หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นาน
อวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที
"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"
คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรี
อวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความ
ในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณา
หัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิด
ในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปยังเรือนฮวาหงของอวี้หลันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งยังมีของที่เขามอบให้ด้วยตนเองนอกเหนือจากนั้นอีกไม่น้อย ทุกชิ้นล้วนเป็นของล้ำค่าไม่ให้นางต้องน้อยหน้าผู้ใด แต่เหตุใดในวันนี้บุตรสาวจึงแต่งกายเช่นนี้
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยถามสิ่งใด บุตรสาวคนรองกลับเป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นมาเสียก่อน
"ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ทำให้พี่สาวและทุกคนระคายตา ข้าเองก็ไม่ได้อยากแต่งกายเช่นนี้ เพียงแต่... ในเรือนของข้าเกิดเรื่องขึ้นเท่านั้น"
อวี้หลันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไม่ดังนัก แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ น้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความโกรธ ไม่มีแม้แต่ความน้อยใจ ทว่าแววตากลับแฝงความเยือกเย็นจนอีกฝ่ายนิ่งงันไปครู่หนึ่ง
อวี้เหมยที่กำลังจะเอ่ยบางสิ่งกลับต้องชะงัก คล้ายถูกแววตาคู่นั้นตรึงเอาไว้จนไม่อาจขยับปาก
อวี้หลันจึงได้หันกลับมาเอ่ยกับบิดา แววตาหวานหม่นเศร้า ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีอ่อนน้อม
"ความจริงวันนี้ลูกมีเรื่องอยากจะขอให้ท่านพ่อเมตตา ช่วยให้ความยุติธรรมกับลูกด้วยเจ้าค่ะ"
นางหยุดเล็กน้อย ดวงตาเหลือบมองไปยังแม่เลี้ยงที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งขวามือของบิดา
"เพียงแต่ลูกไม่ทราบว่าจะเป็นการรบกวนท่านพ่อกับฮูหยินมากเกินไปหรือไม่"
ประโยคนั้นราบเรียบ แต่กลับทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเริ่มตึงเครียด หลายคนเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เซิ่งซื่อที่กำลังมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงบ แต่มือใต้แขนเสื้อเริ่มกำแน่น ดวงตาที่สบกับอวี้หลันสั่นระริก ใจของนางรู้สึกสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ ภายในจิตใจรับรู้ถึงความไม่มั่นคงบางอย่าง
ไม่ถูกต้อง เด็กคนนี้ไม่ควรจะมีท่าทีเช่นนี้ได้
แม้รูปลักษณ์ภายนอกของอวี้หลันจะยังคงดูบอบบางและอ่อนแอดังเดิม แต่ในแววตาคู่นั้นกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สายตานิ่งลึก เยือกเย็น และแฝงไว้ด้วยความแข็งกร้าวอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน
ก่อนหน้านี้อวี้หลันไหนเลยจะกล้าเงยหน้าขึ้นสบตานางเช่นนั้น นั่นมิใช่สิ่งที่อวี้หลันจะกล้าทำ อย่าว่าแต่กล้าสบตาเลย แม้เพียงแต่จะเปิดปากพูด นางยังไม่มีความกล้าเลยด้วยซ้ำ
"หลันเอ๋อร์ อย่าได้ถือสาคำพูดไม่คิดของพี่สาวเจ้าเลย มาเถิด มากินข้าวกันก่อน"
เซิ่งซื่อเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน พยายามปกปิดความรู้สึกที่แท้จริง คล้ายจะหลีกเลี่ยงเรื่องราวบางอย่าง ทั้งที่นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวี้หลันกำลังจะพูดสิ่งใดออกมา แต่ในใจของนางกลับมีลางสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับนางแน่
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
อวี้หลันทำราวกับไม่ได้ยินคำพูดนั้น นางหันไปทางบิดา เอ่ยอย่างที่ตั้งใจออกมาชัดถ้อยชัดคำ
"ในตอนที่ลูกล้มป่วยจนไร้สติ บ่าวไพร่ในเรือนคงคิดว่าลูกไม่รอดแล้วกระมัง ถึงได้พากันหยิบฉวยเครื่องประดับของลูกไปจนแทบไม่เหลือ"
ทันทีที่คำพูดนั้นจบลง ใบหน้าของรองเสนาบดีอวี้จิ้งพลันดำคล้ำขึ้นทันตา ต่างกับเซิ่งซื่อที่นั่งอยู่ข้างกาย ใบหน้าของนางซีดขาวลงโดยไม่อาจปกปิดได้
บ่าวไพร่ในเรือนฮวาหงล้วนเป็นคนของนางที่จัดส่งไปดูแลเองกับมือ ไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะโง่งมถึงเพียงนี้
อวี้จิ้งขบกรามแน่น แววตาเย็นเฉียบ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำอย่างข่มกลั้นอารมณ์
"ชั่วช้าเกินไปแล้ว"
ปัง!
เสียงฝ่ามือใหญ่กระแทกลงบนโต๊ะอาหารอย่างรุนแรง สร้างแรงสะเทือนไปทั่วบริเวณ โต๊ะอาหารถึงกับสั่นคลอน จานชามบางใบเขยื้อนเล็กน้อย
อารมณ์โกรธแผ่กระจายออกจากร่างของรองเสนาบดีอย่างชัดเจน เขาทั้งโกรธที่บุตรสาวล้มป่วยแทบเอาชีวิตไม่รอดกลับต้องถูกรังแก ทั้งโมโหที่ในบ้านของตนกลับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
อวี้คุนที่นั่งเงียบมาตลอดไม่อาจทนต่อความตึงเครียดได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มวัยสิบสามรีบโผเข้าหามารดาราวหาที่พึ่ง ร่างกายสั่นเทา ดวงหน้าเผือดซีดด้วยความหวาดหวั่น เขาไม่เคยเห็นบิดาในสภาพโกรธจัดถึงเพียงนี้มาก่อนเลยสักครั้ง
ส่วนอวี้เหมยนั้นใบหน้าของนางซีดเผือดไม่แพ้กัน ดวงตาเบิกกว้างราวกับยังจับต้นชนปลายไม่ถูก เหตุการณ์ทั้งหมดพลิกกลับเร็วเกินไปจนตั้งรับไม่ทัน
บ่าวไพร่หลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหน้าเรือนถึงกับตัวสั่นงันงก เหงื่อผุดพรายเต็มแผ่นหลัง ไหล่สั่นจนแทบยืนไม่ตรง สายตาหลุบต่ำไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ทุกคนต่างรับรู้ได้โดยไม่ต้องมีคำพูดใดว่า วันนี้ช่างเป็นวันแห่งหายนะโดยแท้
หลังจากนั้นเสียงคำสั่งที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังลั่นเรือน
"ช่างสมควรตายนัก ไป! ไปลากตัวพวกมันมาให้หมด"
ไหนเลยใครจะยังกล้าชักช้าอีกรีบไปนำตัวบ่าวในเรือนฮวาหงออกมาทั้งหมด
บ่าวไพร่จากเรือนฮวาหงที่ถูกพาตัวมา ดวงหน้าของแต่ละคนซีดเผือด ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดหวั่น ก้มหน้าจนแทบจะแนบไปกับพื้น พวกนางไม่คิดเลยว่าคุณหนูรองที่มักจะไร้ปากไร้เสียง ไม่สนใจสิ่งใด พอฟื้นขึ้นมาจะกระทำเรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ จากการลักขโมยเครื่องประดับเพียงไม่กี่ชิ้น จะกลายเป็นชนวนเหตุแห่งหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้
รองเสนาบดีอวี้จิ้งนั่งนิ่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ สีหน้าเยียบเย็นราวกับน้ำแข็ง แววตาเฉียบคมกวาดมองบ่าวไพร่ที่ถูกนำตัวมา ทุกคนก้มหน้างุดไม่กล้ามองสบสายตา หัวใจเต้นระรัวอย่างควบคุมไม่ได้
"ของของคุณหนูรองที่พวกเจ้าขโมยไปอยู่ที่ใด"
อวี้จิ้งเอ่ยถามเสียงดังอย่างหนักแน่น ชัดเจน และเปี่ยมด้วยอำนาจ เสียงนั้นดังกังวานไปทั้งห้อง
บ่าวอาวุโสที่สุดในที่นั้นเป็นคนแรกที่กล้าส่งเสียงออกมา น้ำเสียงสั่นเครือ
"นะ นายท่าน พวกบ่าวมิได้ขโมยสิ่งใดเลยนะเจ้าคะ บ่าวถูกใส่ความเจ้าค่ะ"
เมื่อคนแรกกล้าเอ่ย ปากของคนอื่นก็ตามมาเป็นแถว
"พวกบ่าว ไม่รู้เรื่องจริงๆ เจ้าค่ะ"
"พวกบ่าวไม่รู้อะไรเลยนะเจ้าคะ ขอนายท่านโปรดเมตตาด้วย"
"ขอนายท่านได้โปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเจ้าค่ะ"
"นายท่านโปรดเมตตา พิจารณาให้ความเป็นธรรมด้วยเถิดเจ้าค่ะ"
เสียงปฏิเสธดังระงม ทุกคนต่างพยายามเอาตัวรอด บางคนถึงกับโขกหัวลงกับพื้น ร่ำไห้ขอความเมตตา คร่ำครวญราวกับผู้ถูกกระทำ แต่ไม่มีคำใดสามารถสั่นคลอนสีหน้าของรองเสนาบดีได้เลยแม้แต่น้อย
เขานั่งนิ่งดุจหินผา สายตาเย็นเฉียบจ้องมองคนกลุ่มนั้นราวกับมองสิ่งไร้ค่า
อวี้หลันนั่งอย่างสงบอยู่ข้างกายบิดา ดวงตาคู่งามทอดมองภาพตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ผู้เป็นพ่อเป็นผู้จัดการ
"ซูถัว พาคนไปค้นเรือนพวกมันให้ทั่ว"
อวี้จิ้งออกคำสั่งเสียงเข้ม
"ขอรับ"
ซูถัว บ่าวคนสนิทข้างกายรองเสนาบดีอวี้จิ้งขานรับพร้อมพาคนของตนออกไปทำตามคำสั่ง ท่ามกลางความตึงเครียดที่กดทับอยู่ทั่วทั้งห้อง
หากเป็นซูถัวไปด้วยตนเองไหนเลยใครจะกล้าเล่นตุกติก คนผู้นี้ไม่ฟังคำสั่งของผู้ใดนอกเหนือจากผู้เป็นนาย ทั้งยังไม่คิดจะไว้หน้าผู้ใดอีกด้วย
ไม่นานนัก พวกเขาก็กลับมาพร้อมกล่องไม้ที่ด้านในเต็มไปด้วยเครื่องประดับล้ำค่า ซูถัวคุกเข่าลงแล้วยกของขึ้นตรงหน้า
"นายท่าน ของพวกนี้ล้วนค้นพบในเรือนของบ่าวเหล่านี้ขอรับ"
อวี้หลันปรายตามองกล่องไม้นั้น ด้านในเป็นเครื่องประดับล้ำค่าที่นางคุ้นตาเป็นอย่างดี
ส่วนบ่าวไพร่พวกนั้นต่างพากันตาถลน
เป็นไปไม่ได้
เครื่องประดับเหล่านี้พวกนางไม่ได้เป็นคนขโมย ส่วนของที่ขโมยมาก็ล้วนแต่นำไปขายหมดแล้ว จะยังหลงเหลือหลักฐานใดได้อีก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นพวกนางกลับพูดไม่ออก
เซิ่งซื่อหรี่ตามองเครื่องประดับล้ำค่าเหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ความสงสัยวาบขึ้นในใจ คนของนางจะโง่ถึงขนาดขโมยของมีค่าในคราวเดียวกันมากมายขนาดนี้เชียวหรือ แล้วยังโง่เก็บเอาไว้กับตัวอีก
ไม่มีทาง คนเหล่านี้ไหนเลยจะโง่ถึงเพียงนั้น
คิดได้เช่นนั้น เซิ่งซื่อก็หันไปมองอวี้หลันที่กำลังจ้องมองนางอยู่ก่อนแล้ว
เด็กสาวคนนั้นเอียงคอเล็กน้อยมองมาที่นาง สบตานางด้วยแววตาใสซื่อไร้เดียงสา แต่ในขณะเดียวกัน มุมปากกลับยกขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มจางๆ หากแต่เต็มไปด้วยความนัยลึกซึ้งบางอย่าง
เพียงเท่านั้นเซิ่งซื่อก็มองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง
บ่าวไพร่พวกนี้ถูกเด็กคนนี้วางหมากเข้าให้แล้ว
ภายในใจของเซิ่งซื่อพลันสั่นสะท้าน ไม่ใช่ว่าอวี้หลันเป็นเด็กสาวโง่งมคนหนึ่งหรอกหรือ
ในขณะที่เซิ่งซื่อครุ่นคิดไม่ตก เสียงของอวี้จิ้งก็เอ่ยดังขึ้น
"หลันเอ๋อร์ เจ้าลองตรวจดูว่าครบหรือไม่"
อวี้หลันพยักหน้าให้ฉิงหว่านนำรายการทรัพย์สินที่อีกฝ่ายไปนำมาจากเรือนฮวาหงให้มาช่วยกันตรวจนับ
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยเสียงอ่อน ท่าทางหม่นเศร้าราวกับถูกรังแก
"ยังไม่ครบเจ้าค่ะ ยังขาดไปอีกหลายชิ้น"
อวี้จิ้งหันขวับไปมองบ่าวน่าตายทั้งหลายอีกครั้ง ดวงตาแข็งกร้าวดั่งเหล็กกล้า
"ของที่เหลืออยู่ที่ใด"
ไม่มีเสียงตอบรับหลังจากนั้น ใบหน้าของทุกคนซีดขาวลงไปอีกขั้นหนึ่งจนคล้ายวิญญาณออกจากร่าง
"หากยังไม่ตอบ ข้าจะสั่งโบยพวกเจ้าให้ตาย"
เสียงเหี้ยมเกรียมเอ่ยขึ้น ดวงตาไร้ความปรานี จนในที่สุด บ่าวหญิงผู้หนึ่งก็ทรุดตัวลงแนบหน้าลงกับพื้น ร่างสั่นเทิ้ม น้ำตานองหน้า เอ่ยสารภาพเสียงสั่น
"ฮือๆ บะ บ่าวเอาไปขายแล้วเจ้าค่ะ"
เสียงสารภาพนั้นดังชัดทั่วทั้งห้อง บ่าวคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าดิ้นไม่หลุดก็ต่างพากันร้องไห้โฮ รีบสารภาพตามทันที
"บ่าวก็นำไปขายแล้วเจ้าค่ะ"
"ชั่วช้า สารเลวนัก"
อวี้จิ้งคำรามเสียงดัง ลุกพรวดขึ้นถีบบ่าวที่อยู่ใกล้ที่สุดจนหงายหลัง
"กล้าลักขโมยของของบุตรสาวข้า ช่างไม่กลัวตาย"
น้ำเสียงดุดันราวฟ้าคำราม ทำเอาบ่าวพวกนั้นโขกหัวลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่กลัวเจ็บ เสียงร้องขอความเมตตาดังระงม
อวี้จิ้งยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชา
"โบยพวกมันคนละสามสิบไม้ แล้วขายออกไปให้หมด"
เสียงรับคำสั่งดังขึ้นทันที บ่าวพวกนั้นถึงกับกรีดร้องด้วยความกลัว รีบร้องวิงวอนขอความเมตตาจากผู้เป็นนายตัวจริง โบยสามสิบไม้ไม่เท่ากับว่าพวกตนต้องกลายเป็นคนพิการหรอกหรือ
"ฮูหยินช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยิน ฮูหยิน"
อวี้หลันกระตุกยิ้มมุมปาก นับว่าบิดาผู้นี้จัดการได้เด็ดขาด ไม่ทำให้นางผิดหวังเลยจริงๆ นางมองหนูสกปรกพวกนั้นถูกลากตัวออกไปพร้อมกับเสียงร้องไห้ระงมด้วยสายตาเย็นชา
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก