงนี้” หูซั่วคำรามอย่างต้องการข่มขวัญจ้าวหมิงอวี่มีหรือจะกลัว เขาเสียงเย็น “ข้าต่างหากที่ต้องถาม พวกเจ้ามาทำระยำอันใดกันตรงนี้”ชายหญิงชะงักกึกหูซั่วกัดฟันกรอดรับไม่ได้กับคำด่าจึงคำรามดุดัน “เหิมเกริมนัก พวกข้าทำสิ่งใด เจ้ามีหลักฐานหรือไร” “หลักฐาน?” จ้าวหมิงอวี่เหยียดยิ้ม “ข้าเป็นพยานเห็นกับตาก็พอกระมัง”หูซั่วหยัน “หึ! ใครจะเชื่อบ่าวระดับล่างเช่นเจ้ามากกว่าข้าที่เป็นถึงองครักษ์”จ้าวหมิงอวี่ร้อง “อ้อ เช่นนั้นให้คนเปิดประโปรงนางพิสูจน์แล้วกัน”นางกำนัลหน้าแดงเถือก รีบหนีบขาอย่างไว“จ่ะ เจ้า
ชายหนุ่มเดินมานั่งใต้ร่มชายคาศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดเดิมที่แต่งกิ่งไม้เมื่อครู่ อุทยานท้ายตำหนักแห่งนี้มีน้ำตกจำลอง ด้านหลังของน้ำตกมีพุ่มไม้ดอกไม้ประดับ เหมาะแก่การหลบเร้นซ่อนกายจากผู้คนวุ่นวายพอดีแม้วันนี้มีหิมะโปรยปราย แต่สำหรับเขานับว่าอากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ ผ่อนคลายอารมณ์ ไหนเลยควรเรียนเคร่งเครียดทว่าอาจเป็นเพราะมีหิมะจึงพานให้นึกถึงใครบางคนบนยอดภูผาอันหนาวเหน็บวันนั้น‘เป็นถึงราชนิกุลแต่คิดสละฐานันดรเพื่อสตรีเช่นข้า ท่านบ้าหรือไร ข้ากำลังจะแต่งงาน ไสหัวไปซะ!’เสียงหวานที่ก้องกังวานยังคงชัดเจนในห้วงภวังค์จ้าวหมิงอวี่ค่อยๆ หลับตาลงเชื่องช้า สีหน้าเย็นชาผุดพรายความเศร้าหมองออกมาเลือนลางนางมักทำตัวร้ายกาจเช่นนั้นเสมอ ให้ผู้คนภายนอกมองเป็นพญามาร แต่เขารู้ดี มารตัวจริงมักมาในรูปแบบที่เราไม่รู้สึกถึงความอันตราย อันที่จริงนางควรทำตัวเหมือนมิตรสหาย มิให้เขาระแวดระวังภัยมิใช่หรือไร?ชายหนุ่มถอนหายใจให้ความคะนึงที่มิเคยจางหาย หลายครั้งที่หลับตา ภาพของหลิ่งหลินมักชัดเจนเสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ทุกวันที่พบหน้า กระทั่งถูกหักขา ถูกผลักไสที่ริมหน้าผาครานั้นท่าม
ฟ่านเจินให้รู้สึกเห็นใจสวีหลิงเยี่ยนขึ้นมาอย่างแท้จริง อีกฝ่ายแลดูจะเป็นคนกตัญญูรักครอบครัวเสียด้วย ก่อนนี้สตรีอื่นต่างเร่งร้อนมาเข้าตำหนักก่อนใคร เพื่อหวังให้เข้าตาองค์ชายสี่โดยเร็วที่สุด แต่นางกลับมาเข้าเรียนช้าเพราะอยู่เรือนช่วยมารดา ครานี้ต้องช่วยบิดา ต่อให้มิใช่นักฆ่าก็คงจำเป็นต้องหาวิธีฆ่าคนแล้วฟ่านเจิ้งเองก็คิดไม่ต่าง นางช่างน่าเห็นใจ แต่ว่า...“แผนการของพวกเราก็ไม่ควรเปลี่ยนนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “แม้พระองค์รังเกียจนางและไม่ชอบวิธีการนี้ แต่ยังคงต้องแสร้งเป็นเหยื่อลอบจับเสือต่อไป เพราะไม่นานฝ่ายเราจะได้หลักฐานและมีพยานเอาผิดองค์ชายรองส่งให้ฝ่าบาทเสียที”ฟ่านเจินพยักหน้าเห็นด้วยกับพี่ชายเฉกเดิม “ใช่ๆ เร่งเปิดทางให้นางเข้าหาแล้วรับตัวมาไว้ข้างกายเลยเพคะ”ลูกน้องคนสนิทคิดกันไป ในขณะที่จ้าวหมิงอวี่เพียงปิดตำรา อิงแผ่นหลังกว้างกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงช้าๆ ท่าทางเงียบงันเย็นชา พาให้คู่แฝดลอบมองอย่างลุ้นระทึก ด้วยมิอาจคาดเดาความคิดของเจ้านายท้ายที่สุดจ้าวหมิงอวี่ยืดตัวลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง กล่าวเสียงเรียบอย่างเกียจคร้าน “ข้ารังเกียจนางจริง หน้าที่เข้าหานางข้าให้พวกเจ้า วั
ขันทีหวังก้าวเท้าสั้นๆ เดินยิกๆ หลิ่งหลินก็เดินตามเพียงแต่ฝีเท้าของนางยาวและมั่นคง ไม่เหมือนคุณหนูทั่วไปที่ก้าวสั้นแบบนั้น ตำหนักนี่กว้างมากทีเดียว มีเรือนเยอะแยะยิ่ง เดินอยู่นาน ขันทีหวังถึงได้มาหยุดยืนหน้าเรือนหลังหนึ่ง เขาเอียงหน้ามาทางนางโค้งกายเล็กน้อย เปล่งเสียงแหลม“นี่คือเรือนหงซิ่ว เป็นเรือนพักของคุณหนูสวี”หลิ่งหลินประสานมือยอบกายตามมารยาทอันพึงมีของคุณหนูลูกขุนนาง “ขอบคุณหวังกงกง”“เชิญคุณหนูสวีเข้าด้านใน” หวังกงกงเปิดประตู ผายมือ ส่งแขกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างไม่อิดออดประตูห้องปิดลง หลิ่งหลินเห็นเพียงแผ่นหลังขันที อีกฝ่ายเดินเชิดหน้าซอยเท้าก้าวเล็กหายไปทางใดไม่ทราบ นางแค่เดินเข้าห้องไปสำรวจตรวจตราอย่างไม่ถือสาท่าทีของขันทีผู้นั้นในเรือนแม้ไม่กว้างแต่ครบครันยิ่ง หลิ่งหลินสำรวจ เห็นทิศตรงไปซึ่งชิดกำแพงด้านในสุดของห้องคือเตียงนอน ด้านซ้ายโต๊ะจิบชา ด้านขวาโต๊ะหนังสือ อีกฝั่งของเตียงคือฉากกั้นวางไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเปลี่ยนอาภรณ์ ถัดออกไปคือห้องอาบน้ำ นอกหน้าต่างอากาศค่อนข้างเย็น แต่ด้านในห้องพักแม้ห้องมีขนาดกว้างขวางแต่กลับอบอุ่น แสงแดดสาดส่อง
เรื่องวุ่นวายในจวนสวียังคงดำเนินไปทั้งอย่างนั้นผลตรวจของท่านหมอลงความเห็นว่าสวีจงสือมีภาวะเลือดลมสูบฉีดขั้นรุนแรงส่งผลให้จุดป๋ายฮุ่ย[1]แตกซ่านนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นอัมพาตท่อนล่าง ปากบิดปากเบี้ยว พูดจาไม่รู้เรื่องนั่นเอง หลังจากนี้เกรงว่าคงมิอาจหาความสำราญจากเรือนร่างสตรีได้อีกนอกจากนั้นยังมิอาจจัดการงานในจวนได้อีกด้วย เหยาซื่อซึ่งมีตำแหน่งเป็นฮูหยินใหญ่จึงต้องรับหน้าที่บริหารจัดการงานในจวนสวีทั้งหมดโดยปริยายมิใช่มีสิทธิ์มีเสียงแค่เพียงหลังเรือนเหมือนเมื่อก่อน แต่รวมถึงเรือนหน้าและอำนาจจวนสวีทั้งหมดที่เคยเป็นของสวีจงสือบัดนี้เป็นของเหยาซื่อโดยสมบูรณ์พอกัวเหมยรู้เรื่องก็กรีดร้องแทบบ้าคลั่งจนสลบไสล ครั้นตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้โหยหวนเป็นลมอีกในขณะที่อวี้เสวี่ยจีดีใจแทบตายแล้ว นางมีอิสระ ได้รับเบี้ยหวัด ไม่ต้องทนนอนปรนนิบัติใต้ร่างบุรุษเฉกอดีต ยอดเยี่ยมที่สุดทั้งหมดทั้งมวลหลิ่งหลินเพียงทิ้งไว้เบื้องหลังยามนี้นางต้องเข้าไปเรียนในตำหนักหมิงเฟิ่งเสียที เพียงแต่ปล่อยเวลาล่วงเลยหลายวัน ยังจะเรียนทันหรือไม่ จะเข้าตำหนักได้หรือเปล่าไม่ใช่พยายามเข้าหาจ้าวหมิงอวี่ตามคำสั่งสวีจงสือ เพ