ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้า
ตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพ
คุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว
คุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปี
อวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี
คุณหนูรองผู้นี้ แม้จะสวมเพียงชุดผ้าแพรสีอ่อนเรียบง่าย ไร้ลวดลาย ไร้เครื่องประดับ ผมดำเงางามผูกเป็นเปียผมสองข้างเรียบง่าย แต่กลับยิ่งขับให้ร่างบอบบางของนางดูอ่อนโยนและละมุนละไมยิ่งขึ้น ยิ่งฟื้นจากอาการป่วยยิ่งดูบอบบางอ่อนแอ จนคนนึกอยากทะนุถนอม
อวี้หลันไม่ได้ใส่ใจกับสายตาหรือความคิดของผู้ใด นางเพียงกวาดตามองอย่างเงียบๆ
สายตาของพวกเขาที่มองมาแฝงไว้ด้วยความแตกต่างอย่างชัดเจน
บางคนแววตาอ่อนน้อม แสดงออกถึงความเคารพอย่างแท้จริง และเต็มไปด้วยความเวทนาสงสาร โดยเฉพาะพวกบ่าวเก่าแก่หรือคนที่เป็นคนของรองเสนาบดีอวี้ พวกเขาก้มศีรษะลงเคารพนางอย่างจริงใจ
แต่บางคนแม้จะก้มหน้า แต่สายตากลับแฝงความเย้ยหยันดูแคลน บางคนแอบกลอกตา บางคนเม้มปากยามแอบมองเสื้อผ้าเรียบง่ายของนาง
อวี้หลันเดินผ่านไปโดยไม่เอ่ยอะไร รอยยิ้มบางแต่งแต้มมุมปากหากแต่ในใจกลับกำลังมองสำรวจคนเหล่านั้น
ไม่ยากเลยที่จะแยกแยะ เพียงมองแววตาและท่าที ก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าใครภักดีต่อใคร ใครเป็นคนของใคร
เมื่อมาถึงหน้าเรือนหลัก อวี้หลันก้าวเข้าไปภายในอย่างสงบ ท่วงท่าของนางเรียบง่ายเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนนุ่มนิ่ม ดวงตาอ่อนหวานกวาดมองไปรอบห้องโถงปราดหนึ่ง ภายในเรือน ทุกคนต่างนั่งประจำที่กันครบแล้ว
ผู้ที่นั่งในตำแหน่งสูงสุดด้านหัวโต๊ะคือบิดาของนาง รองเสนาบดีอวี้จิ้ง ถัดไปด้านขวาคือเซิ่งซื่อ ภรรยาเอกผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง นางแต่งกายงดงามราวนางในวัง เสื้อคลุมเนื้อดีปักดิ้นทองตั้งแต่แขนเสื้อจรดชายกระโปรง
ด้านข้างเซิ่งซื่อควรจะเป็นที่ของอวี้เฉินน้องชายร่วมมารดาผู้เป็นทายาทโดยชอบธรรม เก้าอี้ที่ควรจะเว้นว่างไว้ กลับมีร่างของ อวี้คุน บุตรชายของเซิ่งซื่อนั่งอยู่เสียแทน ท่าทางสง่าผ่าเผยราวเจ้าของที่นั่งแต่กำเนิด
ทางฝั่งซ้ายของบิดาก็ไม่ต่างกัน ที่นั่งซึ่งควรเป็นของนาง ในฐานะบุตรสาวภรรยาเอกผู้ล่วงลับ กลับถูก อวี้เหมย ยึดครองอย่างเต็มภาคภูมิ ใบหน้างามแต่งแต้มจนเจิดจ้า เสื้อผ้าล้วนหรูหราไม่แพ้ผู้ใด
ผู้คนบนโต๊ะล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องกันราวออกจากตำหนักใน ริ้วผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองระยับตา อาหารเลิศรสถูกจัดเรียงอย่างพิถีพิถันบนโต๊ะยาวตรงหน้า มองดูโอ่อ่าสมฐานะตระกูลขุนนาง
ทันทีที่อวี้หลันปรากฏตัว สายตาทุกคู่ก็หันมองเป็นจุดเดียว ความเงียบงันแผ่วเบาแผ่คลุมทั่วทั้งห้องโถงอยู่เพียงชั่วขณะ ก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มของรองเสนาบดีอวี้จิ้งจะดังขึ้น น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างหาได้ยาก
"หลันเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วหรือ"
"หลันเอ๋อร์มาช้า ขออภัยท่านพ่อเจ้าค่ะ"
อวี้หลันย่อกายลงแววตาอ่อนโยนนอบน้อม เสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน ท่าทางอ่อนแรงคล้ายยังไม่หายดีจากอาการป่วย ทว่าท่าทีนั้นกลับยิ่งขับให้ผู้คนบนโต๊ะอดไม่ได้ที่จะจับจ้องเงียบๆ
"ไม่เป็นไรๆ ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ พ่อจะกล้าตำหนิเจ้าได้อย่างไร มาเถอะ ประเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียหมด"
อวี้จิ้งเอ่ยกับบุตรสาวอย่างอ่อนโยน เขาจำไม่ได้แล้วว่า ไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับบุตรสาวมานานเพียงใดแล้ว
รองเสนาบดีแห่งราชสำนักถึงกับลุกจากที่นั่ง เข้ามาประคองนางด้วยตนเองด้วยท่าทีเอาใจใส่ ราวกับนางยังเป็นเด็กน้อยที่ต้องทะนุถนอม โดยที่อวี้หลันยังไม่ได้แสดงความเคารพต่อฮูหยินเอกของจวน หรือแม้แต่กล่าวทักทายพี่สาวและน้องชายต่างมารดาเลยด้วยซ้ำ
การกระทำนั้นบอกได้ชัดเจนว่าอวี้จิ้งไม่ได้ยึดติดกับกฎระเบียบภายในเรือนอย่างเคร่งครัดนัก ดูได้จากการอนุญาติให้ทุกคนร่วมโต๊ะอาหารโดยไม่แบ่งแยกชายหญิง แต่หากอยู่ในตำแหน่ง "รองเสนาบดี" เขากลับขึ้นชื่อว่าเป็นคนเด็ดขาด เย็นชา และเข้มงวดจนขุนนางในราชสำนักยังต้องเกรงใจ
ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้เซิ่งซื่อถึงกับเม้มปากแน่น สีหน้าไม่อาจปิดบังความไม่พอใจได้เลย และเมื่อนายท่านของจวนลุกขึ้นยืน ใครเล่าจะกล้านั่งเฉยอยู่อีก ทุกคนจึงต้องลุกตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และโดยไม่คาดคิด อวี้จิ้งประคองอวี้หลันไปนั่งด้านซ้ายมือของตนเอง ที่นั่งซึ่งก่อนหน้านี้ อวี้เหมยครอบครองอยู่
อวี้เหมยอึ้งงันไปชั่วขณะ ดวงตาฉายแววขุ่นเคืองทันที นางอ้าปากเตรียมจะเอ่ยประท้วง ทว่าถูกสายตากดดันของมารดาที่มองมาหยุดเอาไว้ คำพูดทั้งหมดจึงต้องกลืนหายลงคอ
สุดท้ายนางก็จำใจต้องนั่งเก้าอี้ถัดไปด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด แม้จะยังคงแสร้งยิ้มบางๆ แต่ดวงตานั้นกลับวาวโรจน์
การกระทำของอวี้จิ้งสร้างความประหลาดใจให้กับอวี้หลันเป็นอย่างมาก นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจบุตรสาวที่ไร้มารดาและไร้อำนาจหนุนหลังถึงเพียงนี้ ความอบอุ่นแผ่วเบานั้นแม้จะมาในเวลาไม่คาดคิด แต่มันกลับทิ้งร่องรอยในใจได้อย่างน่าแปลก จนอวี้หลันต้องรีบสลัดความรู้สึกนั้นออกไป ขึ้นชื่อว่าเป็นบุรุษล้วนแต่ไว้ใจไม่ได้
ในความทรงจำของเจ้าของร่าง อีกฝ่ายในฐานะบิดามักส่งเครื่องประดับและสิ่งของมีค่ามาให้เสมอไม่เคยขาด แต่น้อยครั้งนักที่จะแวะมาเยี่ยมหรือพูดคุยด้วยตัวเอง
ฝ่ายหนึ่งนั้นเอาแต่เก็บตัวอยู่เพียงในเรือน ไม่เคยก้าวเท้าออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว ส่วนอีกฝ่ายก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับงานในราชสำนักและการแสวงหาอำนาจ จึงทำให้ยิ่งห่างเหิน ยิ่งวันเวลาผ่านไป ความห่างเหินก็ยิ่งฝังลึกจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้า
ใครจะไปรู้เบื้องหลังรอยยิ้มและความห่วงใยเอาใจใส่นั้น คือหัวใจที่เย็นชาและคำนวณทุกสิ่งเป็นผลประโยชน์
ความคิดของอวี้หลันก็มีเพียงเท่านี้
แต่ภายในใจของอวี้จิ้ง รองเสนาบดีที่ขุนนางในราชสำนักนับหน้าถือตา เป็นบุรุษที่หลายคนยำเกรงและกล่าวขานว่าเย็นชา ไร้หัวใจ และยึดถือผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง ทว่าในสายตาของเขา บุตรสาวคนรองอย่างอวี้หลันกลับเป็นข้อยกเว้น
แม้ภายนอกเขาจะดูเหมือนบุรุษที่หลงใหลในอำนาจ ไม่เคยลังเลที่จะใช้การแต่งงานเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่ในส่วนลึกของหัวใจ เขากลับรักและห่วงใยบุตรีคนนี้ของตนอย่างแท้จริง
เมื่อครั้งที่เขาแต่งงานกับไป๋ซูเหยามารดาของนาง มันอาจเริ่มต้นจากการหวังผลทางอำนาจและอิทธิพลของตระกูลไป๋ แต่เมื่อได้ใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมทีละน้อย จนกลายเป็นความรักโดยไม่รู้ตัว
เขารักนาง และเมื่ออวี้หลันลืมตาดูโลก นางมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับมารดาเป็นอย่างมาก เขาก็รักบุตรสาวของตนไม่ต่างจากหัวใจอีกดวงหนึ่ง
ต่อให้ตระกูลไป๋จะล่มสลายจนไม่เหลือแม้แต่ชื่อเสียงให้กล่าวถึง แต่อวี้จิ้งไม่เคยคิดจะทอดทิ้งภรรยาและบุตร เขาแบกรับทุกอย่างไว้เงียบๆ ทั้งความเสียใจ ความรู้สึกผิด และความคิดถึงต่อผู้หญิงที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ในใจของเขายังจดจำไป๋ซูเหยาได้เสมอ สตรีที่เคยยิ้มให้เขาอย่างอบอุ่นในวันที่ไม่มีใครมองเห็นคุณค่าของเขา และบุตรธิดาของนาง คือสิ่งที่เขาเหลืออยู่ เป็นเหมือนเงาของอดีตที่เขาไม่เคยลืม
แม้เขาจะเป็นคนเลวในสายตาใครต่อใคร แต่ในฐานะพ่อ เขารักอวี้หลันด้วยหัวใจที่จริงแท้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
หลังจากทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเหมือนจะสงบลงชั่วครู่ แต่ความสงบนั้นกลับอยู่ได้ไม่นานอวี้เหมยที่ถูกบังคับให้กลืนเลือดไหนเลยจะอดใจไม่ให้เอ่ยสิ่งใดออกมาได้ สายตาของนางเหลือบมองการแต่งกายอันแสนเรียบง่ายของน้องสาวต่างมารดา สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยแววตาไม่ปิดบังความดูแคลน ก่อนจะยกยิ้มบาง เอ่ยถ้อยคำเชือดเฉือนออกมาทันที"น้องรองช่างสมถะเสียเหลือเกิน วันงานเลี้ยงของท่านแม่ทั้งที กลับแต่งกายเรียบง่ายเสียจนนึกว่าเป็นสาวใช้จากเรือนใดหลงเข้ามา"คำพูดนั้นทำเอาทุกคนบนโต๊ะถึงกับชะงัก แม้รอยยิ้มของอวี้เหมยจะดูละมุน แต่แววตากลับฉายชัดว่าไม่คิดจะไว้ไมตรีอวี้หลันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหวานลึกล้ำดั่งสายน้ำ มองสบอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งไม่ได้ถือสาหาความในขณะที่อวี้จิ้งนั่งเงียบ สีหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันทีที่ได้ยินคำพูดของบุตรสาวคนโต สายตาเหลือบมองอวี้หลัน ก่อนจะกวาดตามองการแต่งกายของนางอย่างพิจารณาหัวคิ้วของรองเสนาบดีขมวดแน่นอย่างไม่อาจปกปิดในทุกปี ทุกๆ เทศกาล เสื้อผ้าและเครื่องประดับล้วนถูกส่งไปย
ลานหน้าเรือนหลักของจวนรองเสนาบดีตอนนี้ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม พรมแดงทอดยาวจากหน้าประตูเรือนใหญ่ไปจนถึงศาลากลางสวน ทั้งสองฝั่งทางเดินประดับด้วยโคมแดงที่แกว่งไกวตามลม กลิ่นหอมหวานของดอกหอมหมื่นลี้จากสวนโดยรอบลอยปะปนมากับสายลม ให้ความรู้สึกสงบละมุนในยามเช้าตลอดสองข้างทาง บ่าวไพร่กำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมงานเลี้ยง เมื่อเห็นคุณหนูรองของจวนเดินมา ต่างก็หยุดมือลงพร้อมก้มหัวทำความเคารพคุณหนูรอง หญิงสาวที่คนในจวนแทบจะลืมเลือนไปแล้วคุณหนูที่มีร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอดแทบทั้งปี ใช้ชีวิตเงียบงันอยู่แต่ภายในเรือนฮวาหง ไม่เคยออกมาสุงสิงกับผู้ใด ไม่ปรากฏตัวแม้ยามมีงานสำคัญของตระกูล จนหลายคนเผลอหลงลืมไปแล้วว่า ในจวนหลังนี้ยังมีคุณหนูรองอยู่อีกคนหนึ่งแต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับปรากฏตัวขึ้น หลังจากเกือบก้าวข้ามประตูผี ก้าวเท้าออกจากเรือนฮวาหงมาเยือนเรือนใหญ่ในรอบหลายปีอวี้หลันเดินทอดน่องออกมาจากเรือนฮวาหงด้วยกิริยาสงบ โดยมีฉิงหว่านคอยประคองอยู่ข้างกาย เดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปยังเรือนใหญ่ เสียงฝีเท้าของนางเบาแทบไร้เสียง แต่กลับเรียกความสนใจของบ่าวไพร่รอบข้างได้เป็นอย่างดี คุณหนูรองผู้นี้ แม
แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอนใหญ่ในเรือนฮวาหงอันเงียบสงบ ปรากฏเงาร่างเพรียวระหงของหญิงสาวผู้หนึ่งยืนตั้งมั่นอยู่กลางห้อง ฝ่าเท้าแนบแน่นกับพื้น หายใจเข้าออกอย่างเป็นจังหวะไม้พลองในมือของนางตวัดวูบไปในอากาศ เสียงลมเสียดอื้ออึงตามแรงเหวี่ยง ทุกท่วงท่าคมกริบราวกับกำลังฟันดาบ ไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลัง หากแต่เป็นการฝึกฝน ในชีวิตก่อนนางฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ได้ใช้มากที่สุดคือการใช้ปืน ตอนนี้จึงต้องเคาะสนิมกันเสียหน่อยอวี้หลันเคลื่อนไหวอย่างมั่นคง แขนขาแข็งแรงและว่องไว ราวกับร่างกายนี้ไม่เคยอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางแน่วแน่ เยือกเย็น และเต็มไปด้วยสมาธิ ทุกจังหวะที่ก้าว ทุกท่าที่ฟาดฟัน ล้วนแฝงด้วยสัญชาตญาณของคนที่เคยอยู่กับความเป็นความตายมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนไม้พลองฟาดลงกลางอากาศอย่างแรง ส่งเสียง "ฟึ่บ" ราวกับมันคือคมดาบที่กำลังฆ่าฟันศัตรูจริงๆหยาดเหงื่อไหลซึมจากไรผมลงมาตามข้างแก้ม อวี้หลันหยุดการเคลื่อนไหว ลมหายใจยังคงสม่ำเสมอและไม่หอบเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย นางวางไม้พลองในมือลง พลางหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อ ตอนนี้ร่างกายของนางนับว่าหายดีแล้ว นางใช้เวลาพักผ่อนร
"ลูกถวายพระพรเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากริมฝีปากสีระเรื่อได้รูปสวยขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวน ชายหนุ่มรูปงามราวกับเทพเซียนที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้าฮองเฮาผู้เป็นพระมารดา ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม แววตานิ่งสงบเช่นเคย จนยากจะคาดเดาความคิดภายในได้เสิ่นฮองเฮาเพียงโบกพระหัตถ์เบาๆ "นั่งลงเถิด"พระสุรเสียงราบเรียบแต่เปี่ยมด้วยความเมตตารักใคร่เมื่อพระโอรสทรุดกายลงนั่ง พร้อมกับที่นางกำนัลรินน้ำชาจนเรียบร้อย นางก็ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที"เรื่องการหมั้นหมายของเจ้า ตอนนี้เปลี่ยนแปลงเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่"หลี่จื้อหยวนพยักหน้าช้าๆ แววตานิ่งเฉยคู่นั้น คล้ายจะหม่นแสงลงไปวูบหนึ่ง"พ่ะย่ะค่ะ ลูกจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว"ฮองเฮายกจอกชาขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนแท่นวางด้านข้าง เสียงกระทบกันเบาๆ ของเนื้อกระเบื้องดังแผ่วเบา แต่กลับฟังชัดในความเงียบ เสิ่นฮองเฮาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดในทันที นางเพียงเหลือบสายพระเนตรมองพระโอรส แววตานั้นลึกซึ้ง เยือกเย็น และคมกริบราวกับจะบอกว่า เรื่องนี้ นางไม่ต้องการความลังเล ไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาด และยิ่งไม่ต้องการให้พระโอรสของตนรู้สึก
ภายในตำหนักใหญ่ ตำหนักจิ้งเหอ ของฮองเฮาแซ่เสิ่น บรรยากาศเย็นสงบ ทว่าสายลมที่พัดผ่านม่านโปร่งเบานั้น กลับไม่อาจคลายความตึงเครียดในใจผู้ที่อยู่ภายใน ข่าวการฟื้นคืนสติของคุณหนูรองอวี้หลันมาถึงตำหนักจิ้งเหอแห่งนี้แล้วเช่นกันเสิ่นฮองเฮา ประทับนิ่งอยู่บนตั่งหยก ดวงพักตร์งดงามทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง พระหัตถ์เรียวขาวยกจอกชาขึ้นจิบอย่างสงบ ท่าทางอ่อนโยนเยือกเย็น หากแต่ในแววตากลับแฝงไว้ด้วยความคมดุจคมมีด ไม่มีสิ่งใดรอดพ้นสายพระเนตรนี้ได้ง่ายๆเสิ่นฮองเฮา มิใช่ผู้ครองตำแหน่งมารดาของแผ่นดินตั้งแต่ต้น พระนางขึ้นเป็นฮองเฮาภายหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮาพระองค์ก่อน ซึ่งอีกฝ่ายเป็นสตรีสูงศักดิ์จากตระกูลเก่าแก่ที่หยั่งรากลึกในราชสำนัก เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง โอรสองค์โตของฮ่องเต้ และเป็นผู้ที่ได้รับการจับตามองว่าอาจจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ยามเมื่อเสิ่นฮองเฮาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองวังหลัง ก็ขึ้นชื่อเรื่องความสุขุมเยือกเย็น และความสามารถในการจัดการภายในวังหลังได้อย่างไร้ที่ติ พระนางรอบรู้ทั้งศาสตร์แห่งการเมืองและจิตใจคน ใช้เวลาเพียง
เช้าวันนี้อวี้หลันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกสดชื่น ร่างกายที่เคยอ่อนแรงรู้สึกเบาสบาย กระปรี้กระเปร่าเหมือนได้รับพลังใหม่แสงแดดยามเช้าทอแสงอ่อนผ่านหน้าต่างไม้ เงาของต้นเหมยพาดทอดอยู่บนพื้นห้อง เงียบสงบและอบอุ่น นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้ฉิงหว่านสาวใช้คนสนิทช่วยหวีผมและแต่งกายให้อาภรณ์ผ้าไหมปักลวดลายดอกเหมยสีหวานถูกสวมทับลงบนร่าง สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ อวี้หลันมองตนเองในกระจกทองเหลือง ใบหน้าที่สะท้อนกลับมาแม้จะยังซีดเซียวเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจกลบความงดงามเอาไว้ได้ ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกจะเรียกว่างามล่มเมืองก็ไม่ผิดนัก"ไม่เลว"อวี้หลันพึมพำเบาๆ กับตนเอง พลางมองสำรวจเครื่องแต่งกายด้วยความพึงพอใจการใช้ชีวิตแบบนี้ ก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดในชีวิตก่อนของนาง ทุกวันเต็มไปด้วยการต่อสู้ การไล่ล่า และกลิ่นคาวเลือด ไม่มีเวลาจะเลือกเสื้อผ้า ไม่มีเครื่องประดับงดงาม ไม่มีแม้แต่กระจกสักบานให้ได้เห็นเงาของตัวเองทุกย่างก้าวในชีวิตมีเพียงมีดและปืนในมือ มีเป้าหมายที่ต้องสังหารนางไม่เคยได้ใช้ชีวิตในฐานะ หญิงสาว อย่างแท้จริงเลยด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ ในร่างใหม่ ในชีวิตใหม่ นางสามารถทำทุ