ภายในห้องโถง บรรยากาศยังคงอึมครึมมืดครึ้ม ไม่มีใครกล้าเอ่ยวาจา อวี้จิ้งปลายสายตาเย็นชามองภรรยาที่นั่งหน้าซีดอยู่ข้างกาย
"เจ้า! ช่างดีนัก หึ"
เซิ่งซื่อที่เห็นสามีมองนางด้วยสายตาเย็นชาและดุดันก็พลันหน้าถอดสี ร่างบางสั่นสะท้านเล็กน้อย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนน้ำตาคลอ นางเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ ก่อนจะเบือนสายตาหันมาทางอวี้หลันด้วยสีหน้าราวกับรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด
"เป็นแม่ที่เลอะเลือน มองคนไม่ออก ปล่อยให้บ่าวชั่วพวกนั้นล่วงเกินหลันเอ๋อร์ถึงเพียงนี้"
เซิ่งซื่อเอ่ยเสียงสั่นเครือเจือสะอื้นแผ่วเบา ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดหางตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ราวกับคนที่สะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง
"แม่ผิดต่อหลันเอ๋อร์แล้ว"
สีหน้าของเซิ่งซื่อเต็มไปด้วยความเศร้าสลด หากใครมองเพียงผิวเผินก็คงหลงนึกว่านางเสียใจจริงๆ
เหอะ เลอะเลือน มองคนไม่ออก หญิงนางนี้ช่างกล้าพูดได้อย่างไม่อายปาก
เป็นนาง ที่จงใจส่งคนพวกนั้นมาจับตามองเรือนฮวาหงตั้งแต่แรกไม่ใช่หรอกหรือ
แล้วอีกอย่าง ใครเป็นลูกของนางกัน ลูกของนางนั่งโง่งมอยู่ตรงนั้นต่างหาก
อวี้หลันปรายตามองอวี้เหมยและอวี้คุนที่นั่งหน้าซีดตัวสั่นไม่กล้าเอ่ยวาจาออกมาแม้แต่ครึ่งคำ ก่อนทั้งสองจะพากันขอตัวกลับเรือนตัวเอง เพราะไม่อาจทนต่อบรรยากาศกดดันได้ไหว ทิ้งมารดาของตนให้เผชิญกับโทสะของบิดาเพียงผู้เดียวเสียอย่างนั้น
อวี้หลันหันกลับมาสบตากับมารดาของพวกเขานิ่ง แววตาของนางไม่เผยความรู้สึกใดๆ มีเพียงรอยยิ้มบางเบาที่ประดับอยู่บนใบหน้า ราวกับกำลังชมดูละครน้ำเน่า แต่ฝีไม้ลายมือการแสดงของเซิ่งซื่อยังนับว่าห่างไกลจากนักแสดงมือทองที่นางเคยเจอมามากนัก
"ข้าไม่คิดถือโทษโกรธเคืองใครทั้งนั้นเจ้าค่ะ โดยเฉพาะฮูหยิน"
"ท่านที่ลำบากดูแลจวน ดูแลท่านพ่อ ดูแลบุตรชายหญิง ทั้งยังมีบ่าวไพร่อีกหลายสิบชีวิต ย่อมต้องมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา"
เสียงหวานของอวี้หลันเอ่ยอย่างอ่อนโยนเช่นกัน ผู้อื่นเชี่ยวชาญการเสแสร้งใช้มารยา นางเองก็ใช่ว่าจะเสแสร้งไม่เป็น หากแต่ในดวงตากลับมีประกายบางอย่างซ่อนอยู่ ทั้งดูท้าทาย และรู้เท่าทัน ซึ่งก็มีเพียงเซิ่งซื่อเท่านั้นที่ได้เห็น
เซิ่งซื่อเห็นเช่นนั้นถึงกับหรี่ตามอง เด็กคนนี้...คิดจะเปิดศึกกับนางอย่างนั้นหรือ
ที่ผ่านมานางไม่เคยแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดชังลูกเลี้ยง นางไม่เคยผลักไสหรือเอารัดเอาเปรียบ ไม่คิดลงมือเองให้เปลืองแรง กับเด็กหญิงที่ไร้ประโยชน์เช่นอวี้หลัน
เพียงแค่ปล่อยให้อีกฝ่ายค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตาของทุกคนอย่างแนบเนียน ปล่อยให้บ่าวไพร่เมินเฉย ปล่อยให้บุตรสาวและบุตรชายของตนแกล้งนางบ้างตามอำเภอใจ
ปล่อยให้เวลาค่อยๆ ลบเลือนตัวตนของบุตรสาวภรรยาเอกผู้ล่วงลับให้จางหายราวกับไม่มีอยู่จริง
จากนั้นนางก็เริ่มลงมือวางยาอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ ใช้เวลาอย่างใจเย็น ก่อนจะค่อยๆ แทรกแซงและยึดกุมอำนาจในจวนเอาไว้ทีละน้อย
ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนการทุกอย่าง ไม่คิดว่าการที่เร่งให้เด็กคนนี้ตายเร็วขึ้นในวันนั้น นางกลับไม่ตาย ทั้งยังกล้าลุกขึ้นมาต่อต้านและท้าทายตนอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เซิ่งซื่อไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เด็กสาวที่เคยอ่อนแอ ขี้กลัว ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาผู้อื่น จะกล้าลุกขึ้นเชิดหน้าสบตานางอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทั้งยังไร้ซึ่งความเกรงกลัว
แววตาคู่นั้นนิ่งสงบเย็นชา เยือกเย็นไร้ระลอกคลื่นราวกับทะเลสาบในฤดูหนาว สงบจนชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านอย่างประหลาด
ในอกของเซิ่งซื่อพลันไหววูบ ราวกับถูกสายลมเย็นจัดพัดผ่านแผ่นหลังโดยไม่ทันตั้งตัว ความรู้สึกนั้นคลุมเครือ ทั้งเย็นวาบ ทั้งสั่นไหว นางไม่อาจบอกได้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร แต่ความแน่นอนเพียงหนึ่งเดียวในยามนี้คือ
ลูกเลี้ยงของนางผู้นี้ เก็บซ่อนเขี้ยวเล็บมาตลอด
คิดได้เช่นนั้น เซิ่งซื่อพลันตื่นตัว นางเองก็ใช่จะไร้เขี้ยวเล็บ ไม่เช่นนั้นจะสามารถยืนหยัดมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
เซิ่งซื่อสูดลมหายใจเข้าแผ่วเบา พยายามคลี่ยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูฝืนจนกระด้าง พิลึกพิลั่นอย่างปิดไม่มิด มือใต้แขนเสื้อกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ ทว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมากลับอ่อนหวานนุ่มนวล ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"หลันเอ๋อร์ช่างรู้ความยิ่งนัก เช่นนั้นแม่จะคัดเลือกบ่าวส่งไปให้เจ้าใหม่ ดีหรือไม่"
อวี้หลันยังคงยิ้มบาง แต่ดวงตาที่ดูอ่อนโยนกลับนิ่งลึกยากจะหยั่งถึงจนน่าหวั่นใจ
"ไม่กล้ารบกวนฮูหยิน เรื่องนี้หากปล่อยให้เป็นภาระของฮูหยินอีก ก็คงหนักหนาเกินไป"
นางตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย แฝงความสุภาพ แต่แววตากลับไม่หลบเลี่ยง มองสบกับเซิ่งซื่ออย่างเปิดเผย
เซิ่งซื่อเม้มปากแน่น จ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร จะบอกว่านางจัดการดูแลจวนไม่ได้เรื่องอย่างนั้นหรือ
อวี้หลันไม่คิดจะใส่ใจท่าทางคับข้องใจของเซิ่งซื่อ นางค่อยๆ ผินหน้าหันไปทางผู้เป็นบิดา
"ความจริงลูกมีอีกเรื่องที่จะแจ้งท่านพ่อเจ้าค่ะ"
รองเสนาบดีอวี้เลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
"หลันเอ๋อร์ยังมีเรื่องใดหรือ"
อวี้หลันประสานมือไว้เบื้องหน้า ท่าทางนุ่มนวลเปราะบาง
"เรือนฮวาหงเดิมเป็นเรือนของท่านแม่ เป็นสิ่งเดียวที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ลูกได้ระลึกถึง ลูกจึงอยากขออนุญาตท่านพ่อ เป็นผู้ดูแลจัดการทุกอย่างในเรือนฮวาหงด้วยตัวเอง"
หญิงสาวเว้นจังหวะเล็กน้อย เหลือบตามองเซิ่งซื่อปราดหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ
"และลูกอยากจะขอดูแลสินเดิมของท่านแม่เองด้วยเจ้าค่ะ"
ทันทีที่คำพูดจบลง สีหน้าของเซิ่งซื่อก็พลันชะงัก รอยยิ้มที่ยังติดอยู่บนใบหน้าราวกับแข็งค้างชั่วขณะ ก่อนที่นางจะรีบเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง เสียกิริยาไปเล็กน้อยอย่างไม่ทันคิด
"จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน"
เมื่อรู้ตัวว่าหลุดกิริยาไป เซิ่งซื่อก็รีบข่มกลั้นอารมณ์จนแน่นขนัดในอก นางพึ่งจะได้รับมอบให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดในจวน ได้ถือครองกุญแจคลังสมบัติเมื่อวานนี้เอง
เซิ่งซื่อพยายามตั้งสติ กลบเกลื่อนความรู้สึกและสีหน้าที่แสดงออกไปก่อนหน้านั้นอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาคราวนี้แม้จะยังอ่อนโยน แต่กลับแฝงความฝืนทนอย่างชัดเจน
"หลันเอ๋อร์ยังอ่อนวัยนัก เรื่องในเรือนจุกจิกวุ่นวาย หากดูแลเองอาจเหน็ดเหนื่อยเกินไป อีกอย่าง ตอนนี้ข้าก็เป็นฮูหยินของจวน หน้าที่เหล่านี้ล้วนเป็นข้าที่จะต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว"
อวี้หลันยังคงยิ้มบางไม่เปลี่ยน สีหน้าดูอ่อนโยน ทว่าดวงตากลับเรียบนิ่งราวกับไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
นางขยับริมฝีปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ทว่าสะกิดใจผู้ฟังได้ไม่ยาก
"ฮูหยินจะกล่าวว่าข้ายังอ่อนเยาว์คงไม่ได้ คงมิใช่ข้ออ้างที่เหมาะนักกระมัง ท่านคงไม่ลืมนะเจ้าคะ ว่าต้นเดือนหน้าคือวันปักปิ่นของข้า"
ถ้อยคำนั้น ทำเอาเซิ่งซื่อชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็ยังคงคัดค้าน
"แต่เรื่องเช่นนั้นมีใครเขาทำกัน นั่นไม่เท่ากับเจ้าต้องการแยกเรือนหรอกหรือ"
อวี้หลันหันไปสบตาเซิ่งซื่อตรงๆ ดวงตานิ่งลึกไร้ความหวั่นเกรง น้ำเสียงของนางยังคงอ่อนโยน ทว่ามั่นคงชัดเจน
"ฮูหยินกล่าวหนักไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ต้องการแยกเรือน เพียงแต่จะขอดูแลของของมารดาด้วยตัวเองเท่านั้น"
นางกล่าวจบก็หันไปมองผู้เป็นบิดา พลางก้มศีรษะลงเล็กน้อยอย่างนอบน้อม เอ่ยขอคำยินยอมจากอีกฝ่ายโดยตรง โดยไม่เปิดช่องให้เซิ่งซื่อต่อรองอีกต่อไป
"ลูกหวังว่าท่านพ่อจะอนุญาตเจ้าค่ะ"
อวี้จิ้งนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาของเขาจับจ้องไปยังบุตรสาวอยู่ตลอด แม้ใบหน้าจะเรียบเฉย แต่ในแววตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา ราวกับกำลังไตร่ตรองบางอย่างอยู่ในใจ
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ อวี้จิ้งใช่ว่าจะมองไม่ออก เขาเฝ้าดูอยู่เงียบๆ และรู้ดีว่าการที่บุตรสาววางหมากเช่นนี้ก็เพื่อจะดูท่าทีของเขาเช่นกัน นางคงไม่เชื่อใจในตัวบิดาผู้นี้เสียแล้ว
อวี้จิ้งรู้ดีว่าบุตรสาวของเขาเปลี่ยนไปแล้ว นางไม่ได้เป็นเด็กสาวที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ขี้อาย ขลาดกลัว และเอาแต่หลบตาผู้อื่นอีกต่อไปแล้ว
บัดนี้นางกล้าสบตาเขาอย่างมั่นคง บางครั้งแววตาของนางเยือกเย็นและแน่วแน่จนเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านในอก
แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะไม่ได้เอาใจใส่นางมากนัก ไม่ได้ใกล้ชิดจนเรียกว่ารู้จักกันดี แต่ในฐานะบิดา เขาก็ยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างชัดเจน แววตาของหลันเอ๋อร์ไม่เหมือนเดิม
อวี้จิ้งทอดมองไปยังดวงหน้าสงบนิ่งนั้น ความรู้สึกบางอย่างไหววูบขึ้นในใจ ยิ่งมองก็ยิ่งคล้ายกับตัวเขาในอดีต
ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคนเย็นชา แข็งกระด้าง และร้ายกาจเช่นทุกวันนี้ เขาก็เคยผ่านความเจ็บปวด ความอัปยศ และการถูกเหยียบย่ำดูถูกเหยียดหยามมานับครั้งไม่ถ้วน
บุตรสาวของเขา เด็กคนนี้ ก็เช่นเดียวกัน
นางผ่านความเจ็บปวด ความสูญเสีย และความอยุติธรรมมามากมายเช่นกัน
ยิ่งคิดถึงเรื่องการแต่งงานของนางที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
ในที่สุด เขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
"ได้ พ่ออนุญาต จงดูแลเรือนฮวาหงและสินเดิมของมารดาเจ้าให้ดี"
สิ้นคำพูดนั้น ห้องทั้งห้องก็เงียบงันไปชั่วขณะ
เซิ่งซื่อถึงกับเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นสามีด้วยความตกตะลึง มือใต้แขนเสื้อกำแน่นจนข้อนิ้วขาว
"ทะ ท่านพี่ แต่ว่า..."
ยังไม่ทันที่เซิ่งซื่อจะเอ่ยคัดค้านใดๆ อวี้จิ้งกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"พอได้แล้ว อย่างไรเสียสิ่งเหล่านี้ก็ต้องเป็นของหลันเอ๋อร์อยู่แล้ว คิดเสียว่ามอบให้นางก่อนเวลาก็แล้วกัน"
ถ้อยคำที่เปล่งออกมาแม้ไม่ดังนัก แต่ก็หนักแน่นและเด็ดขาด
เซิ่งซื่อแม้จะไม่อยากยินยอมแต่ก็ไม่อาจเอ่ยทักท้วงสิ่งใดต่อได้อีก
ขณะที่อวี้หลันลุกขึ้นยืนอย่างสงบ ใบหน้ายังประดับรอยยิ้มอ่อนบาง
"ลูกขอบคุณท่านพ่อเจ้าค่ะ"
สีหน้าของนางสดใสราวกับไม่ได้ทำให้ใครขัดข้องหมองใจ ทำราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จากนั้นก็เอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ผู้อื่นแทบกระอักเลือด
"เช่นนั้น ประเดี๋ยวข้าจะให้ฉิงหว่านนำใบรายการสินเดิมของท่านแม่ไปส่งให้นะเจ้าคะ อีกสามวันรบกวนฮูหยินช่วยตรวจสอบ แล้วส่งมายังเรือนฮวาหงด้วยเจ้าค่ะ"
"หลันเอ๋อร์ ขอเวลาข้าสักครู่ได้หรือไม่"เสียงทุ้มต่ำขององค์ชายห้าหลี่จื้อหยวนเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ทว่าแฝงแววเว้าวอนลึกซึ้ง เขาก้าวขวางเบื้องหน้าในจังหวะที่อวี้หลันหมุนกายจะจากไป หยุดยั้งฝีเท้าเรียวอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบทอดมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อาจละไปได้ ความคาดหวัง ความลังเล และความเจ็บปวดสลักทับซ้อนในแววตาคู่นั้นราวกับเพียงคำตอบหนึ่งคำจากนาง จะสามารถปลดปล่อยหรือขังเขาไว้ตลอดกาลอวี้หลัน..หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นคู่หมั้นในวัยเยาว์ของเขา หญิงสาวที่เขาเคยคิดว่าจะได้ครอบครองและปกป้องแต่ตอนนี้นางกลับไกลจากเขาออกไปทุกทีข่าวลือที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอยู่ในตอนนี้ ทำให้เขาไม่อาจทนนิ่งเฉย จนต้องมาปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งเมื่อได้เห็น ปิ่นปักผม ที่ปรากฏอยู่บนมวยผมของนาง ดวงตาของเขายิ่งแข็งกร้าวปิ่นนั่นหลี่เหวินหลงผู้เป็นพี่ชายหวงแหนยิ่งกว่าสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมอบให้ใครง่ายๆ นอกจากผู้ที่เขา "หมายปอง" อย่างแท้จริงหลี่จื้อหยวนกำมือแน่น ความรู้สึกในใจร้อนรนแทบระเบิดออกมา แต่กลับไม่เอ่ยอันใด นอกจากสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเปิดกล่องเครื่องประดับในมือออก ยื่นไปตรงหน้าอีก
มาอีกแล้ว คนผู้นี้ว่างงานนักหรืออย่างไรอวี้จิ้งทอดถอนใจยาวตั้งแต่ยังไม่ทันได้จิบชาเช้า ใบหน้านิ่งขรึมเต็มไปด้วยริ้วรอยของความอดกลั้น และกลิ่นอายของความหงุดหงิดปนเวทนาในชะตากรรมของตนรุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก คนก็มาเยือนถึงหน้าจวนเสียแล้ว"หากไม่มีงานการทำ เหตุใดถึงไม่กลับแดนเหนือไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด"อวี้จิ้งได้เพียงบ่นอยู่ในใจ ฟันกรามกัดแน่นจนขมับเต้นตุบๆ ขณะลุกจากที่นั่ง เดินออกไปต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์ แขกที่เหมือนจะกลายเป็นสมาชิกประจำบ้านเข้าไปทุกทีองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ยืนตระหง่านราวขุนเขาเช่นเคย ท่าทีสงบนิ่ง เยือกเย็นประหนึ่งนักปราชญ์ผู้สูงส่ง ทั้งที่ความจริงแล้วก็แค่คนไร้ยางอาย หน้าด้านหน้าทนผู้หนึ่ง ที่ทำเอาเจ้าบ้านอย่างเขาแทบกระอักเลือดตาย เมื่อวานกว่าจะต้อนคนส่งกลับได้ก็เล่นเอาเขาแทบจะหัวหลุดจากบ่าอยู่หลายครั้ง"องค์ชายใหญ่มาตั้งแต่เช้าเลยนะพ่ะย่ะค่ะ"อวี้จิ้งเอ่ย พลางฉีกยิ้มบางๆ ที่คล้ายรอยยิ้มของเสือเฒ่ากำลังข่มอารมณ์ แฝงไว้ด้วยคำว่า ‘เจ้าว่างนักหรือ’ ขณะทำความเคารพอีกฝ่ายอย่างมีมารยาท"ใต้เท้าอวี้ พบหน้าข้าแล้วยินดีถึงเพียงนี้เชียว"หลี่เหวินหลงยิ้มรับสีหน้าระร
เซิ่งซื่อใช่ว่าจะไม่รู้สึกถึงบรรยากาศอึดอัดกดดันที่แผ่คลุมอยู่ภายในห้อง หากแต่นางยังฝืนรักษารอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าเอาไว้ ไม่ว่าสายตาใครจะจับจ้องมายังนางอย่างไร นางก็ยังสงบนิ่งไม่แสดงพิรุธหลายวันมานี้ นางสัมผัสได้ถึงบรรยากาศภายในจวนที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นางรับรู้ได้ว่าสามีเริ่มมีท่าทีที่ผิดแผกไป ไม่เหมือนเดิมอย่างที่เคย นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับอวี้หลัน ทว่าเขากลับยังคงนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้นางทั้งหวาดระแวงและไม่อาจวางใจได้ ความเงียบของเขากลับทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งนางรู้ดีว่าคนอย่างอวี้จิ้งไม่ใช่ผู้ที่จะปล่อยผ่านเรื่องใดไปโดยไม่คิดสืบหาความจริง ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกล่อได้ง่ายนัก และยิ่งเงียบก็ยิ่งน่าหวาดกลัวแต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังพอจะเบาใจอยู่บ้าง อย่างน้อยที่สุดหลานชายของนางก็กลับมาอย่างปลอดภัย และที่สำคัญ เขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดไว้ให้ถูกสาวมาถึงตัวทุกอย่างยังอยู่ในการควบคุม นางเพียงต้องระวังตัวให้มากพอ และฉลาดพอที่จะไม่ถามถึงรายละเอียดให้มากความ สิ่งที่ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่รู้ นางก็เลือกจะซ่อนไว้ลึกสุดใจ ไม่ให้แม้แต่น้ำเสียงหรือแววตาเผลอเผยพิรุธออ
หลังจากพิธีปักปิ่นอย่างเป็นทางการในช่วงเช้าผ่านพ้นไป ตกเย็นก็ควรจะเป็นเวลาของคนในครอบครัว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้วอวี้จิ้งเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงคำกล่าวที่ว่าเชิญเทพมาง่าย แต่ส่งกลับไปแสนยาก ก็ในวันนี้เองรองเสนาบดีผู้มากบารมี ปลายสายตาเหลือบมองบุรุษหนุ่มผู้สูงศักดิ์ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยสีหน้าอึมครึม เขาไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดออกมา เพราะแม้จะเงียบ แต่หนวดที่กระตุกอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ดวงตาวาววับที่ราวกับจะพ่นลูกไฟออกมาได้ทุกเมื่อ ก็ฟ้องหมดทุกอย่างและถึงจะเป็นเช่นนั้นอีกฝ่ายกลับยังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ หาได้รู้ถึงความผิดของตัวเอง ประหนึ่งว่าเขาคือเจ้าของเรือน มิหนำซ้ำยังทำตัวกลมกลืนอย่างยิ่งราวกับคนในครอบครัวไม่ขัดเขิน ไม่เกรงใจ ไม่ถ่อมตนกระทำตัวเหมือนเขยของบ้านข้าเข้าไปทุกทีหึ…กล้าดียังไงแน่นอนว่าอวี้จิ้งได้แต่คิดในใจเท่านั้น ไม่มีวันกล้าเอ่ยออกมาเพราะบุรุษตรงหน้านั้น หาใช่ใครอื่นไกล แต่คือ องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงการกระทำของอีกฝ่ายในวันนี้สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาอย่างยิ่ง แต่แม้จะรู้สึกไม่พอใจเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหยางฮูหยินผู้เฒ่า ซึ
แสงอรุณอ่อนในฤดูใบไม้ผลิส่องพาดแนวหลังคาเรือน บรรยากาศทั่วทั้งจวนรองเสนาบดีเต็มไปด้วยความคึกคัก ภายในเรือนใหญ่ของตระกูลอวี้อบอวลด้วยกลิ่นหอมของไม้จันทน์บ่าวไพร่ในจวนสีหน้าสดชื่นแจ่มใส ขะมักเขม้นจัดเตรียมพิธีมงคล ข้าวของเครื่องใช้ล้วนถูกจัดเรียงตามตำราโบราณเรือนหลักของจวนอวี้ในวันนี้ถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรไหมสีมงคล ลวดลายดอกเหมยปักดิ้นทองสะท้อนแสงแดดระยิบระยับ กลิ่นหอมของชาดอกไม้ที่ลอยอบอวลในอากาศ สร้างบรรยากาศละมุนละไมวันนี้คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณหนูรองอวี้ในที่สุดวันปักปิ่นของอวี้หลันก็มาถึง พิธีในวันนี้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติบุตรีขุนนางฝ่ายพิธีการ เรียกได้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่หรูหราและงดงามที่สุดในรอบหลายปีของเมืองหลวง อวี้หลันในชุดผ้าไหมเนื้อละเอียดสีชมพูอมทองปักลวดลายดอกโบตั๋นอย่างประณีต เนื้อผ้าไหมพลิ้วไหวรับแสงแดดอ่อนยามเช้า ปลายแขนเสื้อขลิบดิ้นทอง ชุดตัวยาวรัดช่วงเอวด้วยสายผ้าแพรสีแดงสด ด้านข้างห้อยพู่หยกล้ำค่า เงาผ้าพลิ้วไหวราวกลีบดอกไม้ต้องลมตามจังหวะก้าวเดิน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังสตรีน้อยผู้เป็นบุตรีของรองเสนาบดีหญิงสาวย่างก้าวด้วยท่วงท่าที่เปี่ยมไ
เซิ่งซื่อนั่งนิ่งอยู่ในเรือนใหญ่ของตนเอง บรรยากาศภายในเรือนที่เคยสงบร่มรื่น บัดนี้กลับอึดอัดและหนักแน่นประหนึ่งมีเงาทึบปกคลุม มือที่ถือพัดเริ่มกำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แววตาเคร่งเครียดขณะฟังรายงานจากบ่าวคนสนิท เสียงนั้นเบาราวกระซิบ แต่ทุกคำกลับฟังชัดเจนยิ่งในหูของนาง"คุณหนูรองกลับมาถึงจวนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มิได้รับบาดเจ็บใดๆ ทั้งสิ้น"คำบอกเล่านั้น ดังก้องในใจจนมือที่กำพัดเริ่มสั่นอวี้หลันกลับมาแล้ว อีกทั้งยังไม่เป็นอะไรเลย"ข่าวว่า...องค์ชายใหญ่เป็นผู้ช่วยชีวิตคุณหนูรองเอาไว้ด้วยพระองค์เองเจ้าค่ะ"เสียงในห้องเงียบงันชั่วอึดใจ"องค์ชายใหญ่"เซิ่งซื่อทวนคำเบาๆ อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ความหวาดหวั่นคละคลุ้งในอกองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง คนผู้นี้อีกแล้วหรือพัดในมือของนางถูกบีบจนแทบจะแหลกคามือ แววตาที่เคยสั่นไหวเปลี่ยนเป็นขุ่นมัวในฉับพลัน ริมฝีปากที่เคลือบชาดเอาไว้บางๆ เม้มแน่นจนแทบเป็นเส้นตรงทั้งที่แผนการถูกวางไว้อย่างดี หลานชายที่เก่งกาจของนางไม่เคยที่จะทำงานผิดพลาด ทุกอย่างที่ควรจะจบลงอย่างเงียบงัน กลับพังครืนเพราะการปรากฏตัวของบุรุษเพียงผู้เดียวและยิ่งแย่กว่านั้น…ข่าวนี้กำลังจะถูก