หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นาน
อวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที
"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"
คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรี
อวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความ
ในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณา
หัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิด
ในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปยังเรือนฮวาหงของอวี้หลันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังมีของที่เขามอบให้ด้วยตนเองนอกเหนือจากนั้นอีกไม่น้อย ทุกชิ้นล้วนเป็นของล้ำค่าไม่ให้นางต้องน้อยหน้าผู้ใด แต่เหตุใดในวันนี้บุตรสาวจึงแต่งกายเช่นนี้
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยถามสิ่งใด บุตรสาวคนรองกลับเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาเสียก่อน
"ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ทำให้พี่สาวและทุกคนระคายตา ข้าเองก็ไม่ได้อยากแต่งกายเช่นนี้ เพียงแต่... ในเรือนของข้าเกิดเรื่องขึ้นเท่านั้น"
อวี้หลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ดังนัก แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความโกรธ ไม่มีแม้แต่ความน้อยใจ ทว่าแววตากลับแฝงความเยือกเย็นจนอีกฝ่ายนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
อวี้เหมยที่กำลังจะเอ่ยบางสิ่งกลับต้องชะงัก คล้ายถูกแววตาคู่นั้นตรึงเอาไว้จนไม่อาจขยับปาก
อวี้หลันจึงได้หันกลับมาเอ่ยกับบิดา แววตาหวานหม่นเศร้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอ่อนน้อม
"ความจริงวันนี้ลูกมีเรื่องอยากจะขอให้ท่านพ่อเมตตา ช่วยให้ความยุติธรรมกับลูกด้วยเจ้าค่ะ"
นางหยุดเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองไปยังแม่เลี้ยงที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งขวามือของบิดา
"เพียงแต่ลูกไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนท่านพ่อกับฮูหยินมากเกินไปหรือไม่"
ประโยคนั้นราบเรียบ แต่กลับทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มตึงเครียด หลายคนเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เซิ่งซื่อที่กำลังมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงบ แต่มือใต้แขนเสื้อเริ่มกำแน่น ดวงตาที่สบกับอวี้หลันสั่นระริก ใจของนางรู้สึกสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ภายในจิตใจรับรู้ถึงความไม่มั่นคงบางอย่าง
ไม่ถูกต้อง เด็กคนนี้ไม่ควรจะมีท่าทีเช่นนี้ได้
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของอวี้หลันจะยังคงดูบอบบางและอ่อนแอดังเดิม แต่ในแววตาคู่นั้นกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สายตานิ่งลึก เยือกเย็น และแฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าวอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ก่อนหน้านี้อวี้หลันไหนเลยจะกล้าเงยหน้าขึ้นสบตานางเช่นนั้น นั่นมิใช่สิ่งที่อวี้หลันจะกล้าทำ อย่าว่าแต่กล้าสบตาเลย แม้เพียงแต่จะเปิดปากพูด นางยังไม่มีความกล้าเลยด้วยซ้ำ
"หลันเอ๋อร์ อย่าได้ถือสาคำพูดไม่คิดของพี่สาวเจ้าเลย มาเถิด มากินข้าวกันก่อน"
เซิ่งซื่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน พยายามปกปิดความรู้สึกที่แท้จริง คล้ายจะหลีกเลี่ยงเรื่องราวบางอย่าง ทั้งที่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวี้หลันกำลังจะพูดสิ่งใดออกมา แต่ในใจของนางกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับนางแน่
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
อวี้หลันทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดนั้น นางหันไปทางบิดา เอ่ยอย่างที่ตั้งใจออกมาชัดถ้อยชัดคำ
"ในตอนที่ลูกล้มป่วยจนไร้สติ บ่าวไพร่ในเรือนคงคิดว่าลูกไม่รอดแล้วกระมัง ถึงได้พากันหยิบฉวยเครื่องประดับของลูกไปจนแทบไม่เหลือ"
ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง ใบหน้าของรองเสนาบดีอวี้จิ้งพลันดำคล้ำขึ้นทันตา ต่างกับเซิ่งซื่อที่นั่งอยู่ข้างกาย ใบหน้าของนางซีดขาวลงโดยไม่อาจปกปิดได้
บ่าวไพร่ในเรือนฮวาหงล้วนเป็นคนของนางที่จัดส่งไปดูแลเองกับมือ ไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะโง่งมถึงเพียงนี้
อวี้จิ้งขบกรามแน่น แววตาเย็นเฉียบ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำอย่างข่มกลั้นอารมณ์
"ชั่วช้าเกินไปแล้ว"
ปัง!
เสียงฝ่ามือใหญ่กระแทกลงบนโต๊ะอาหารอย่างรุนแรง สร้างแรงสะเทือนไปทั่วบริเวณ โต๊ะอาหารถึงกับสั่นคลอน จานชามบางใบเขยื้อนเล็กน้อย
อารมณ์โกรธแผ่กระจายออกจากร่างของรองเสนาบดีอย่างชัดเจน เขาทั้งโกรธที่บุตรสาวล้มป่วยแทบเอาชีวิตไม่รอดกลับต้องถูกรังแก ทั้งโมโหที่ในบ้านของตนกลับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
อวี้คุนที่นั่งเงียบมาตลอดไม่อาจทนต่อความตึงเครียดได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มวัยสิบสามรีบโผเข้าหามารดาราวหาที่พึ่ง ร่างกายสั่นเทา ดวงหน้าเผือดซีดด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่เคยเห็นบิดาในสภาพโกรธจัดถึงเพียงนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
ส่วนอวี้เหมยนั้นใบหน้าของนางซีดเผือดไม่แพ้กัน ดวงตาเบิกกว้างราวกับยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เหตุการณ์ทั้งหมดพลิกกลับเร็วเกินไปจนตั้งรับไม่ทัน
บ่าวไพร่หลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าเรือนถึงกับตัวสั่นงันงก เหงื่อผุดพรายเต็มแผ่นหลัง ไหล่สั่นจนแทบยืนไม่ตรง สายตาหลุบต่ำไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ทุกคนต่างรับรู้ได้โดยไม่ต้องมีคำพูดใดว่า วันนี้ช่างเป็นวันแห่งหายนะโดยแท้
หลังจากนั้นเสียงคำสั่งที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังลั่นเรือน
"ช่างสมควรตายนัก ไป! ไปลากตัวพวกมันมาให้หมด"
ไหนเลยใครจะยังกล้าชักช้าอีกรีบไปนำตัวบ่าวในเรือนฮวาหงออกมาทั้งหมด
บ่าวไพร่จากเรือนฮวาหงที่ถูกพาตัวมา ดวงหน้าของแต่ละคนซีดเผือด ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น ก้มหน้าจนแทบจะแนบไปกับพื้น พวกนางไม่คิดเลยว่าคุณหนูรองที่มักจะไร้ปากไร้เสียง ไม่สนใจสิ่งใด พอฟื้นขึ้นมาจะกระทำเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ จากการลักขโมยเครื่องประดับเพียงไม่กี่ชิ้น จะกลายเป็นชนวนเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้
รองเสนาบดีอวี้จิ้งนั่งนิ่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ สีหน้าเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง แววตาเฉียบคมกวาดมองบ่าวไพร่ที่ถูกนำตัวมา ทุกคนก้มหน้างุดไม่กล้ามองสบสายตา หัวใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้
"ของของคุณหนูรองที่พวกเจ้าขโมยไปอยู่ที่ใด"
อวี้จิ้งเอ่ยถามเสียงดังอย่างหนักแน่น ชัดเจน และเปี่ยมด้วยอำนาจ เสียงนั้นดังกังวานไปทั้งห้อง
บ่าวอาวุโสที่สุดในที่นั้นเป็นคนแรกที่กล้าส่งเสียงออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ
"นะ นายท่าน พวกบ่าวมิได้ขโมยสิ่งใดเลยนะเจ้าคะ บ่าวถูกใส่ความเจ้าค่ะ"
เมื่อคนแรกกล้าเอ่ย ปากของคนอื่นก็ตามมาเป็นแถว
"พวกบ่าว ไม่รู้เรื่องจริงๆ เจ้าค่ะ"
"พวกบ่าวไม่รู้อะไรเลยนะเจ้าคะ ขอนายท่านโปรดเมตตาด้วย"
"ขอนายท่านได้โปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ"
"นายท่านโปรดเมตตา พิจารณาให้ความเป็นธรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
เสียงปฏิเสธดังระงม ทุกคนต่างพยายามเอาตัวรอด บางคนถึงกับโขกหัวลงกับพื้น ร่ำไห้ขอความเมตตา คร่ำครวญราวกับผู้ถูกกระทำ แต่ไม่มีคำใดสามารถสั่นคลอนสีหน้าของรองเสนาบดีได้เลยแม้แต่น้อย
เขานั่งนิ่งดุจหินผา สายตาเย็นเฉียบจ้องมองคนกลุ่มนั้นราวกับมองสิ่งไร้ค่า
อวี้หลันนั่งอย่างสงบอยู่ข้างกายบิดา ดวงตาคู่งามทอดมองภาพตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อเป็นผู้จัดการ
"ซูถัว พาคนไปค้นเรือนพวกมันให้ทั่ว"
อวี้จิ้งออกคำสั่งเสียงเข้ม
"ขอรับ"
ซูถัว บ่าวคนสนิทข้างกายรองเสนาบดีอวี้จิ้งขานรับพร้อมพาคนของตนออกไปทำตามคำสั่ง ท่ามกลางความตึงเครียดที่กดทับอยู่ทั่วทั้งห้อง
หากเป็นซูถัวไปด้วยตนเองไหนเลยใครจะกล้าเล่นตุกติก คนผู้นี้ไม่ฟังคำสั่งของผู้ใดนอกเหนือจากผู้เป็นนาย ทั้งยังไม่คิดจะไว้หน้าผู้ใดอีกด้วย
ไม่นานนัก พวกเขาก็กลับมาพร้อมกล่องไม้ที่ด้านในเต็มไปด้วยเครื่องประดับล้ำค่า ซูถัวคุกเข่าลงแล้วยกของขึ้นตรงหน้า
"นายท่าน ของพวกนี้ล้วนค้นพบในเรือนของบ่าวเหล่านี้ขอรับ"
อวี้หลันปรายตามองกล่องไม้นั้น ด้านในเป็นเครื่องประดับล้ำค่าที่นางคุ้นตาเป็นอย่างดี
ส่วนบ่าวไพร่พวกนั้นต่างพากันตาถลน
เป็นไปไม่ได้
เครื่องประดับเหล่านี้พวกนางไม่ได้เป็นคนขโมย ส่วนของที่ขโมยมาก็ล้วนแต่นำไปขายหมดแล้ว จะยังหลงเหลือหลักฐานใดได้อีก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นพวกนางกลับพูดไม่ออก
เซิ่งซื่อหรี่ตามองเครื่องประดับล้ำค่าเหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ความสงสัยวาบขึ้นในใจ คนของนางจะโง่ถึงขนาดขโมยของมีค่าในคราวเดียวกันมากมายขนาดนี้เชียวหรือ แล้วยังโง่เก็บเอาไว้กับตัวอีก
ไม่มีทาง คนเหล่านี้ไหนเลยจะโง่ถึงเพียงนั้น
คิดได้เช่นนั้น เซิ่งซื่อก็หันไปมองอวี้หลันที่กำลังจ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว
เด็กสาวคนนั้นเอียงคอเล็กน้อยมองมาที่นาง สบตานางด้วยแววตาใสซื่อไร้เดียงสา แต่ในขณะเดียวกัน มุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มจางๆ หากแต่เต็มไปด้วยความนัยลึกซึ้งบางอย่าง
เพียงเท่านั้นเซิ่งซื่อก็มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง
บ่าวไพร่พวกนี้ถูกเด็กคนนี้วางหมากเข้าให้แล้ว
ภายในใจของเซิ่งซื่อพลันสั่นสะท้าน ไม่ใช่ว่าอวี้หลันเป็นเด็กสาวโง่งมคนหนึ่งหรอกหรือ
ในขณะที่เซิ่งซื่อครุ่นคิดไม่ตก เสียงของอวี้จิ้งก็เอ่ยดังขึ้น
"หลันเอ๋อร์ เจ้าลองตรวจดูว่าครบหรือไม่"
อวี้หลันพยักหน้าให้ฉิงหว่านนำรายการทรัพย์สินที่อีกฝ่ายไปนำมาจากเรือนฮวาหงให้มาช่วยกันตรวจนับ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยเสียงอ่อน ท่าทางหม่นเศร้าราวกับถูกรังแก
"ยังไม่ครบเจ้าค่ะ ยังขาดไปอีกหลายชิ้น"
อวี้จิ้งหันขวับไปมองบ่าวน่าตายทั้งหลายอีกครั้ง ดวงตาแข็งกร้าวดั่งเหล็กกล้า
"ของที่เหลืออยู่ที่ใด"
ไม่มีเสียงตอบรับหลังจากนั้น ใบหน้าของทุกคนซีดขาวลงไปอีกขั้นหนึ่งจนคล้ายวิญญาณออกจากร่าง
"หากยังไม่ตอบ ข้าจะสั่งโบยพวกเจ้าให้ตาย"
เสียงเหี้ยมเกรียมเอ่ยขึ้น ดวงตาไร้ความปรานี จนในที่สุด บ่าวหญิงผู้หนึ่งก็ทรุดตัวลงแนบหน้าลงกับพื้น ร่างสั่นเทิ้ม น้ำตานองหน้า เอ่ยสารภาพเสียงสั่น
"ฮือๆ บะ บ่าวเอาไปขายแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงสารภาพนั้นดังชัดทั่วทั้งห้อง บ่าวคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าดิ้นไม่หลุดก็ต่างพากันร้องไห้โฮ รีบสารภาพตามทันที
"บ่าวก็นำไปขายแล้วเจ้าค่ะ"
"ชั่วช้า สารเลวนัก"
อวี้จิ้งคำรามเสียงดัง ลุกพรวดขึ้นถีบบ่าวที่อยู่ใกล้ที่สุดจนหงายหลัง
"กล้าลักขโมยของของบุตรสาวข้า ช่างไม่กลัวตาย"
น้ำเสียงดุดันราวฟ้าคำราม ทำเอาบ่าวพวกนั้นโขกหัวลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กลัวเจ็บ เสียงร้องขอความเมตตาดังระงม
อวี้จิ้งยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา
"โบยพวกมันคนละสามสิบไม้ แล้วขายออกไปให้หมด"
เสียงรับคำสั่งดังขึ้นทันที บ่าวพวกนั้นถึงกับกรีดร้องด้วยความกลัว รีบร้องวิงวอนขอความเมตตาจากผู้เป็นนายตัวจริง โบยสามสิบไม้ไม่เท่ากับว่าพวกตนต้องกลายเป็นคนพิการหรอกหรือ
"ฮูหยินช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยิน ฮูหยิน"
อวี้หลันกระตุกยิ้มมุมปาก นับว่าบิดาผู้นี้จัดการได้เด็ดขาด ไม่ทำให้นางผิดหวังเลยจริงๆ นางมองหนูสกปรกพวกนั้นถูกลากตัวออกไปพร้อมกับเสียงร้องไห้ระงมด้วยสายตาเย็นชา
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นานอวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรีอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณาหัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิดในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปย
ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้าตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพคุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้วคุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่งแต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปีอวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี คุณหนูรองผู้นี้ แม
แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนใหญ่ในเรือนฮวาหงอันเงียบสงบ ปรากฏเงาร่างเพรียวระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตั้งมั่นอยู่กลางห้อง ฝ่าเท้าแนบแน่นกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะไม้พลองในมือของนางตวัดวูบไปในอากาศ เสียงลมเสียดอื้ออึงตามแรงเหวี่ยง ทุกท่วงท่าคมกริบราวกับกำลังฟันดาบ ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลัง หากแต่เป็นการฝึกฝน ในชีวิตก่อนนางฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดคือการใช้ปืน ตอนนี้จึงต้องเคาะสนิมกันเสียหน่อยอวี้หลันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง แขนขาแข็งแรงและว่องไว ราวกับร่างกายนี้ไม่เคยอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแน่วแน่ เยือกเย็น และเต็มไปด้วยสมาธิ ทุกจังหวะที่ก้าว ทุกท่าที่ฟาดฟัน ล้วนแฝงด้วยสัญชาตญาณของคนที่เคยอยู่กับความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม้พลองฟาดลงกลางอากาศอย่างแรง ส่งเสียง "ฟึ่บ" ราวกับมันคือคมดาบที่กำลังฆ่าฟันศัตรูจริงๆหยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมลงมาตามข้างแก้ม อวี้หลันหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอและไม่หอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางวางไม้พลองในมือลง พลางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้ร่างกายของนางนับว่าหายดีแล้ว นางใช้เวลาพักผ่อนร
"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ "นั่งลงเถิด"พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก
ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกันเสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆเสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียง
เช้าวันนี้อวี้หลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น ร่างกายที่เคยอ่อนแรงรู้สึกเบาสบาย กระปรี้กระเปร่าเหมือนได้รับพลังใหม่แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ เงาของต้นเหมยพาดทอดอยู่บนพื้นห้อง เงียบสงบและอบอุ่น นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้ฉิงหว่านสาวใช้คนสนิทช่วยหวีผมและแต่งกายให้อาภรณ์ผ้าไหมปักลวดลายดอกเหมยสีหวานถูกสวมทับลงบนร่าง สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ อวี้หลันมองตนเองในกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกลบความงดงามเอาไว้ได้ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกจะเรียกว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิดนัก"ไม่เลว"อวี้หลันพึมพำเบาๆ กับตนเอง พลางมองสำรวจเครื่องแต่งกายด้วยความพึงพอใจการใช้ชีวิตแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดในชีวิตก่อนของนาง ทุกวันเต็มไปด้วยการต่อสู้ การไล่ล่า และกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเวลาจะเลือกเสื้อผ้า ไม่มีเครื่องประดับงดงาม ไม่มีแม้แต่กระจกสักบานให้ได้เห็นเงาของตัวเองทุกย่างก้าวในชีวิตมีเพียงมีดและปืนในมือ มีเป้าหมายที่ต้องสังหารนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะ หญิงสาว อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ในร่างใหม่ ในชีวิตใหม่ นางสามารถทำทุ