ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้า
ตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพ
คุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว
คุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปี
อวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี
คุณหนูรองผู้นี้ แม้จะสวมเพียงชุดผ้าแพรสีอ่อนเรียบง่าย ไร้ลวดลาย ไร้เครื่องประดับ ผมดำเงางามผูกเป็นเปียผมสองข้างเรียบง่าย แต่กลับยิ่งขับให้ร่างบอบบางของนางดูอ่อนโยนและละมุนละไมยิ่งขึ้น ยิ่งฟื้นจากอาการป่วยยิ่งดูบอบบางอ่อนแอ จนคนนึกอยากทะนุถนอม
อวี้หลันไม่ได้ใส่ใจกับสายตาหรือความคิดของผู้ใด นางเพียงกวาดตามองอย่างเงียบๆ
สายตาของพวกเขาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความแตกต่างอย่างชัดเจน
บางคนแววตาอ่อนน้อม แสดงออกถึงความเคารพอย่างแท้จริง และเต็มไปด้วยความเวทนาสงสาร โดยเฉพาะพวกบ่าวเก่าแก่หรือคนที่เป็นคนของรองเสนาบดีอวี้ พวกเขาก้มศีรษะลงเคารพนางอย่างจริงใจ
แต่บางคนแม้จะก้มหน้า แต่สายตากลับแฝงความเย้ยหยันดูแคลน บางคนแอบกลอกตา บางคนเม้มปากยามแอบมองเสื้อผ้าเรียบง่ายของนาง
อวี้หลันเดินผ่านไปโดยไม่เอ่ยอะไร รอยยิ้มบางแต่งแต้มมุมปากหากแต่ในใจกลับกำลังมองสำรวจคนเหล่านั้น
ไม่ยากเลยที่จะแยกแยะ เพียงมองแววตาและท่าที ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าใครภักดีต่อใคร ใครเป็นคนของใคร
เมื่อมาถึงหน้าเรือนหลัก อวี้หลันก้าวเข้าไปภายในอย่างสงบ ท่วงท่าของนางเรียบง่ายเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนนุ่มนิ่ม ดวงตาอ่อนหวานกวาดมองไปรอบห้องโถงปราดหนึ่ง ภายในเรือน ทุกคนต่างนั่งประจำที่กันครบแล้ว
ผู้ที่นั่งในตำแหน่งสูงสุดด้านหัวโต๊ะคือบิดาของนาง รองเสนาบดีอวี้จิ้ง ถัดไปด้านขวาคือเซิ่งซื่อ ภรรยาเอกผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง นางแต่งกายงดงามราวนางในวัง เสื้อคลุมเนื้อดีปักดิ้นทองตั้งแต่แขนเสื้อจรดชายกระโปรง
ด้านข้างเซิ่งซื่อควรจะเป็นที่ของอวี้เฉินน้องชายร่วมมารดาผู้เป็นทายาทโดยชอบธรรม เก้าอี้ที่ควรจะเว้นว่างไว้ กลับมีร่างของ อวี้คุน บุตรชายของเซิ่งซื่อนั่งอยู่เสียแทน ท่าทางสง่าผ่าเผยราวเจ้าของที่นั่งแต่กำเนิด
ทางฝั่งซ้ายของบิดาก็ไม่ต่างกัน ที่นั่งซึ่งควรเป็นของนาง ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกผู้ล่วงลับ กลับถูก อวี้เหมย ยึดครองอย่างเต็มภาคภูมิ ใบหน้างามแต่งแต้มจนเจิดจ้า เสื้อผ้าล้วนหรูหราไม่แพ้ผู้ใด
ผู้คนบนโต๊ะล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องกันราวออกจากตำหนักใน ริ้วผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองระยับตา อาหารเลิศรสถูกจัดเรียงอย่างพิถีพิถันบนโต๊ะยาวตรงหน้า มองดูโอ่อ่าสมฐานะตระกูลขุนนาง
ทันทีที่อวี้หลันปรากฏตัว สายตาทุกคู่ก็หันมองเป็นจุดเดียว ความเงียบงันแผ่วเบาแผ่คลุมทั่วทั้งห้องโถงอยู่เพียงชั่วขณะ ก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มของรองเสนาบดีอวี้จิ้งจะดังขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
"หลันเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ"
"หลันเอ๋อร์มาช้า ขออภัยท่านพ่อเจ้าค่ะ"
อวี้หลันย่อกายลงแววตาอ่อนโยนนอบน้อม เสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน ท่าทางอ่อนแรงคล้ายยังไม่หายดีจากอาการป่วย ทว่าท่าทีนั้นกลับยิ่งขับให้ผู้คนบนโต๊ะอดไม่ได้ที่จะจับจ้องเงียบๆ
"ไม่เป็นไรๆ ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ พ่อจะกล้าตำหนิเจ้าได้อย่างไร มาเถอะ ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียหมด"
อวี้จิ้งเอ่ยกับบุตรสาวอย่างอ่อนโยน เขาจำไม่ได้แล้วว่า ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับบุตรสาวมานานเพียงใดแล้ว
รองเสนาบดีแห่งราชสำนักถึงกับลุกจากที่นั่ง เข้ามาประคองนางด้วยตนเองด้วยท่าทีเอาใจใส่ ราวกับนางยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องทะนุถนอม โดยที่อวี้หลันยังไม่ได้แสดงความเคารพต่อฮูหยินเอกของจวน หรือแม้แต่กล่าวทักทายพี่สาวและน้องชายต่างมารดาเลยด้วยซ้ำ
การกระทำนั้นบอกได้ชัดเจนว่าอวี้จิ้งไม่ได้ยึดติดกับกฎระเบียบภายในเรือนอย่างเคร่งครัดนัก ดูได้จากการอนุญาติให้ทุกคนร่วมโต๊ะอาหารโดยไม่แบ่งแยกชายหญิง แต่หากอยู่ในตำแหน่ง "รองเสนาบดี" เขากลับขึ้นชื่อว่าเป็นคนเด็ดขาด เย็นชา และเข้มงวดจนขุนนางในราชสำนักยังต้องเกรงใจ
ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้เซิ่งซื่อถึงกับเม้มปากแน่น สีหน้าไม่อาจปิดบังความไม่พอใจได้เลย และเมื่อนายท่านของจวนลุกขึ้นยืน ใครเล่าจะกล้านั่งเฉยอยู่อีก ทุกคนจึงต้องลุกตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และโดยไม่คาดคิด อวี้จิ้งประคองอวี้หลันไปนั่งด้านซ้ายมือของตนเอง ที่นั่งซึ่งก่อนหน้านี้ อวี้เหมยครอบครองอยู่
อวี้เหมยอึ้งงันไปชั่วขณะ ดวงตาฉายแววขุ่นเคืองทันที นางอ้าปากเตรียมจะเอ่ยประท้วง ทว่าถูกสายตากดดันของมารดาที่มองมาหยุดเอาไว้ คำพูดทั้งหมดจึงต้องกลืนหายลงคอ
สุดท้ายนางก็จำใจต้องนั่งเก้าอี้ถัดไปด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด แม้จะยังคงแสร้งยิ้มบางๆ แต่ดวงตานั้นกลับวาวโรจน์
การกระทำของอวี้จิ้งสร้างความประหลาดใจให้กับอวี้หลันเป็นอย่างมาก นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจบุตรสาวที่ไร้มารดาและไร้อำนาจหนุนหลังถึงเพียงนี้ ความอบอุ่นแผ่วเบานั้นแม้จะมาในเวลาไม่คาดคิด แต่มันกลับทิ้งร่องรอยในใจได้อย่างน่าแปลก จนอวี้หลันต้องรีบสลัดความรู้สึกนั้นออกไป ขึ้นชื่อว่าเป็นบุรุษล้วนแต่ไว้ใจไม่ได้
ในความทรงจำของเจ้าของร่าง อีกฝ่ายในฐานะบิดามักส่งเครื่องประดับและสิ่งของมีค่ามาให้เสมอไม่เคยขาด แต่น้อยครั้งนักที่จะแวะมาเยี่ยมหรือพูดคุยด้วยตัวเอง
ฝ่ายหนึ่งนั้นเอาแต่เก็บตัวอยู่เพียงในเรือน ไม่เคยก้าวเท้าออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว ส่วนอีกฝ่ายก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานในราชสำนักและการแสวงหาอำนาจ จึงทำให้ยิ่งห่างเหิน ยิ่งวันเวลาผ่านไป ความห่างเหินก็ยิ่งฝังลึกจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้า
ใครจะไปรู้เบื้องหลังรอยยิ้มและความห่วงใยเอาใจใส่นั้น คือหัวใจที่เย็นชาและคำนวณทุกสิ่งเป็นผลประโยชน์
ความคิดของอวี้หลันก็มีเพียงเท่านี้
แต่ภายในใจของอวี้จิ้ง รองเสนาบดีที่ขุนนางในราชสำนักนับหน้าถือตา เป็นบุรุษที่หลายคนยำเกรงและกล่าวขานว่าเย็นชา ไร้หัวใจ และยึดถือผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ทว่าในสายตาของเขา บุตรสาวคนรองอย่างอวี้หลันกลับเป็นข้อยกเว้น
แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนบุรุษที่หลงใหลในอำนาจ ไม่เคยลังเลที่จะใช้การแต่งงานเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เขากลับรักและห่วงใยบุตรีคนนี้ของตนอย่างแท้จริง
เมื่อครั้งที่เขาแต่งงานกับไป๋ซูเหยามารดาของนาง มันอาจเริ่มต้นจากการหวังผลทางอำนาจและอิทธิพลของตระกูลไป๋ แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมทีละน้อย จนกลายเป็นความรักโดยไม่รู้ตัว
เขารักนาง และเมื่ออวี้หลันลืมตาดูโลก นางมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับมารดาเป็นอย่างมาก เขาก็รักบุตรสาวของตนไม่ต่างจากหัวใจอีกดวงหนึ่ง
ต่อให้ตระกูลไป๋จะล่มสลายจนไม่เหลือแม้แต่ชื่อเสียงให้กล่าวถึง แต่อวี้จิ้งไม่เคยคิดจะทอดทิ้งภรรยาและบุตร เขาแบกรับทุกอย่างไว้เงียบๆ ทั้งความเสียใจ ความรู้สึกผิด และความคิดถึงต่อผู้หญิงที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ในใจของเขายังจดจำไป๋ซูเหยาได้เสมอ สตรีที่เคยยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นในวันที่ไม่มีใครมองเห็นคุณค่าของเขา และบุตรธิดาของนาง คือสิ่งที่เขาเหลืออยู่ เป็นเหมือนเงาของอดีตที่เขาไม่เคยลืม
แม้เขาจะเป็นคนเลวในสายตาใครต่อใคร แต่ในฐานะพ่อ เขารักอวี้หลันด้วยหัวใจที่จริงแท้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก